ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 71 ตาข่ายดักสี่ทิศ (2)
หลี่เสี่ยนบังคับอาชาให้ห้อตะบึงสุดแรง ยามนี้มิจำเป็นต้องพะวงถึงกำลังของม้าแล้ว องครักษ์คนสนิทที่คุ้มกันอยู่ข้างกายเขาล้วนคิ้วขมวดเป็นปม พวกเขายังมิทราบว่าทางฝั่งเจ๋อโจวเตรียมคอยรับเช่นไร หลังจากพวกตนพ่ายแพ้ถอยมาถึงชิ่นหยวน การติดต่อระหว่างพวกเขากับด้านหลังก็ถูกตัดขาด ข่าวสารทั้งหมดที่ส่งไปมามีเพียงหลี่เสี่ยนเพียงคนเดียวที่ล่วงรู้ ระหว่างที่แยกย้ายกันหนี หนทางเวิ้งว้างเบื้องหน้าทำให้พวกเขากังวลใจอย่างที่สุด
จิงฉือพาองครักษ์คนสนิทรั้งท้ายกองทัพต้ายงที่หนีกระเจิง ในมือเขามีทหารม้าชั้นยอดอยู่สามพันนายที่ยังตั้งแถวค่อนข้างสมบูรณ์ หากกองทัพเป่ยฮั่นไล่ตามมาใกล้ เขาก็โต้กลับได้ ทว่ากองทัพเป่ยฮั่นหวังจะตีวงโอบล้อมจึงมิคิดสิ้นเปลืองกำลังทหารให้เสียเปล่า ดังนั้นตลอดทางกองทัพทั้งสองจึงมิได้ปะทะกัน
ข้างกายจิงฉือมีใบหน้าที่ค่อนข้างแปลกตาดวงหนึ่งเพิ่มมา เขาก็คือรองแม่ทัพหนุ่มนามว่าไต้เย่ว์ ศึกที่ปากหุบเขาทิศเหนือของหุบเขาชิ่นสุ่ยครั้งก่อน ไต้เย่ว์กับลู่ซูหันขุนพลผู้ห้าวหาญจากเป่ยฮั่นต่อสู้กัน แม้เขาพ่ายแพ้กลับมา แต่ความปราดเปรียวและความหัวไวของเขาก็ได้รับคำชื่นชมจากจิงฉือพอสมควร ด้วยเหตุนี้จิงฉือจึงเก็บเขาไว้ข้างตัว จิงฉือในตอนนี้ย่อมมิทราบว่าตนเองเก็บศัตรูอันตรายเอาไว้
หลังผ่านการเดินทางระหกระเหินอย่างยากลำบาก หลี่เสี่ยนรู้ดีว่ากำลังเข้าใกล้ชายแดนของเจ๋อโจวแล้ว ในใจเขารำพึง เหตุไฉนยังมิเห็นกองทหารที่มารับอีกเล่า ขณะที่ก้มหน้าก้มตาควบอาชา เวลานี้เองด้านหน้าพลันมีทหารต้ายงรีบร้อนควบอาชากลับมาพลางตะโกนอย่างตื่นตระหนก “องค์ชาย แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ด้านหน้ามีทหารไต้โจวดักอยู่”
หลี่เสี่ยนหยุดม้า ในใจลอบกลัดกลุ้ม คิดไม่ถึงว่าม้าของกองทัพไต้โจวจะเร็วปานนี้ พวกเขาคงเร่งฝีเท้าอ้อมรอบนอกของกองทัพต้ายงที่หนีกระเจิงมา ตนเองแทบจะอยู่แถวหน้าสุดของกองทัพต้ายงแล้ว แต่ก็ยังถูกกองทัพไต้โจวดักไว้ได้ หากเป็นเช่นนี้แล้วมิมีทัพหนุน ไยมิใช่ต้องย่อยยับทั้งกองทัพ
