ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 72 ตาข่ายดักสี่ทิศ (3)
เซียวถงในใจฉับพลันหวาดหวั่น นับตั้งแต่พ้นอานเจ๋อมา แม้กองทัพต้ายงจะจนตรอกแล้ว แต่เซียวถงก็ยังส่งทหารสอดแนมออกไปมิน้อย เดิมทีมิมีสิ่งผิดปกคิ แต่หลังจากผ่านจี้ซื่อมา กองทัพเดินทัพเร็วเกินไป ทหารสอดแนมแทบจะกลับมารายงานมิทัน ดังนั้นจึงมิได้ข่าวมาระยะหนึ่งแล้ว ยามนี้เมื่อนึกทบทวนดู ในใจเซียวถงก็พลันบังเกิดลางสังหรณ์ร้าย แต่จะมีเรื่องร้ายจริงหรือ
เขามองดูกองทัพต้ายงที่ถูกล้อม กองทัพต้ายงพ่ายแพ้ย่อยยับมาหลายหน ฉีอ๋องผู้เป็นแม่ทัพใหญ่คุมท้ายมาหลายหน เสี่ยงอันตรายหลายครั้ง หากมิใช่ว่าองครักษ์ข้างกายเขาฝีมือยอดเยี่ยม อีกทั้งในกลุ่มยังมียอดฝีมือจากยุทธภพอารักขา น่ากลัวว่าคงถูกสังหารเสียนานแล้ว ต่อให้มีกลอุบายอันใด ก็มิจำเป็นต้องให้แม่ทัพใหญ่ของกองทัพศัตรูรับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อศัตรูเองกระมัง เซียวถงคลางแคลงใจ แต่ก็ตัดสินใจส่งทหารสอดแนมฝีมือฉกาจออกไปสืบสถานการณ์รอบด้านเพิ่มอีก
เซียวถงไม่วางใจจึงสั่งทหารสอดแนมคนสนิทของตนออกไปสืบข่าว คนผู้นั้นหายลับไปจากสายตาเขาไม่นาน ทันใดนั้นทางฝั่งเจ๋อโจวก็มีเสียงสัญญาณเตือนแสบแก้วหูดังขึ้น เซียวถงมองไปอย่างตกตะลึง แล้วจึงเห็นทหารสอดแนมคนสนิทที่เพิ่งจากไปเมื่อครู่ห้ออาชาพลางโบกแขน จากนั้นเซียวถงก็พลันรู้สึกว่าแผ่นดินเริ่มสั่นสะเทือน เส้นสีดำเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า เสียงประหนึ่งอสนีบาตเคลื่อนเข้ามาใกล้ ต่อมาเซียวถงก็เห็นร่างของทหารสอดแนมฟุบลงบนตัวม้า เห็นศรดอกหนึ่งปักอยู่บนแผ่นหลังของเขาอย่างชัดเจน
แทบทุกคนล้วนตกตะลึง รวมไปถึงหลี่เสี่ยนที่รู้แก่ใจดีว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นด้วย เมื่อครู่ในใจเขานึกคลางแคลงขึ้นมาแล้ว แต่เมื่อเห็นทหารกองหนุนมาถึงก็อดมิได้ทั้งรู้สึกผิดและทั้งยินดี เขามิมีเวลาหัวเราะท่าทางตาโตอ้าปาค้างดูโง่เง่าของผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย ตวาดด่าเสียงดังให้จัดกระบวนทัพใหม่ แล้วผละออกห่างกองทัพเป่ยฮั่น หลบไปด้านข้างหลีกอออกจาสนามรบอย่างรวดเร็ว ป้องกันมิให้กองทัพเป่ยฮั่นล้อมจับ
