ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 55 ยกทัพตีด่านหูกวน (1)
ด่านหูกวนเป็นด่านสำคัญที่คอยพิทักษ์ช่องเขาไป๋สิงของเขาไท่สิงให้แคว้นเป่ยฮั่น เส้นทางจากเจิ้นโจวทะลุช่องเขาไป๋สิงเข้ามาในอาณาเขตเป่ยฮั่น มีหมู่เขารายล้อม ด่านหูกวนคือด่านสำคัญที่เฝ้าตรงช่วงรอยต่อ ทิศเหนือมีเขาไป๋กู่ ทิศใต้มีเขาซวงหลง สองขุนเขากระหนาบข้าง ลักษณะคล้ายพวยกาน้ำจึงได้ชื่อนี้ หากตีด่านหูกวนแตก กองทัพต้ายงก็จะบุกทะลวงตรงเข้ามาได้
ครั้งนี้กองทัพต้ายงแบ่งทหารเป็นสองทาง ผู้ที่รับผิดชอบตีด่านหูกวนคือจิงฉือ เขานำทหารม้าสามหมื่นกับกองทัพเจิ้นโจวอีกสี่หมื่นโหมบุกด่านหูกวนตั้งแต่เดือนสาม วันที่สิบสี่ หลิววั่นลี่แม่ทัพผู้พิทักษ์ด่านก็เป็นแม่ทัพผู้ลือชื่อเช่นกัน เขานำพลทหารเจ็ดพันนายปักหลักพิทักษ์ด่านมิยอมถอย กองทัพต้ายงบุกต่อเนื่องเจ็ดถึงแปดวันก็ยังตีด่านหูกวนไม่แตก
เดือนสาม วันที่ยี่สิบเอ็ด จิงฉือจับบังเหียนอาชายืนอยู่ใต้ผืนธง สายตาเย็นชามองกำแพงที่ถูกเลือดย้อมจนแดงฉานผืนนั้น ริมฝีปากแห้งผากเล็กน้อย แสดงให้เห็นความร้อนรนในหัวใจเขา ครั้งนี้คำสั่งกองทัพชัดเจนยิ่ง เขาต้องตีด่านหูกวนให้แตก แล้วเดินทัพผ่านซั่งตั่งไปยังชิ่นหยวนเพื่อรวมพลกับฉีอ๋อง จากนั้นกระหนาบโจมตีกำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่นจากด้านหน้าและด้านหลัง กองทัพเป่ยฮั่นกำลังทหารไม่พอ ทำได้เพียงเฝ้าพิทักษ์ด่านบางส่วน ขอเพียงตีด่านหูกวนแตก ด้านหน้าก็คือแผ่นดินกว้างขวางไร้ปราการป้องกัน ทว่าแปดวันเต็มเข้าไปแล้ว ด่านหูกวนที่ถูกกองทัพต้ายงบุกโจมตีก็ยังคงตั้งตระหง่านไม่ล้ม
หัวใจของจิงฉือดุจเพลิงผลาญ อยากจะลงสนามรบเองยิ่งนัก แต่หากจะใช้ทหารม้าบุกตีเมืองก็สิ้นเปลืองเกินไปอยู่บ้าง ความประสงค์ของฉีอ๋องชัดเจนยิ่ง ใช้กองทัพเจิ้นโจวตีด่าน ส่วนทหารม้าของตนต้องเร่งเดินทางพันลี้เพื่อบุกจู่โจม จะสูญเสียกำลังพลที่ด่านหูกวนมากเกินไปมิได้เป็นอันขาด
จิงฉือเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์อัสดงร่วงลับกำแพงด่านหูกวน ส่องกระทบกำแพงแดงดุจโลหิต เขาตวาดเหี้ยมเกรียม “ถอยทัพ” หลังจากนั้นจึงชักม้ากลับค่าย ต้องคิดหาวิธีการให้จงได้ มีเวลาอย่างมากที่สุดอีกสองวันเท่านั้น หากยังตีด่านมิได้อีก ต่อให้ตนต้องเป็นกองหน้าประจัญบานด้วยตนเองก็ต้องเหยียบกำแพงด่านหูกวนให้ราบ
