ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 60 นคราวายวอดในกองเพลิง (3)
ตัวอักษรน้อยนิดเพียงร้อยกว่าตัวกลับซ่อนโลหิตและความทุกข์ทรมานนับไม่ถ้วนเอาไว้ หลงถิงเฟยกลับทำได้เพียงนั่งเฉยมองจิงฉือบุกตะลุยเข่นฆ่าผู้คนในหัวเมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของเป่ยฮั่น เขาเก็บซ่อนความขมขื่นในหัวใจ อีกไม่นานก็จะทำให้จิงฉือชดใช้ได้แล้ว เขาลอบปลอบใจตนเอง เวลานี้เอง ต้วนอู๋ตี๋ก็เข้ามารายงานว่า “แม่ทัพใหญ่ ฉีอ๋องมาท้าสู้อยู่หน้าค่ายขอรับ”
ใบหน้าหล่อเหลาของหลงถิงเฟยพลันมีจิตสังหารถาโถมออกมา ก่อนจะตอบว่า “ดี ครั้งนี้เขามารนหาที่ตายเอง อู๋ตี๋ ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้ทั้งกองทัพเตรียมพร้อม รอข้าตรวจทัพเสร็จจะยกทัพออกไปสังหารศัตรู”
ต้วนอู๋ตี๋สัมผัสได้ถึงความห้าวหาญที่จู่ๆ ก็แผ่ออกมาจากร่างของหลงถิงเฟย จิตใจของเขาฮึกเหิมตาม แม้หลงถิงเฟยมิได้บอกแผนการโดยละเอียดกับเขา แต่ดูจากที่หลายวันนี้แทบจะไม่เห็นเซียวถง รวมถึงการที่หลงถิงเฟยจดจ่อวิเคราะห์สภาพแผนที่ภูมิประเทศอยู่ทุกวันก็ดูออกแล้วว่าหลงถิงเฟยมีความมั่นใจว่าจะคว้าชัยมาได้
ศึกตัดสินอยู่ตรงหน้า แม้ต้วนอู๋ตี๋จะไม่พอใจอยู่บ้างที่ตลอดมาหลงถิงเฟยไม่บอกรายละเอียดกับตน แต่ศึกตัดสินที่ใกล้มาถึงทำให้เขาไม่หลงเหลือความขุ่นเคือง ขอเพียงทำลายกองทัพต้ายงให้ย่อยยับได้ ถ้าเช่นนั้นมิว่าต้องเสียสละสิ่งใดล้วนคุ้มค่า
เทียบกับหลงถิงเฟย หลี่เสี่ยนไม่มั่นใจกับสถานการณ์ทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง เขาไม่ทราบการเคลื่อนไหวของจิงฉือชัดเจนนัก ถึงขั้นมิทราบว่าจิงฉือมาถึงที่ใดแล้ว มิว่าอย่างไรที่แห่งนี้ก็คือดินแดนของเป่ยฮั่น พลส่งสารของจิงฉือมิอาจฝ่าด่านหลายชั้นเข้ามาได้ ตัวเขาจึงทำได้เพียงมาท้ารบตามปกติเท่านั้น
บนทุ่งกว้างของชิ่นหยวน หลี่เสี่ยนอยู่บนหลังอาชาศึก กองทัพต้ายงสี่หมื่นนายชูธงปลิวไสวตั้งกระบวนทัพอยู่ด้านหลังร่างเขา กระบวนทัพสี่เหลี่ยมสีครามเกือบดำมีไอสังหารพุ่งสูงเทียมฟ้า สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือองครักษ์สวมเกราะเหล็กสามพันนายด้านหลังหลี่เสี่ยน พวกเขาล้วนสวมชุดเกราะสีแดง ยามสายลมวสันต์พัดผ่าน ผ้าคลุมสะบัดพรึ่บพรั่บ ทำให้พวกเขาแลดูกำเริบเสิบสานไร้ความกลัวเกรงดุจไฟป่าที่ลุกลามทั่วท้องทุ่งและขุนเขายามวสันต์ฤดู
ทหารม้าทัพต้ายงคนอื่นยืนนิ่งไม่ไหวติงประหนึ่งหลอมมาจากเหล็กกล้า แม้กระบวนทัพนิ่งสงบ แต่ในความนิ่งกลับแฝงความเคลื่อนไหว มิว่าอย่างใดล้วนแผ่ความทรงพลังและความน่าเกรงขามทำให้รู้สึกมิอาจต่อต้าน