เส้นสีดำเส้นนั้นชัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็เห็นใบหน้าของขุนพลที่อยู่ด้านหน้าสุดกับธงที่โบกสะบัดอยู่ด้านหน้าชัดเจน ธงแม่ทัพพื้นดำ ด้านบนเขียนอักษรคำว่า ‘จ่างซุน’ ตกอยู่ในสายตาของคนทั้งหลายแทบจะเป็นสิ่งแรก ทหารม้าเหล็กแห่งกองทัพต้ายงที่ราวกับหมาป่าประดุจดั่งพยัคฆ์กองนั้นกรีฑาทัพมหาศาลมาพร้อมกับไอสังหารเปี่ยมล้น เมื่ออยู่ห่างจากสนามรบห้าร้อยก้าว เหล่าทหารม้าต้ายงก็ตบเท้ายืนนิ่งเสียงดังสนั่น
แม่ทัพผู้องอาจสวมชุดเกราะสีดำ คลุมผ้าคลุมสีเดียวกันคนหนึ่งชักม้าออกมาจากแถวโดยมีองครักษ์คนสนิทห้อมล้อม เขายกมือขวาขึ้น ในมือคือคันศรยาวสีทองอร่าม ท่ามกลางสายตาของผู้คน เขาพลันดึงศรขนเหยี่ยวดอกหนึ่งออกมาแล้วน้าวสายศร จังหวะที่เหยี่ยวสองตัวซึ่งกำลังบินวนอยู่เหนือสนามรบบินมาซ้อนกันพอดี ลูกศรคมกริบก็พุ่งทะลุร่างของเหยี่ยวตัวหนึ่ง ก่อนที่แรงส่งที่เหลือจะพามันทะลวงผ่านร่างของเหยี่ยวตัวที่สอง เหยี่ยวทั้งสองตัวกรีดร้องหล่นร่วงจากฟ้า
แม่ทัพผู้นั้นเปิดหน้ากากบนหมวกเกราะออก เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาองอาจ คิ้วยาวดวงตาหงส์ ใบหน้าขาวมีหนวดเพียงรำไร ดูสุภาพอ่อนโยนประหนึ่งบัณฑิต ทว่ากลับมีบรรยากาศน่าครั่นคร้ามชวนหวาดกลัวมิอาจล่วงเกิน บนสนามรบเงียบกริบ นอกจากเสียงลมหายใจของอาชาศึกกับเสียงครวญครางของทหารที่บาดเจ็บ มิมีเสียงอื่นใด
แม่ทัพผู้นั้นตะโกนเสียงดัง “ผู้น้อยจ่างซุนจี้ รับบัญชาจักรพรรดิแห่งต้ายง เดินทางมาปราบกองทัพโจรถ่อยของเป่ยฮั่น หากมีผู้ใดวางอาวุธยอมจำนนจะละเว้นโทษตาย หากดื้นดึง มีเพียงตายสถานเดียวเท่านั้น”
ในที่สุดหลี่เสี่ยนก็พรูลมหายใจด้วยความโล่งอก พร้อมกับกุมข้อมือสบถด่า “เจียงสุยอวิ๋นผู้นี้ช่างเก็บความลับสนิทจริงเชียว ข้ายังคิดว่าเขาเตรียมกองทัพหนึ่งแสนไม่กี่หมื่นคนไว้ให้ข้า คิดมิถึงกลับขุดขุมกำลังของเสด็จพี่ออกมาทั้งหมดด้วย แล้วยังให้จ่างซุนจี้นำทัพมาเองอีก ครั้งนี้หากทำลายกองทัพเป่ยฮั่นทั้งกองมิได้ก็คงเป็นเรื่องอัศจรรย์เล่าลืออีกพันปี”
จิงฉือก็มึนงงเช่นกัน เขาเกาศีรษะที่เส้นผมยุ่งเหยิง “จ่างซุนก็มาด้วย เกิดอันใดขึ้นกันนี่ ที่ตรงนี้มีกองทหารกองหนึ่งซุ่มอยู่ตั้งแต่เมื่อใด”
ไต้เย่ว์เห็นสถานการณ์ก็เก็บอาวุธลับอย่างเงียบเชียบ หากลอบสังหารยามนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตายเท่านั้น
หลงถิงเฟยสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วออกคำสั่งถอยทัพ ลู่ปั๋วเหยียนอยู่ข้างกายเขาพอดี จึงเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “แม่ทัพใหญ่ ไยต้องถอยทัพเล่า แม้กองทัพศัตรูมีกำลังพลมาก แต่ก็ต่างกับกำลังพลของกองทัพเรามิมาก ขอเพียงพวกเราทุ่มกำลังสู้สุดแรง มิแน่ว่าจะพ่ายแพ้”
หลงถิงเฟยเผยยิ้มขมขื่นจางๆ แล้วตอบว่า “ปั๋วเหยียน ข้าก็หวังเช่นนั้น หากเป็นแม่ทัพผู้อื่นนำทัพยังพอทำเนา ข้าคงคิดเพียงว่าฉีอ๋องขอทัพเสริมจากเจ๋อโจวมารับ ทว่ากลับเป็นจ่างซุนจี้มาด้วยตนเอง คนผู้นี้เป็นถึงแม่ทัพคนสนิทคนโปรดของจักรพรรดิต้ายง เดิมทีเป็นขุนนางคนสำคัญผู้ปกปักษ์นครหลวงต้ายง ยามนี้กลับเดินทางมาถึงเจ๋อโจว ดูท่าพวกเราคงติดกับดักที่กองทัพศัตรูล่อให้มาติดกับแล้ว
หลี่เสี่ยนเหี้ยมนัก เขาสู้เลือดตากระเด็นหลายครั้งหลายหนก็เพื่อล่อพวกเรามาถึงที่แห่งนี้ ชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้ายงกลับมิสนความเป็นความตายได้ถึงขั้นนี้ ทำให้ข้านับถือจนอยากจะหมอบกราบจริงๆ หากข้าคาดมิผิด แรกเริ่มที่กองทัพต้ายงบุกเข้าชิ่นโจวแล้วใช้ยุทธวิธีกวาดล้างผู้คนก็เพื่อวางกำลังพลดักซุ่มเหล่านี้ ยามนี้แม้พวกเราเห็นกองทัพต้ายงเพียงหนึ่งกอง แต่เกรงว่าด้านหลังก็คงมีกองทัพศัตรูอยู่ แผนการเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้คือถอยทัพให้เร็ว หวังว่ากองทัพต้ายงจะยังมิทันปิดล้อม ให้พวกเราถอยกลับไปยังชิ่นหยวนได้ มิเช่นนั้นกองทัพเราคงต้องมอดม้วยทั้งกองทัพ”
ลู่ปั๋วเหยียนฉับพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง สีหน้าหวาดหวั่นปรากฏบนใบหน้า ตอบว่า “กองทัพต้ายงเหี้ยมนักจริงๆ อานเจ๋อจมวารี ศึกยากลำบากในชิ่นหยวน เพลิงเผาชิ่นสุ่ย ดักซุ่มโจมตีสองหน กองทัพเราสู้ศึกใหญ่กับศัตรูมาหลายหน ทั้งหมดล้วนทำเพื่อล่อกองทัพเราเข้าสู่กับดัก แม่ทัพใหญ่โปรดวางใจ ต่อให้ด้านหลังมีทหารดักซุ่มอยู่ อาศัยทหารม้าหนึ่งแสนของพวกเรา มิแน่ว่าจะไม่มีโอกาสฝ่าวงล้อมหวนกลับชิ่นหยวน”
หลงถิงเฟยทำได้เพียงรับฟังคำปลอบของเขา เวลานี้หลินปี้ให้คนส่งสารมาแจ้งว่า “กองทัพศัตรูคงล้อมดักสี่ทิศแล้ว กองทัพไต้โจวชำนาญการบุกโจมตี ยินดีเป็นทัพหน้า”
