ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 61 หวนพบบนสนามรบ (1)
ปีอู้อิ๋น[1] รัชศกหลงเซิ่งปีที่หนึ่ง เดือนสาม วันที่ยี่สิบห้า ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนยาตราทัพถึงชิ่นหยวน ประจันหน้ากับหลงถิงเฟยที่ชิ่นหยวน กองทัพเป่ยฮั่นหนึ่งแสน กองทัพต้ายงสี่หมื่น ทว่ากองทัพเป่ยฮั่นมีทหารใหม่จำนวนมาก หลงถิงเฟยจึงอดทนอย่างเงียบๆ มินำทัพออกศึก
เดือนสาม วันที่ยี่สิบเก้า หลงถิงเฟยยกทัพออกจากค่าย สองทัพตัดสินกัน ณ ชิ่นหยวน
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
แหลนอาชางัดทหารเป่ยฮั่นคนหนึ่งร่วงจากหลังม้า หลี่เสี่ยนโยนแหลนอาชาไปไว้ในมือซ้ายเพราะข้อมือขวาเริ่มชาเล็กน้อยแล้ว หลังจากนั้นองครักษ์คนสนิทก็รุมล้อมเขาพากลับมาในกองทัพหลวง นี่เป็นหนที่สามที่เขานำองครักษ์คนสนิททะลวงกระบวนทัพข้าศึก การได้เข่นฆ่าจนสาแก่ใจเช่นนี้ทำให้หลี่เสี่ยนรู้สึกอิ่มเอมไปทั่วทั้งร่าง
แม้กองทัพต้ายงมีคนน้อยกว่าอยู่บ้าง แต่กองทัพเป่ยฮั่นก็เหมือนจะยกไพร่พลออกมาเพียงหกเจ็ดหมื่นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นมีทหารใหม่กับทหารเก่าปะปนกัน ด้วยเหตุนี้แม้รบมาครึ่งวันแล้ว แต่กองทัพต้ายงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้แต่อย่างใด ทว่าคิดจะคว้าชัยชนะก็อย่าหวังเช่นกัน
หลงถิงเฟยผู้นั้นมีความชอบคล้ายคลึงกับตน ตนบุกออกมาทลายกระบวนทัพสามหน เขาก็บุกออกมาทลายกระบวนทัพห้าหน มิหนำซ้ำมักจะนำทหารใหม่พวกนั้นบุกเข้ามายังช่องโหว่ที่ปรากฏยามกระบวนทัพต้ายงเปลี่ยนทิศทางรบอีก พอได้ฝึกปรือหลายหนเข้า ทหารใหม่เหล่านั้นก็ค่อยๆ คุ้นชินกับการทำศึกแล้ว
หลี่เสี่ยนสัมผัสได้ว่าแรงกดดดันกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ จะถอยก่อนชั่วคราวดีหรือไม่ หลี่เสี่ยนคิดในใจพลางออกคำสั่งบัญชาการกองทัพต้ายงให้โจมตีช่องโหว่ของกองทัพศัตรู ทั้งสองกองทัพล้วนเป็นยอดทหารม้าที่รอดชีวิตมาจากศึกนับร้อย เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ฝีมือทัดเทียม พวกเขาจึงตกอยู่ในการต่อสู้อันยากลำบาก
หลงถิงเฟยสีหน้าเคร่งขรึม มองกองทัพศัตรูฝั่งตรงข้าม กองทัพต้ายงจัดการไม่ง่ายจริงๆ กองทัพต้ายงสี่หมื่น แบ่งเป็นกองทัพทหารม้าสามกอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยามกองหนึ่งบุกทะลวง อีกสองกองก็มักจะช่วยคุมหลัง กองทัพต้ายงป้องกันแน่นหนาบุกทะลวงเก่งกาจ ฉีกแนวป้องกันของกองทัพเป่ยฮั่นครั้งแล้วครั้งเล่า เก็บเกี่ยวชีวิตทหารมากพอแล้วก็ถอยกลับไป