เดือนสาม วันที่ยี่สิบสอง หลินหยาแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเจิ้นโจวบัญชาการไพร่พลบุกด่านอยู่บนแท่นสูงสามจั้งที่ใช้สำหรับสั่งการกองทัพ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล หลายวันที่ผ่านมารถกระทุ้งประตูเมือง รถยิงหน้าไม้ บันไดพาดกำแพง เครื่องยิงหินเสียหายไปแล้วมิรู้เท่าใด แม้กำแพงด่านหูกวนจะเละเทะแล้ว คูเมืองถูกถมจนเรียบแล้ว แม้แต่ประตูด่านก็ถูกกองทัพต้ายงใช้น้ำมันเผาจนหมดสภาพแล้ว ทว่าด้านในยังถูกทหารเป่ยฮั่นใช้ก้อนหิน ก้อนอิฐและไม้ตีปิดตายไว้ หากยังตีด่านมิแตกอีก น่ากลัวว่าจะทำให้แผนการเดินทัพล่าช้า
น่าเสียดายหลิววั่นลี่ผู้นั้นใจเหี้ยมนัก เมื่อทราบว่ากองทัพต้ายงจะบุกตีด่านหูกวน เขาก็สั่งให้ชายฉกรรจ์ทั้งหมดในด่านหูกวนแบ่งเป็นกลุ่ม ช่วยกันป้องกันเมือง ใช้การลงโทษยกตระกูลทำให้ชายฉกรรจ์เหล่านั้นเฝ้าจับตาดูกันและกัน แม้ต้ายงมีสายลับที่แฝงตัวอยู่ในด่านหูกวนมานานแล้วจำนวนหนึ่ง แต่กลับหาโอกาสโจมตีประสานในนอกเพื่อตีด่านหูกวนมิได้ หากมิใช่ว่ามีสายลับฝีมือดีที่ฉลาดเฉลียวสองสามคนใช้จังหวะที่กลิ้งท่อนซุงโปรยก้อนหินบนกำแพงด่านโยนท่อนไม้ที่เขียนรายงานสถานการณ์ออกมา น่ากลัวว่าจนตอนนี้ทางฝั่งตนก็คงยังมิทราบสถานการณ์ด้านใน
นอกจากนี้กำแพงด่านหูกวนก็แข็งแกร่งนัก สองฝั่งยังมีขุนเขาขนาบป้องกัน หลิววั่นลี่สั่งให้สร้างค่ายไว้บนยอดเขาแต่และแห่ง สามตำแหน่งเกื้อหนุนกันจนกองทัพต้ายงเสียหายมากมาย แต่มิอาจทำการสำเร็จ วันนี้หลินหยาตัดสินใจเด็ดขาด ส่งทหารชั้นยอดใต้บัญชาของตนออกไปทั้งหมด เขาเฝ้ามองดูบันไดตัวแล้วตัวเล่าเอนล้มท่ามกลางกองเพลิงร้อนระอุ โลหิตของทหารกล้าในกองทัพชโลมทั่วกำแพงด่านหูกวน แม้หลินหยาจะผ่านศึกมานับร้อย แต่เส้นเลือดตรงขมับก็เต้นตุบๆ ขณะที่เพลิงโทสะลุกโชน
หลินหยากำลังบัญชาการศึกอยู่ ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกว่าแท่นไม้ใต้เท้าสั่นไหวจึงมองลงไปอย่างช่วยมิได้ แล้วก็เห็นจิงฉือสวมชุดเกราะยืนอยู่ทางซ้าย เส้นผมสยายปรกหัวไหล่ สองแขนอุ้มกลองศึกสูงเท่าตัวคนไว้ฝั่งละใบเดินขึ้นมาบนแท่น
จิงฉือตั้งกลองศึกแล้วตวาดเสียงดัง “เอาไม้กลองมา”
องครักษ์คนสนิทคนหนึ่งที่ตามอยู่ด้านหลังจิงฉือรีบส่งไม้กลองที่ผูกผ้าไหมสีแดงคู่หนึ่งมาให้จิงฉือ จิงฉือตวาดเสียงดังคำหนึ่งก็เริ่มวาดไม้กลอง ออกแรงตีกลองศึก เสียงกลองก้องกระหึ่มถึงชั้นเมฆ ประหนึ่งอสนีบาตคำรามริมขอบฟ้าต่อเนื่องมิขาดสาย กึกก้องวนเวียนทั่วสนามรบ
หลังจากศึกใหญ่ที่เจ๋อโจว จิงฉือได้ยินว่าเจียงเจ๋อตีกลองช่วยหนุนกองทัพต้ายงจนคว้าชัยชนะครั้งใหญ่มาได้ เขาจึงตื๊อเจียงเจ๋อให้สอนตีกลอง เจียงเจ๋อว่างไม่มีสิ่งใดให้ทำจึงสอนเขาอยู่สองสามวัน แม้เขาไม่เข้าใจศาสตร์ดนตรีอันใด แต่เขากรำศึกในสนามรบมานาน ทั้งยังเป็นแม่ทัพอยู่แล้ว แม้นเสียงกลองที่เขาตีออกมาจะไม่ผันแปรได้พันหมื่น ทว่ากลับห้าวหาญทรงพลังกว่า ปลุกเร้าจิตใจผู้คน