แต่ในใจหลี่เสี่ยนผู้อวดแสนยานุภาพอยู่หน้ากระบวนทัพผู้นั้นกลับหงุดหงิดยิ่งนัก แม้ที่อานเจ๋อจะพ่ายแพ้ แต่กำลังทหารในมือก็ยังพรั่งพร้อม ทหารม้าสี่หมื่น แล้วยังมีพลทหารเดินเท้าด้านหลังอีกเกือบสี่หมื่น ต่อให้กองทัพเป่ยฮั่นจะประกาศว่ามีทหารม้าหนึ่งแสนคน แต่ในหมู่ทหารเหล่านั้นมีเพียงห้าหมื่นคนที่เป็นทหารชั้นยอด ส่วนกว่าครึ่งที่เหลือเป็นทหารใหม่ที่เสริมเข้ามาครึ่งปีนี้ มิว่าวรยุทธ์ หรือการฝึกฝนล้วนสู้ทหารชั้นยอดของเป่ยฮั่นชุดเดิมมิได้ ตามหลักแล้วฝั่งตนมีทหารแกร่งอาชากำยำ แล้วยังมีทหารม้าสามหมื่นของจิงฉือที่มิรู้ว่าจะมาถึงยามใด หากสองฝั่งรบกันขึ้นมา อย่างน้อยตนก็ไม่มีทางพ่ายแพ้
แต่เจียงเจ๋อกลับบอกว่าให้ตนมิต้องดันทุรังจนเกินไป เมื่อพ่ายแพ้แล้วถอยมาก็พอ เขาจะดูแลหนทางด้านหลังเตรียมทางถอยไว้ให้ แล้วยังจะให้เซวียนซงพากองทัพพลเดินเท้ามารับตนเองด้านหลังอีก
คิดว่าตนจะต้องพ่ายแพ้แน่หรือไร รบกันมาตั้งหลายวันแล้ว กองทัพเป่ยฮั่นเป็นฝ่ายได้เปรียบครั้งใดบ้าง หลี่เสี่ยนคิดอย่างขุ่นเคือง ตนตีทัพเป่ยฮั่นให้พ่ายแพ้ย่อยยับไม่เป็นกระบวนเลยดีหรือไม่ ที่บอกว่าต้องทำลายกำลังหลักของกองทัพศัตรูให้สิ้นซากหมายความว่าอย่างไร เพียงทำให้กองทัพเป่ยฮั่นพ่ายแพ้ครั้งใหญ่อีกสักหน พวกเขายังจะมีกำลังกอบกู้สถานการณ์อีกหรือ
เวลานี้เอง ค่ายใหญ่ของกองทัพเป่ยฮั่นก็พลันมีการเคลื่อนไหว ประตูค่ายทิศใต้ที่ประจันหน้ากับกองทัพต้ายงเปิดออก ทหารม้าเกราะแดงเพลิงกองหนึ่งแห่ออกมาจากประตูค่าย ในเวลาเดียวกันประตูค่ายฝั่งตะวันออกกับตะวันตกสองฝั่งก็เปิดออกกว้างเช่นกัน ทหารม้าเป่ยฮั่นทะลักออกมาไม่ขาดสายดั่งน้ำหลาก
กองทัพเป่ยฮั่นแตกต่างจากกองทัพต้ายง ยามออกจากค่ายพวกเขาไม่จัดกระบวนแถว แต่แห่ออกมาอย่างไร้ระเบียบเฉกเช่นฝูงหมาป่า ทว่าเมื่อพวกเขามารวมตัวกันบนพื้นที่ว่างกลับราวกับสายธารไหลลงสู่มหาสมุทร รวมตัวกันเป็นกระบวนทัพอันแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เพียงชั่วครู่ ทหารเป่ยฮั่นอย่างน้อยหลายหมื่นนายก็ตั้งแถวเป็นกระบวนทัพ ด้านหลังของพวกเขายังมีทหารม้าอาภรณ์สีน้ำตาลนับไม่ถ้วนกำลังตั้งกระบวนทัพต่อ
หลี่เสี่ยนขมวดคิ้วอยู่บนอาชา ดูจากสถานการณ์วันนี้ หลงถิงเฟยคงคิดสู้ตัดสินกับตนแล้ว ความจริงหลายวันนี้กองทัพเป่ยฮั่นก็มีความได้เปรียบอยู่บางประการ แต่หลี่เสี่ยนท้าทายหลายครั้งหลายหน หลงถิงเฟยก็ไม่ยอมออกมาสู้ตัดสินด้วยตนเอง เหตุไฉนวันนี้จึงเปลี่ยนความตั้งใจ หรือว่าสถานการณ์สงครามเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อันใด