เพราะความพ่ายแพ้ยับเยินที่เจ๋อโจวเมื่อปีกลาย กองทัพเป่ยฮั่นจึงมิอาจบุกทะลวงกระบวนทัพของต้ายงได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก หลงถิงเฟยจึงตัดสินใจคลายกระบวนทัพ ใช้ทหารม้าเร็วตระเวนอยู่รอบนอกกระบวนทัพของกองทัพต้ายง จากนั้นใช้ศรจำกัดอาณาเขตการเคลื่อนไหวของกองทัพต้ายง แล้วสั่งการทหารชั้นยอดให้วนเวียนโดยรอบเพื่อทำลายโอกาสที่กองทัพต้ายงจะบุกทะลวงกองทัพเป่ยฮั่น
สองฝ่ายต่อสู้กันยืดเยื้อเช่นนี้ กองทัพต้ายงมิอาจตีกระบวนทัพแตก กองทัพเป่ยฮั่นก็มิอาจกดดันกองทัพต้ายงได้อย่างสมบูรณ์ ในใจหลี่เสี่ยนกับหลงถิงเฟยต่างเข้าใจดีว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะก็จะเป็นชัยชนะที่เสียหายหนักหนาครั้งหนึ่ง
แต่ความสามารถในการบัญชากองทัพระหว่างทำศึกของทั้งสองคนต่างกันไม่มาก ในสถานการณ์ที่กำลังทหารเกือบทัดเทียมกันเช่นนี้ ผู้ใดก็มิมีหนทางคว้าชัยชนะได้โดยเร็ว ทำได้เพียงยื้อยุดผลาญชีวิตไพร่พลเท่านั้น ผู้ใดผิดพลาดน้อยกว่า ผู้นั้นก็คือผู้กำชัย
หากเป็นก่อนหน้านี้ หลี่เสี่ยนกับหลงถิงเฟยคงคิดหาวิธีหลบเลี่ยงการทำศึกในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ยามนี้ในใจของทั้งสองคนต่างมีแผนการซ่อนอยู่ ดังนั้นฝั่งใดก็มิยอมรามือ ยิ่งไปกว่านั้น สองกองทัพโรมรันกันมาครึ่งวันแล้ว ช่วงเวลานี้ ทั้งสองฝ่ายกำลังทำศึกกันอย่างดุเดือดที่สุด ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ว่าผู้ใดก็มิกล้าแสดงท่าทีอ่อนแรง ถอยทัพให้เกิดอันตราย
หลี่เสี่ยนขมวดคิ้ว ผิดปกติ เขาเคยเห็นวิธีบัญชาการกองทัพของหลงถิงเฟยมาก่อน อีกฝ่ายเป็นคนที่ยอมตกอยู่ในศึกยืดเยื้อในสถานการณ์ที่ยังมิรู้จุดจบแน่ชัดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด หากไม่มั่นใจว่าจะชนะเจ็ดถึงแปดส่วน หลงถิงเฟยไม่มีทางยกกำลังพลจำนวนมากออกมาสู้ การเอาตัวเข้าเสี่ยงอันตรายเป็นเรื่องที่ตนมักกระทำต่างหาก แต่ตอนนี้ก็ทำน้อยครั้งแล้ว เพราะอย่างไรเสียตนก็มีความมั่นใจแล้วว่าตนเองจะรบกับหลงถิงเฟยได้ ถ้าเช่นนั้นที่เขากระทำเช่นนี้ย่อมต้องมีแผนการซ่อนอยู่