หลงถิงเฟยถอนหายใจแผ่วเบา “หวังว่าองค์หญิงหลินปี้จะฝ่าวงล้อมได้ทันการณ์ ข้าจะคุมท้ายกองทัพด้วยตนเอง ปั๋วเหยียน พวกเจ้าพี่น้องตามหลังกองทัพไต้โจว หากกองทัพศัตรูทุ่มเต็มกำลังโจมตี ขณะที่พวกเรายังมิทันหวนกลับชิ่นหยวน พวกเราคงล้วนต้องตายอยู่กลางวงล้อมของกองทัพต้ายง”
กองทัพเป่ยฮั่นตอบสนองเร็วอย่างที่สุด พวกเขาเริ่มถอยทัพอย่างไม่รีรอแต่อย่างใด จ่างซุ่นจี้คล้ายมองมิเห็น เขาชักม้าก้าวเข้ามาหาฉีอ๋อง จากนั้นค้อมกายคำนับบนหลังม้ากล่าวว่า “จ่างซุนจี้คารวะท่านอ๋อง โปรดอภัยที่ผู้น้อยสวมชุดเกราะอยู่จึงมิอาจคารวะเต็มพิธีการได้”
ยามนี้หลี่เสี่ยนโล่งอกแล้ว จึงเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “แม่ทัพจ่างซุน กำลังพลที่ดักซุ่มเตรียมไว้พร้อมแล้วหรือ”
จ่างซุนจี้เอ่ยอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋องโปรดวางใจ ซ้ายขวาล้วนมีกองทัพใหญ่แปดหมื่นนาย ทางใต้ของจี้ซื่อมีทหารชั้นยอดหนึ่งแสนนายขวางทางถอยของกองทัพเป่ยฮั่นอยู่ กองทัพเรามีพลทหารเดินเท้ากับทหารม้ารวมสามแสนหกหมื่นนาย วางแหฟ้าตาข่ายดิน กองทัพศัตรูอย่าได้คิดหนีรอด”
หลี่เสี่ยนเอ่ยคล้ายมิได้สนใจ “ดี แม่ทัพจ่างซุนล้อมดักกองทัพของหลงถิงเฟยกับหลินปี้ไว้ได้ คงมีความดีความชอบใหญ่หลวง ส่วนกองทัพใหญ่หนึ่งแสนหลายหมื่นนายของข้าทำได้เพียงพ่ายแพ้ยับเยินกลับมา ทำให้ข้าอับอายขายหน้านัก”
จ่างซุนจี้เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ย่อมทราบว่าท่านอ๋องผู้นี้ไม่พอใจอยู่ จึงรีบกล่าวว่า “องค์ชายไยเอ่ยเช่นนี้ หากมิใช่องค์ชายเอาตัวเข้าเสี่ยง ล่อศัตรูให้หลงเข้ามาลึก ไฉนจะล้อมกำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่นไว้ได้ ฝ่าบาทดำรัสไว้ก่อนแล้วว่าให้กองทัพทั้งหมดของผู้น้อยเชื่อฟังคำสั่งการของท่านอ๋อง ขอเชิญท่านอ๋องบัญชาการ”
ใบหน้าของหลี่เสี่ยนเผยรอยยิ้มจาง แม้เขามิใช่พวกชอบแย่งความดีความชอบ แต่หากโอกาสกำจัดกองทัพเป่ยฮั่นถูกจ่างซุนจี้ฉกฉวยไป เขาก็รู้สึกอยุติธรรมยิ่งนัก ต้องทราบว่าหลายวันที่ผ่านมาเขาเผชิญความอัปยศจากการพ่ายศึกและอันตรายจากการถูกศัตรูตามสังหารมาหนแล้วหนเล่า สิ่งที่ปราถรนาที่สุดคือการได้ชำระแค้นด้วยมือตนเอง เมื่อเห็นจ่างซุนจี้รู้จักสถานการณ์เช่นนี้ ในใจหลี่เสี่ยนก็พึงพอใจอย่างยิ่ง