เขามิอยากเพ้อฝันว่าจะทะลวงผ่านการดักขวางของกองทัพไต้โจวที่นี่ได้ ที่แห่งนี้มิใช่หุบเขาชิ่นสุ่ยที่มีปากหุบเขาคอยขวางกองทัพเป่ยฮั่น แล้วที่แห่งนี้ก็มิใช่อานเจ๋อ ที่นั่นหนทางเป็นโคลนเลน ความเร็วของอาชาถูกถ่วงรั้งไว้จนต่างกันไม่มาก แต่ที่แห่งนี้คือทุ่งกว้างระหว่างเขตแดนเจ๋อโจวกับชิ่นโจวซึ่งเหมาะแก่การสู้รบด้วยทหารม้ามากที่สุดแล้ว หากไม่นับฉินเจ๋อ
ในใจหลี่เสี่ยนสาปแช่งเจียงเจ๋อในใจ คนแซ่เจียง หากท่านมิได้เตรียมทหารดักซุ่มไว้ก็เตรียมรอเก็บศพข้าเถอะ ข้ายังไม่มีธิดาสายตรง ลูกสะใภ้ของท่านยังมิทันเกิดมาดูโลก หากข้าตายที่นี่ พอกลายเป็นผี ข้าจะสาปแช่งบุตรชายท่านให้แต่งภรรยามิได้ชั่วชีวิต
ทว่าปากกลับเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เข้าใจแล้ว จงรวมกองทัพตรงนี้ ข้าจะไปพบหน้าองค์หญิงจยาผิงสักหน่อย” กล่าวจบก็ทะยานอาชาไปด้านหน้า ในใจคิดว่าหากทหารที่ไล่ตามด้านหลังยังมามิถึง กองทัพไต้โจวก็คงมิเคลื่อนไหวง่ายๆ มิสู้ข้าไปพบหน้าหลินปี้สักหน่อย สนทนาสัพเพเหระสองสามประโยคถ่วงเวลาสักหน่อยก็แล้วกัน
หลินปี้อยู่หน้ากระบวนทัพ แม้กองทัพไต้โจวจะขวางอยู่หน้าทัพต้ายงแล้ว ทว่าก็เพิ่งจัดแถวเสร็จเมื่อครู่นี้เอง อาชาและเหล่าทหารในกองทัพล้วนเหน็ดเหนื่อย นางจึงไม่มีความคิดจะออกรบทันทีตอนนี้ เมื่อเห็นกองทัพต้ายงถอยไปด้านหลังก็มิได้ไล่ตามไป หลินปี้พักครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าพละกำลังฟื้นฟูกลับมาแล้ว นางจึงรอคอยศึกตัดสินที่กำลังจะมาถึงอย่างนิ่งสงบ
เวลานี้เอง ดวงตาของนางก็มองเห็นทหารม้าสีแดงกองหนึ่ง ฉีอ๋องควบม้ามาถึงพร้อมกับองครักษ์คนสนิทที่ห้อมล้อม เขาอยู่ห่างออกไปร้อยกว่าก้าว เมื่อแน่ใจว่าหนีได้ตลอดเวลา หลี่เสี่ยนก็หัวเราะลั่นกล่าวขึ้นว่า “องค์หญิงจยาผิง ท่านนำกองทัพมาช่วยแม่ทัพหลง มิเป็นห่วงความปลอดภัยของไต้โจวหรือไร หากคนเถื่อนบุกลงใต้ น่ากลัวว่าไต้โจวคงกลายเป็นทะเลเลือด ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงคงได้มิคุ้มเสียแล้ว”
หลินปี้สีหน้าอึมครึมทันควัน กล่าวตอบเสียงดัง “ต้ายงรุกรานแผ่นดินของข้า เข่นฆ่าจนทุ่งกว้างชโลมโลหิต ฆ่าล้างเมืองทำลายด่าน ไม่ดีกว่าคนเถื่อนสักเท่าใด หากมิอาจจัดการท่านอ๋องที่นี่ กองทัพไต้โจวจะมิหวนคืนบ้านเกิดเป็นอันขาด” เสียงของนางใสกระจ่างดุจกระดิ่งเงิน แม้เต็มไปด้วยจิตสังหารแต่ก็ทำให้คนใจเต้นด้วยความหวั่นไหว