เวลานี้เอง ซูชิงก็ควบม้าเข้ามารายงานเสียงดัง “องค์ชาย แม่ทัพจิงอยู่ห่างออกไปยี่สิบลี้ ทัพหน้าของเขาติดต่อกับทหารสอดแนมของพวกเราแล้ว”
ในใจหลี่เสี่ยนยินดียิ่งนัก อยู่ในเขตแดนเป่ยฮั่น ข่าวสารของหลงถิงเฟยย่อมว่องไวกว่าตนเอง ถ้าเช่นนั้นหลงถิงเฟยก็น่าจะทราบข่าวที่จิงฉือกำลังจะมาถึงแล้ว เขาจึงตั้งใจจะทำลายกองทัพของข้าก่อนจิงฉือมาถึง
เมื่อในใจคิดตกแล้ว หลี่เสี่ยนจึงเริ่มเปลี่ยนยุทธวิธี เขาพยายามเคลื่อนกำลังพลมารวมตรงกลาง หดแนวป้องกัน ผลลัพธ์ก็คือแนวรบของกองทัพเป่ยฮั่นขยายยาวมากยิ่งขึ้น การโจมตีโหมรุนแรงกว่าเดิม ราวกับคลื่นสมุทรซัดโจมตีโขดหินสูงตระหง่านมิหยุดหย่อน
ฝ่ายหลี่เสี่ยนบัญชาการให้กระบวนทัพยื้อหลงถิงเฟยไว้สุดกำลัง มิยอมปล่อยให้กองทัพเป่ยฮั่นถอยไปง่ายๆ เป็นอันขาด ขอเพียงรั้งกองทัพเป่ยฮั่นไว้ได้ช่วงเวลาหนึ่งก็จะกระหนาบในนอก ทำลายกองทัพศัตรูให้เสียหายครั้งใหญ่สำเร็จ
ห่างออกไปยี่สิบลี้ จิงฉือกำลังพาทหารม้าวิ่งทะยานไปยังสนามรบ แม้ระหว่างทางจะราบรื่น แต่ก็ยังมีทหารและชาวบ้านเป่ยฮั่นไม่น้อยพยายามต่อต้าน ถึงคนเหล่านั้นจะถูกเขาสังหารจนสิ้น แต่กองทัพต้ายงก็เสียหายอยู่บ้าง แม้แต่จิงฉือเองก็บาดเจ็บเล็กน้อยด้วย
ตอนจิงฉืออายุยังน้อย เป็นช่วงเวลาที่จงหยวนโกลาหลพอดี ประชาชนมิอาจทำมาหาเลี้ยงชีพ จิงฉือผู้เกิดมาสันดานดุร้ายมิยอมอยู่ในชนบทให้ผู้คนดูถูก เขาตัดสินใจไปเป็นโจร สิ่งที่ทำจนเคยชินที่สุดคือการสังหารคนจนเกลื่อนท้องทุ่ง ต่อมาต้ายงเริ่มแข็งแกร่งขึ้น แม้จิงฉือจะมีนิสัยหยาบกระด้าง แต่ก็ทราบว่าเป็นโจรมิอาจเป็นตลอดไป ดังนั้นเขาจึงไปเข้ากองทัพต้ายง เนื่องจากวิชายุทธ์กล้าแกร่ง ไม่ถึงครึ่งปีเขาจึงกลายเป็นทหารกล้าที่มีอยู่นับได้ในกองทัพ ต่อมาได้รับความไว้วางใจจากยงอ๋องจึงกลายเป็นแม่ทัพคนสนิทคนโปรดของยงอ๋อง เรื่องราวในอดีตจึงมิมีผู้ใดเอ่ยถึง
หลี่จื้อยึดถือกฎกองทัพเคร่งครัด มิชอบการเข่นฆ่าเชลยและการสังหารล้างบางเป็นที่สุด จิงฉือหวั่นกลัวกฎกองทัพจึงควบคุมสันดานป่าเถื่อนเอาไว้ แต่หลายวันก่อนเขานำทัพเพียงลำพัง แต่เดิมแรงกดดันก็มากมายยิ่งนักอยู่แล้ว เมื่อพบการต่อต้านอย่างเข้มแข็งของชาวเป่ยฮั่นอีก จึงยิ่งจุดโทสะให้แก่แม่ทัพอดีตโจรร้ายผู้นี้ เขาจึงตัดสินใจเปิดฉากสังหารล้างบาง