หลังจากกองทัพเจิ้นโจวได้ยินเสียงกลองที่ทำให้เลือดลมพลุ่งพล่านนั่น แล้วยังได้ทราบว่าจิงฉือเป็นผู้ตีกลอง จิตใจก็ทั้งฮึกเหิมทั้งละอาย ตะโกนก้องว่า “พวกเรารับบัญชาบุกตีด่านหูกวนเพื่อให้แม่ทัพจิงบุกตีเป่ยฮั่น แต่วันนี้พวกเราตรากตรำสู้รบแล้วกลับตีเมืองมิสำเร็จ ปล่อยให้แม่ทัพจิงต้องรอคอยอยู่ที่นี่ วันนี้แม่ทัพจิงตีกลองช่วยหนุนกองทัพเราด้วยตนเอง หากพวกเรายังตีเมืองมิได้ ชีวิตนี้คงเงยหน้ามองแม่ทัพจิงมิได้แล้ว ศักดิ์ศรีของกองทัพเจิ้นโจวคงถูกพวกเราทำลายสิ้น”
แม่ทัพและเหล่าทหารแห่งกองทัพเจิ้นโจวต่างให้กำลังใจกันและกัน การบุกตีด่านระลอกนี้จึงยิ่งดุเดือด ด่านหูกวนแทบจะสั่นคลอนตามเสียงกลอง เมฆครึ้มแผ่ทั่วผืนนภา ประดุจดั่งมิอาจทนมองสงครามอันโหดร้ายคลุ้งคาวเลือดบนผืนแผ่นดิน
หลิววั่นลี่ยืนอยู่บนกำแพงป้อม ใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบฝุ่นดิน ดวงตาเต็มไปด้วยแววตาเย็นยะเยือก ไม่มีกองหนุน เพราะกำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่นกำลังรบอย่างยากลำบากกับค่ายใหญ่เจ๋อโจวของกองทัพต้ายง กำลังทหารที่เหลือไม่อยู่ที่จิ้นหยางก็อยู่ที่ไต้โจว จิ้นหยางมิอาจเคลื่อนทหารได้ง่ายๆ ส่วนไต้โจว หลิววั่นลี่ถอนหายใจ
เมื่อตอนหลินหย่วนถิงสวามิภักดิ์ เขาเคยตกลงกับเจ้าแคว้นเป่ยฮั่นว่ากองทัพไต้โจวจะไม่ออกจากอาณาเขตเด็ดขาด นี่อาจเป็นเพราะเจ้าแคว้นพระองค์ก่อนไม่ต้องการให้กองทัพไต้โจวอันแข็งแกร่งมีอิทธิพลกับการปกครองเป่ยฮั่น แต่หลิวหย่วนถิงกลับตกลงด้วยความเปรมปรีดิ์ เขาประกาศว่ากองทัพไต้โจวคงอยู่เพื่อพิทักษ์แผ่นดินมาตุภูมิ มิใช่เป็นศาสตราวุธแก่ครอบครัวตระกูลหนึ่ง ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมา กองทัพไต้โจวจึงมิเคยเหยียบย่างออกจากไต้โจว แน่นอนว่าไม่นับการก้าวออกจากด่านเยี่ยนเหมินเพื่อบุกตีเผ่าคนเถื่อน
ด้วยเหตุนี้ผู้ปกปักษ์ด่านหูกวนจึงมีเพียงกองทัพกองนี้ของตนเท่านั้น ทว่าแปดวันเต็มแล้ว หลิววั่นลี่รู้ดียิ่งว่าด่านหูกวนใกล้แตกอยู่รอมร่อ แต่กองทัพต้ายงยังมีกำลังมหาศาล ศึกนี้ตนเองมีแต่พ่ายแพ้ไร้หนทางชนะ
รองแม่ทัพของหลิววั่นลี่เดินเข้ามาหา ริมฝีปากของเขามีตุ่มร้อนในขึ้นเต็มไปหมด น้ำเสียงก็แหบพร่า “ท่านแม่ทัพ กองทัพศัตรูบุกมาอีกแล้ว ครั้งนี้พวกเขาเข็นหอรบเคลื่อนที่มาสี่หอ เกรงว่าคงจะตั้งใจเอาชนะให้จงได้”
หลิววั่นลี่ถอนหายใจแผ่วเบา ภูมิประเทศด่านหูกวนเป็นทางแคบ ปกติแล้วใช้หอรบเคลื่อนที่สองหอกำลังพอดี หากใช้ถึงสี่หอออกจะเบียดเกินไปอยู่บ้าง ความเสียหายจะหนักหนาขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกันแล้ว แรงกดดันที่มีต่อฝ่ายตนก็จะมากขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน หลายวันก่อนกองทัพต้ายงบุกตีด่านอย่างมิเร่งร้อน แต่ละครั้งใช้หอรบเคลื่อนที่เพียงสองหอเท่านั้น เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ใช้ไฟโจมตี”