หลี่เสี่ยนเอ่ยหน้าขรึม “องค์หญิงไยจึงกล่าวเช่นนี้ หลายปีที่ผ่านมา พวกเราสองแคว้นทำศึกกันมิเลิกรา พวกท่านบุกมาก็ชโลมโลหิตทั่วเจ๋อโจว ข้าบุกไปย่อมต้องสังหารคนชำระแค้น แต่กองทัพไต้โจวมิเคยยุ่งเกี่ยวศึกระหว่างสองแคว้น เพียงพิทักษ์แผ่นดินมิให้ถูกคนเถื่อนรุกราน ไยจึงต้องเข้าร่วมในศึกแย่งชิงอำนาจอันไร้ผลประโยชน์นี้เล่า”
หลินปี้หน้าแดง นางเองก็เคยมีความคิดเช่นนี้ กองทัพไต้โจวมิว่าเบื้องบนหรือเบื้องล่างล้วนมิสนใจสงครามระหว่างกองทัพต้ายงกับกองทัพเป่ยฮั่นแม้แต่น้อย ทว่ากองทัพไต้โจวเคยได้รับน้ำพระทัยจากเจ้าแคว้นเป่ยฮั่นมามาก จะบอกปัดคำขอร้องของเจ้าแคว้นได้เช่นไร แล้วตนเองยังเป็นธิดาบุญธรรมของเจ้าแคว้น คู่หมั้นของหลงถิงเฟย ไฉนจะปฏิเสธคำขอร้องให้ยกทัพออกมาครั้งนี้ได้
เห็นนางตอบมิถูก แม่ทัพหนุ่มคนหนึ่งก็ควบอาชาออกมาจากกองทัพ เขาก็คือหลินเฉิงซานพี่ชายของหลินปี้และยังเป็นบุตรคนที่สามของหลินหย่วนถิง แม่ทัพแห่งกองทัพไต้โจว เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “สองทัพทำศึก ท่านอ๋องไยต้องกล่าววาจากมากมาย หากมิอยากรบ ท่านอ๋องก็ลงจากม้ายอมจำนนเสีย ท่านอ๋องฐานะสูงศักดิ์ เจ้าแคว้นคงมิถึงขั้นลงมือทำร้าย”
หลี่เสี่ยนยิ้มน้อยๆ ในใจคิดว่า ตัวข้าหลี่เสี่ยนหรือจะยอมจำนนต่อผู้อื่น แล้วก็หากสุยอวิ๋นตระเตรียมการไว้พร้อมสรรพแล้ว ผู้ที่จะกลายเป็นเชลยก็ยังมิรู้หรอกว่าจะเป็นผู้ใด
เขามิกล่าวคำใดอีก ชักม้าหันหลังกลับ ถอยไปอยู่ในกระบวนทัพของต้ายง
กระบวนทัพของต้ายงเริ่มรวมพลห่างจากกองทัพไต้โจวสองลี้ แม้กองทัพไต้โจวทราบ แต่ประการที่หนึ่งพละกำลังยังมิฟื้นกลับมา ประการที่สองหากรีบร้อนบุกโจมตีก็กังวลว่าหลี่เสี่ยนจะหนีรอดไปได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงป้องกันเส้นทางด้านหน้าไว้ รอให้กำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่นมาถึง
สองฝั่งประจันหน้ากันยังมิถึงครึ่งชั่วยาม กองทัพต้ายงก็รวบรวมกำลังพลได้มากกว่าครึ่งแล้ว กองทัพไต้โจวเริ่มกระจายตัวออกล่า มิยอมให้กองทัพต้ายงจัดแถวได้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ติดพันกันครู่หนึ่ง กองทัพไต้โจวห้าวหาญ แม้กองทัพต้ายงมิด้อยกว่าแต่พลทหารจำนวนมากยังถูกทิ้งอยู่รั้งท้าย กระบวนทัพที่กระจัดกระจายย่อมมิมีภัยคุกคามมากพอ หลังจากจิงฉือที่อยู่ด้านหลังเร่งเดินทางมาถึง กองทัพต้ายงจึงเริ่มโหมโจมตีกองทัพไต้โจว เพียงแต่เนื่องจากถูกกองทัพไต้โจวก่อกวน กระบวนทัพจึงหละหลวมสับสน จนการโจมตีอ่อนแรงลงอย่างช่วยมิได้ ภายใต้การบัญชาการของหลินปี้ ไม่นานกองทัพต้ายงก็จำต้องถอยหลังพร้อมกับจัดกระบวนแถวหนแล้วหนเล่า