เดิมทีเขาไม่รู้สึกอันใด แต่ยามนี้ใกล้จะรวมพลกับฉีอ๋อง จิงฉือกลับย้อนคิดถึงการกระทำของตนเองแล้วรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อยอย่างห้ามมิได้ สุดท้ายเขาก็ปัดความกังวลใจทิ้งไป คิดว่าหากเอาชนะกองทัพเป่ยฮั่นได้ก็คงไม่มีผู้ใดตัดศีรษะตนเพื่อรักษากฎกองทัพกระมัง
ด้วยเหตุนี้แม้เขาทราบว่ากำลังทหารของกองทัพเป่ยฮั่นมิอ่อนแอ แต่ก็มิหวาดกลัวแม้สักนิด อาศัยรายงานของทหารสอดแนม จากนั้นตัดสินใจว่าจะเดินทัพเช่นไรดี ทหารสอดแนมที่ไปสืบสถานการณ์ศึกด้านหน้าห้ออาชาตะบึงกลับมารายงานข่าวการศึกอย่างสั้นกระชับ แล้วส่งแผนที่หยาบๆ ที่วาดด้วยมือตนเองมาให้
จิงฉือสั่งให้กองทัพชะลอความเร็ว ตนเองหยุดอยู่ข้างทาง อ่านแผนที่หยาบๆ ที่ทหารสอดแนมวาดอยู่บนอานม้าพลางงึมงำเสียงเบา เวลานี้สภาพของเขาดูอเนจอนาถอยู่เล็กน้อย ผมสยายปรกบ่า หมวกเกราะถูกเขาทำร่วงหายไปตั้งแต่เมื่อใดแล้วมิทราบ ชุดเกราะทั้งตัวก็เละเทะจนดูไม่ได้ บนนั้นมีคราบเปื้อนเป็นด่างดวง บางรอยเป็นคราบโคลนสีน้ำตาล บางรอยก็เป็นคราบโลหิตสีแดง แม่ทัพกับองครักษ์คนสนิททั้งหลายที่อยู่ด้านข้างลอบขบขันแต่มิกล้าพูดมาก
ความเผด็จการและความโหดเหี้ยมของจิงฉือตลอดทางที่ผ่านมาทำให้ทหารกล้าแม่ทัพผู้ห้าวหาญซึ่งเป็นทหารมานานปีเหล่านี้หวาดเกรงและหวั่นกลัวยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ตอนจิงฉือติดตามอยู่ข้างกายยงอ๋อง เขาย่อมมิเผยสันดานหยาบช้าออกมา เมื่อมาอยู่ใต้บัญชาของฉีอ๋อง จิงฉือยิ่งระวังตัวอยู่เสมอ ไม่มีทางเผยช่องโหว่ให้ผู้อื่นใช้เป็นจุดอ่อน
แต่ครั้งนี้เขานำทัพเพียงลำพัง อีกทั้งต้องบุกตะลุยเข่นฆ่ามาตลอดทาง โฉมหน้าที่แท้จริงของจิงฉือซึ่งถูกซ่อนไว้ใต้ความโผงผางจึงถูกทุกคนล่วงรู้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหวาดกลัวและทำตัวเคารพนบนอบกับจิงฉือเพิ่มขึ้นหลายส่วน จนไม่ต้องพูดถึงการหยอกล้อเล่นหัวเหมือนก่อนหน้านี้
ต้องรู้ว่าเมื่อหลายวันก่อนจิงฉือลงมือสังหารทหารกล้าสิบกว่าคนของกองทัพที่มัวเมากับการปล้นฆ่าจนลืมเวลาจัดแถวกองทัพด้วยมือตนเอง ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้ทุกคนเห็นความบ้าอำนาจกับความดุร้ายที่จิงฉือกดเก็บไว้มาตลอด ต่อให้จิงฉือจดจ่อกับการวิเคราะห์แผนที่อยู่ตรงนั้นโดยมิยอมเดินทัพไปช่วยเหลือฉีอ๋องให้ทันกาลก็มิมีผู้ใดกล้าถามมากสักคำ