รองแม่ทัพรับคำสั่ง จากนั้นถ่ายทอดคำสั่งต่อ เพื่อพิทักษ์ด่านให้ได้นานขึ้นสองสามวัน ก่อนหน้านี้หลิววั่นลี่จึงออกคำสั่งให้รอกองทัพศัตรูเคลื่อนเข้าใกล้แล้วค่อยโจมตี เมื่อหอรบเคลื่อนที่สามสี่หอนั้นถูกกองทัพเจิ้นโจวเข็นจนมาถึงหน้าด่าน รองแม่ทัพพลันออกคำสั่ง กองทหารเป่ยฮั่นผู้พิทักษ์ด่านมัดฟางแห้งที่รวบรวมมาเป็นฟ่อน จากนั้นราดน้ำมัน แล้วใช้เครื่องยิงหินขว้างใส่บนหอรบ ต่อมาก็ใช้ธนูเพลิงยิงไปด้านบน เปลวเพลิงแผดเผาบนหอรบทันที เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพต้ายงย่อมมิอาจปีนขึ้นมาด้านบนเพื่อยิงธนูใส่บนกำแพงด่านได้แล้ว
เวลานี้เอง กองทัพต้ายงใต้กำแพงเมืองกลับเคลื่อนไหวผิดปกติ พกวเขามิได้พยายามปีนขึ้นมาบนหอรบเคลื่อนที่เพื่อยิงธนู แต่กลับออกแรงผลักหอรบเคลื่อนที่ให้ล้มคว่ำ หอรบเคลื่อนที่สี่หอเอนล้มใส่กำแพงเมืองแล้วพาดเฉียงอยู่บนนั้น ทันใดนั้นใต้กำแพงเมืองพลันมีแตรสัญญาณแผดเสียงประสาน กองทัพเจิ้นโจวแหวกออกซ้ายขวา ทหารม้าต้ายงราวห้าร้อยนายกองหนึ่งทะยานอาชาวิ่งเข้ามา กีบเท้าเหล็กย่ำฝุ่นตลบ ควันไฟกระเจิงออกรอบด้าน เหยียบผ่านหอรบที่เอนอยู่พุ่งขึ้นมาบนกำแพงเมือง
หลิววั่นลี่ตวาดเสียงดัง “ยิงศร ยิงศร”
เวลานี้กองทัพเป่ยฮั่นมิอาจคำนึงว่าต้องประหยัดลูกศรแล้ว พวกเขายิงศรใส่ทหารม้าต้ายงอย่างไม่คิดชีวิต ยามนี้แม่ทัพของกองทัพต้ายงที่ทะยานนำหน้ามาคนแรกยิ้มกว้างทะยานขึ้นมาบนกำแพงด่านแล้ว กีบเท้าอาชาใหญ่เท่าชามข้าวเหยียบทหารเป่ยฮั่นสองนายไว้ใต้เท้า แหลนอาชาในมือแม่ทัพผู้นั้นวาดร่ายรำ ประกายโลหิตสาดกระเซ็น หลังจากนั้นทหารต้ายงก็ขึ้นมาบนกำแพงด่านมากขึ้นเรื่อยๆ
ด่านหูกวนกำลังจะแตกแล้ว ในใจหลิววั่นลี่มีความคิดนี้ลอยขึ้นมา เขาเกือบจะสิ้นหวังแล้ว ทว่าสายเลือดอันห้าวหาญของบุรุษเป่ยฮั่นทำให้เขาฮึดสู้ขึ้นมาอีกหน เขาถ่ายทอดคำสั่งอย่างลับๆ แล้วบัญชาการให้ทหารที่ปกป้องบนกำแพงต้านทานไว้สุดชีวิตอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตวาดเสียงดัง “ถอย ถอย ให้พวกเขาขึ้นมา”
ยามนี้ใบหน้าของเขาย้อมด้วยโลหิตดูเสมือนหนึ่งผีร้าย แม้ทหารที่ป้องกันอยู่บนกำแพงจะมึนงง แต่เพราะหวั่นกลัวเขาจึงเปิดทางตามคำสั่งอย่างมิรู้ตัว ปล่อยให้ทหารม้าต้ายงสี่ร้อยกว่านายที่เหลือขึ้นมาบนกำแพงด่านหูกวนจนเกือบหมด ทว่าขณะที่พวกเขายินดีลิงโลดนั่นเอง หลิววั่นลี่พลันตะโกนลั่น “ยิงหน้าไม้”