ในตอนนี้เองด้ านหลังพลันมีเสียงแตรสัญญาณแผดเสียงก้องยาวและเสียงดังกระหึ่มของกีบเท้าอาชาเหล็กเหยียบย่ำผืนแผ่นดิน แม้ห่างกันอยู่ไกลมาก แต่หลินปี้กลับมองเห็นธงแม่ทัพของหลงถิงเฟยที่ปลิวสะบัดพรึ่บพรั่บนั่นเป็นอย่างแรก กองทัพไต้โจวโห่ร้องเสียงกึกก้อง ไม่นานเสียงแตรสัญญาณและเสียงคำรามดังก้องก็ดังขานรับออกมาจากกองทัพของเป่ยฮั่นเช่นกัน เสียงโห่ร้องของทหารม้าเป่ยฮั่นอื้ออึงก้องฟ้าก้องแผ่นดิน ในที่สุดกองทัพเป่ยฮั่นก็โอบล้อมสำเร็จแล้ว
เมื่อหลงถิงเฟยมองเห็นธงแม่ทัพของหลี่เสี่ยน ในที่สุดหัวใจก็คลายกังวล เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ่ายทอดคำสั่ง ปิดล้อมสังหาร!” หลังจากคำสั่งของเขา ศึกตัดสินก็เริ่มขึ้น กองทัพไต้โจวกับกองทัพเป่ยฮั่นร่วมมือกันอย่างเข้าขา ล้อมกองทัพต้ายงไว้ตรงกลาง แม้กองทัพเป่ยฮั่นมีจำนวนเพียงสองเท่าของกองทัพต้ายง แต่กองทัพไต้โจวชำนาญการควบอาชาตระเวนสังหาร พวกเขาเคลื่อนไหวอยู่วงนอก เมื่อมีช่องโหว่ยามกองทัพต้ายงพยายามทะลวงกองทัพเป่ยฮั่นก็จะใช้ศรยิงสังหาร ขัดขวางกองทัพต้ายงจากการฝ่าวงล้อมได้อย่างชะงัดนัก
แม้กองทัพต้ายงบากบั่นต้านทาน ทว่าอาณาเขตที่เคลื่อนไหวได้ก็เล็กลงทุกที เวลานี้หลี่เสี่ยนลอบก่นด่าสาปแช่งในใจไม่หยุดแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทั้งกองทัพของตนคงย่อยยับจริงๆ แน่ ทันใดนั้นความคิดประหลาดก็ผุดขึ้นในหัวใจ นี่คงมิใช่สิ่งที่เจียงเจ๋อตั้งใจหรอกกระมัง หรือว่าเขาจะรับบัญชามาจากเสด็จพี่ ต้องการลดทอนกำลังทหารของตน
ขณะที่จิตใจของหลี่เสี่ยนหวาดหวั่นกังวลอยู่นั่นเอง จิงฉือก็ประสบอันตรายเข้าแล้ว จิงฉือชอบบุกทะลวงกระบวนทัพศัตรูด้วยตนเองมาเสมอ ครั้งนี้ก็มิใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือข้างกายเขามีคนคิดไม่ซื่ออยู่คนหนึ่ง