หัวใจเขาเต้นกระหน่ำ ในใจคิดว่าหากสู้ตัดสินกันจริง เกรงว่ากองทัพของตนอาจต้านไม่ไหว ต้องใช้ทางถอยเส้นนั้นจริงๆ เสียแล้ว แต่สุยอวิ๋นบอกว่าหลงถิงเฟยจะไม่นำกำลังทั้งหมดออกมาสู้ตัดสินกับตนง่ายๆ มิใช่หรือไร
เวลานี้เอง องครักษ์บนหลังทหารม้าหลายนายก็คุ้มกันคนผู้หนึ่งก้าวออกมาช้าๆ จากในกระบวนทัพของกองทัพเป่ยฮั่น คนผู้นั้นเปิดหน้ากากหมวกเกราะ เผยใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาสีเขียวเข้มเก็บงำความเจ็บปวดและโศกเศร้าคับแค้นไว้ลึกล้ำ ใบหน้าซูบตอบเล็กน้อยแลดูซีดเซียวอยู่บ้าง มีเพียงท่าทางหยิ่งทะนงก้มมองใต้หล้าเช่นนั้นที่ยังคงเหมือนดั่งวันวาน
หลงถิงเฟยลูบทวนวงเดือนแสนรักแผ่วเบา ในใจเต็มไปด้วยจิตสังหาร ความอัปยศนานาประการในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้หัวใจเขาเคียดแค้นเหลือคณา สี่แม่ทัพใต้บัญชาวันนี้เหลือเพียงต้วนอู๋ตี๋ ก่อนหน้านี้แม่ทัพและเหล่าทหารในกองทัพมิมีผู้ใดมิเลื่อมใสตนจากใจจริง ทว่านับแต่สืออิงจากไป เขามักรู้สึกว่าไพร่พลในกองทัพไม่พอใจเพิ่มขึ้นทุกวัน กระนั้นเขาก็ทำได้แต่ใช้กำลังปรามไว้ชั่วคราว จนกระทั่งหลายวันก่อนหลังใช้น้ำจมกองทัพต้ายงที่อานเจ๋อ แม้มีสิ่งที่สูญเสียไปมิน้อย แต่มิว่าอย่างไรผลการศึกก็น่าตะลึง แม่ทัพและเหล่าทหารในกองทัพจึงกลับมาเชื่อถือตนดังเก่า
ทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นเพราะเจียงเจ๋อผู้นั้นกับหลี่เสี่ยนผู้อยู่ตรงหน้า มิว่าอย่างไรความยากลำบากนานาประการในอดีตย่อมต้องผ่านพ้น ขอเพียงวันนี้คว้าชัยชนะครั้งใหญ่เหนือกองทัพต้ายงได้ ก็จะกอบกู้สถานการณ์สำเร็จ ถึงยามนั้นตนเองย่อมมีโอกาสจัดระเบียบกองทัพใหม่อีกหน
หลงถิงเฟยมองเงาร่างรั้นที่ถือแหลนอาชาอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาพลันมีประกายเปลวเพลิงลุกโชติช่วง หากมิกังวลว่าหลังจากฉีอ๋องสู้ไม่ได้จะถอยกลับไปในภูเขา ประสานกำลังกับพลเดินเท้าขวางกองทัพเป่ยฮั่น ตั้งหลักรอกำลังเสริม ตนมีหรือจะมิกล้ายกพลกองทัพทหารม้าหลายหมื่นนายนี้ออกมาเข่นฆ่าสังหาร
ในที่สุดวันนี้ก็จะได้สังหารกองทัพศัตรูทั้งหมดแล้ว ถึงเวลากองทัพเป่ยฮั่นจะไล่ล่าเฉกเช่นฝูงหมาป่า กำจัดกองทัพต้ายงที่รุกรานดินแดนทีละกอง ให้กองทัพต้ายงพ่ายแพ้ย่อยยับ อีกหลายปีนับจากนี้อย่าได้คิดหมายตาทางเหนืออีก สองสามปีหลังจากนี้ ต้ายงก็คงต้องสนใจเรื่องของตนเองจนไม่มีเวลาว่างแล้ว
หลงถิงเฟยชูทวนวงเดือนในมือขึ้นสูงแล้วตวาดก้อง “สังหารกองทัพต้ายงให้สิ้น จับเป็นหลี่เสี่ยน!”