จิงฉือเกาเส้นผมยุ่งเหยิงอย่างลวกๆ ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยว่า “เอาละ ตอนนี้กองทัพเป่ยฮั่นถูกฉีอ๋องดึงไว้แล้ว เดินทัพตอนนี้ดีที่สุด ตีกองทัพเป่ยฮั่นให้แตกกระเจิง ถึงเวลาพวกเราจะได้ไล่ตีสุนัขตกน้ำ ถ่ายทอดคำสั่งข้า บุกฝั่งตะวันออกของกองทัพศัตรูทะลวงตรงไปยังกองทัพหลวง คอยทำตามสัญญาณธงของบิดา ไป” กล่าวจบก็ตวาดเสียงดังคำหนึ่งแล้วชักอาชาวิ่งทะยานลงจากสันเขา
ในใจเขาคิดว่า ยามนี้กองทัพเป่ยฮั่นมิทราบว่าตนมาถึงแล้วจึงจะแปลก แต่คิดๆ ดูแล้วพวกเขาก็คงมิมีหนทางให้ผละหนี ตลอดทางที่ผ่านมาบิดาพบทหารสอดแนมของกองทัพเป่ยฮั่นเมื่อใดล้วนสังหารจนเกลี้ยง ต่อให้พวกเจ้าได้รับข่าวก็ไม่แน่ว่าจะล่วงรู้เวลาที่บิดาจะลงมือ ทว่าแม้แต่จะถอยทัพก็ยังถอยไม่ได้ก็คงหมดหนทางแล้วจริงๆ หากมิใช่ทราบอยู่แล้วว่าไม่มีทางมีทหารกองหนุน บิดาก็คงมิกล้าเคลื่อนกำลังพลทั้งหมด
จิงฉือถ่ายทอดคำสั่งจบก็ควบม้าทะยานนำไปด้านหน้า แม่ทัพทั้งหลายต่างฮึกเหิม แต่ละคนกลับไปยังกองทหารของตนแล้วจัดกระบวนแถวขณะเดินทัพ ทหารม้าของกองทัพต้ายงล้วนเป็นทหารชั้นยอดที่รอดชีวิตมาจากศึกนับร้อย ต่อให้อยู่ระหว่างเดินทัพ กระบวนแถวก็ไม่สับสนแม้สักนิด เสียงกีบเท้าม้าเป็นระเบียบ พันทหารหมื่นอาชาเสมือนหนึ่งคนหนึ่งอาชา
จิงฉือพุ่งนำลงทางลาดไปก่อน บนที่ราบห่างไม่กี่สิบลี้ด้านล่างคือจุดที่กองทัพของฉีอ๋องกับหลงถิงเฟยสองกองทัพกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ไม่ไกลคือเมืองชิ่นหยวนกับแม่น้ำชิ่นสุ่ยซึ่งกำลังมีคลื่นน้ำเกรี้ยวกราดของยามวสันต์ซัดโถม จิงฉือโบกมือ องครักษ์คนสนิทคนหนึ่งยกแตรสัญญาณขึ้นเป่า หลังจากนั้นแต่ละกระบวนทัพในกองทัพต้ายงก็มีเสียงแตรสัญญาณเป่าพร้อมเพรียงจากแต่ละจุด เสียงสัญญาณประหนึ่งสายฟ้าวาดแหวกนภา ดังกระหึ่มทอดต่อกัน
จิงฉือยกแขนตวาดลั่น “ตามข้ามา” จากนั้นฉวยธงแม่ทัพผืนหนึ่งจากมือขององครักษ์คนสนิทชูขึ้นสูงด้วยมือซ้ายแล้วชักม้ากระโจนลงจากเนินเขา ทหารทั้งหลายด้านหลังไม่รอให้เขาออกคำสั่งซ้ำก็พุ่งตามไปด้วย
กระแสคนดำทะมึนดุจผืนน้ำสีดำสนิทสายหนึ่งโถมทะลวงฝั่งตะวันออกของกระบวนทัพเป่ยฮั่น ปลายธงกองทัพนั่นเป็นหัวหอกแหลมคม จิงฉือสะบัดธงแทงทหารเป่ยฮั่นคนหนึ่งล้มคว่ำ ทหารม้าแห่งกองทัพต้ายงตัดผ่านปีกขวาฝั่งตะวันออกของกองทัพเป่ยฮั่นประหนึ่งดาบเหล็กกล้า
[1] อู้อิ๋น ปีเสือ ปีที่ 15 ในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า