ระหว่างทำศึก ไต้เย่ว์รองแม่ทัพนายนั้นตามอยู่ข้างกายจิงฉือไม่ห่าง ผู้คนรอบข้างเพียงคิดว่าเขาเพิ่งจะได้รับเลื่อนขั้นมาจึงรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณ มุ่งมั่นจะปกป้องจิงฉือเท่านั้น แต่กลับมิทราบว่าเขาคิดจะฉวยโอกาสลอบเล่นงาน
สำหรับไส้ศึกคนหนึ่ง แม้เขาจะปะปนเข้ามาในกองทัพต้ายงได้สำเร็จ อีกทั้งยังกลายเป็นแม่ทัพที่ตำแหน่งไม่ใหญ่ไม่เล็กคนหนึ่ง ใต้บัญชามีทหารม้าสองพันนาย แต่เขาก็ยังเป็นไส้ศึกที่ล้มเหลว เพราะการทำศึกครั้งนี้ มิต้องพูดถึงเขา แม้แต่แม่ทัพตำแหน่งสูงกว่าก็ยังมิทราบแผนการที่ชัดเจน ดังนั้นเขาจึงมิได้ข่าวสารมีค่าอันใดมาทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ซูชิงหัวหน้าหน่วยสอดแนมของกองทหารสอดแนมต้ายงก็ร้ายกาจยิ่งนัก เขาไม่มีโอกาสส่งข่าวอันใดออกไปแม้แต่น้อย
ข่าวสารเพียงหนเดียวที่เขาเสี่ยงส่งออกไปจนทำให้หลงถิงเฟยใช้ไฟโจมตีก่อนเวลาพอมีค่าอยู่บ้างก็จริง แต่ในนั้นก็มีข่าวไม่จริงเรื่องที่เจียงเจ๋อป่วยหนักปนอยู่ด้วย แน่นอนว่ายามนี้ไต้เย่ว์ยังมิทราบเรื่องนี้ ทว่าตกกลางคืนหลี่เสี่ยนก็ถอนทัพก่อนเวลาจึงทำให้ไต้เย่ว์เข้าใจว่าข่าวของตนเองไร้ประโยชน์อีกหน
ยามนี้ภารกิจของเขากำลังจะสิ้นสุด หลังจากกองทัพต้ายงถูกทำลายจนสิ้น เขาย่อมมิจำเป็นต้องรั้งอยู่ข้างกายจิงฉือแล้ว เมื่อนึกทบทวนดูเช่นนี้ ในศึกครั้งนี้เขาก็แทบมิได้สร้างคุณงามความชอบอันใดเลย ด้วยความแค้นเคือง เขาจึงคิดว่ามิสู้ฉวยโอกาสสังหารจิงฉือเสีย หากสังหารยอดแม่ทัพของกองทัพต้ายงได้ จักต้องทำให้ทหารต้ายงที่กำลังรบอยู่สูญเสียความมั่นใจและแรงใจในการต่อสู้ได้แน่นอน แม้เสี่ยงจะถูกองครักษ์คนสนิทของจิงฉือรุมสังหาร แต่ความตื่นตระหนกที่แม่ทัพคนสำคัญถูกลอบสังหารก็อาจจะทำให้พวกเขาตอบสนองไม่ทันในช่วงเวลาสั้นๆ ก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าก้มตาสู้รบไปพลางหาโอกาสลอบสังหารจืงฉือไปด้วย
ในเวลานี้ ผู้ที่มิได้ทุ่มความคิดอยู่กับสนามรบมีเพียงหลินปี้กับเซียวถงสองคน หลินปี้สั่งให้คนตามเซียวถงมา แล้วเอ่ยอย่างกังวลใจ “ท่านเซียว ฝั่งข้าส่งทหารสอดแนมในกองทัพไปทางเจ๋อโจวดูว่ามีทหารกองหนุนหรือไม่ แต่กลับมิมีผู้ใดตอบกลับมา แม้แต่เหยี่ยวดำที่ส่งไปสืบสถานการณ์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงเวลาจะเพิ่งผ่านไปเพียงไม่นาน แต่ข้ามิสบายใจ ท่านส่งคนไปดูด้วยตนเองดีหรือไม่”