เมื่อกองทัพเป่ยฮั่นได้ยิน จิตใจพลันฮึกเหิม โห่ร้องเสียงดังลั่นตาม ชั่วขณะนั้นกองทัพแสดงพลังอันน่าเกรงขามออกมา
แต่เดิมหลี่เสี่ยนก็นิสัยดุจเปลวเพลิงอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหลงถิงเฟย โทสะพลันผุดขึ้นในใจอย่างมิอาจห้าม เขาชี้แหลนอาชาในมือไปยังกองทัพเป่ยฮั่น ริมฝีปากยิ้มหยาม “ทหารทั้งหลาย ปกติคนเป่ยฮั่นเรียกตนเองว่าวีรบุรุษ แต่ที่อานเจ๋อกลับกล้าใช้แต่อุบายปล่อยน้ำมาโจมตี หลายวันนี้ยังเป็นเต่าหดหัวอยู่ในค่าย มิกล้าประจันหน้าศัตรู พวกคนขี้ขลาดเหล่านี้กลับบอกว่าจะสังหารกองทัพเราให้สิ้น พวกเจ้าเชื่อหรือไม่”
เถาหลิน หนึ่งในสี่องครักษ์คนสนิทข้างกายหลี่เสี่ยนเป็นผู้มีอารมณ์ขันที่สุด เขาตะโกนตอบเสียงดัง “องค์ชาย แม่ทัพหลงกล่าววาจาโอหังอย่างมิอาย แต่ท่านไยต้องโมโหเล่า รอพวกเราจับตัวแม่ทัพใหญ่หลงได้ ให้เขามารินสุราให้องค์ชายเป็นเช่นไร”
กองทัพต้ายงได้ยินต่างหัวเราะดังลั่น กองทัพเป่ยฮั่นกลับตวาดด่าทอเสียงดัง หลี่เสี่ยนกับหลงถิงเฟยกลับเพียงมองฝั่งตรงข้ามอย่างเยือกเย็น ความเยือกเย็นของแม่ทัพผู้นำทัพค่อยๆ แพร่ไปยังแม่ทัพและเหล่าทหารของทั้งสองกองทัพ สนามรบกลับมาเงียบสงบอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัว ความเงียบสงัดที่มีจิตสังหารล้นปรี่แฝงอยู่เช่นนั้นยิ่งทำให้แรงกดดันหนักหน่วง ทุกคนล้วนรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
หลังจากนั้นหลงถิงเฟยกับหลี่เสี่ยนก็ราวกับใจสื่อถึงกัน ออกคำสั่งแทบจะในเวลาเดียวกัน กระแสธารสีครามเกือบดำกับสีน้ำตาลถาโถมออกมาเข้าปะทะกับอีกฝ่ายแทบจะพร้อมกัน ศึกตัดสินระหว่างกองทัพต้ายงกับกองทัพเป่ยฮั่นเริ่มต้นขึ้นแล้ว