แต่เขามิใช่คนมิรับรู้เจตนาดี ในเมื่อจ่างซุนจี้ใจกว้างเช่นนี้ เขาก็มิรีบร้อนแย่งอำนาจควบคุมกองทัพ เขาเพียงเอ่ยอย่างสุขุม “กองทัพข้าเหนื่อยล้ายิ่งนัก จำต้องจัดทัพใหม่ แม่ทัพจ่างซุนไปปิดล้อมเองก็แล้วกัน มิทราบว่าผู้ที่รับผิดชอบดักขวางทางจี้ซื่อคือแม่ทัพท่านใด ต้องระวังกองทัพเป่ยฮั่นฝืนทะลวงฝ่าไป”
จ่างซุนจี้ตอบอย่างนอบน้อม “แม่ทัพฝานเหวินเฉิงกับแม่ทัพหลัวจางสองคนพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องทิ้งพวกเขาไว้ที่เจ๋อโจว พวกเขาจึงคันไม้คันมือนานแล้ว ผู้น้อยเห็นว่าแม่ทัพทั้งสองทำศึกกับกองทัพเป่ยฮั่นมานานปี คุ้นชินกับยุทธวิธีของกองทัพเป่ยฮั่น จึงเชิญพวกเขานำกองทัพเจ๋อโจวหนึ่งแสนนายไปดักทางจี้ซื่อ”
หลี่เสี่ยนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ กล่าวว่า “ดี เจ้าไปจัดการปิดล้อมเถิด สุยอวิ๋นอยู่ที่ใด ข้าต้องหารือกิจกองทัพกับเขา”
ทันใดนั้นจิงฉือก็หัวเราะออกมาดังพรืด ระหว่างที่ถอยทัพกกลับมา จิงฉือได้ยินหลี่เสี่ยนแอบพึมพำว่าจะคิดบัญชีกับเจียงเจ๋อมิใช่เพียงหนเดียว หารือกิจกองทัพอันใดนั่นก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เสียงหัวเราะหนนี้ของเขาทำให้หลี่เสี่ยนบังเกิดความขุ่นเคือง หันไปกวาดสายตามองจิงฉือตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่ครู่ใหญ่ มองจนจิงฉืออกสั่นขวัญแขวน
จากนั้นหลี่เสี่ยนก็เอ่ยขึ้นอย่างเนิบนาบ “แม่ทัพจิงก็ไปด้วยกันกับข้าเถิด หนนี้แม่ทัพจิงร้ายกาจนัก ทำเอาภายในอาณาเขตเป่ยฮั่นปั่นป่วนพลิกฟ้าพลิกดิน ฆ่าล้างเมืองชโลมเลือด สังหารคนเป็นเบือ มิทราบว่าท่านอาจารย์เจียงของท่านได้ยินแล้วจะคิดเช่นไร”
จิงฉือได้ยินแล้วสีหน้าซีดเผือดในทันใด ในอดีตตอนเจียงเจ๋อถ่ายทอดตำราพิชัยสงครามให้ เคยกล่าวว่ามิชอบการฆ่าล้างบางอย่างไร้เหตุผลเป็นที่สุด ครั้งนี้ตนกระทำตามอำเภอใจ แหกกฎกองทัพของต้ายง วันหน้ายามไล่เรียงความดีความชอบย่อมถูกราชสำนักตำหนิอย่างยากจะเลี่ยง ทว่ามิว่าอย่างไรเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องในภายหน้า ยามนี้ต้องเผชิญหน้ากับท่านอาจารย์ก่อน มิทราบว่าครั้งนี้จะให้ตนคัดตำราจนหัวหงอกเลยหรือไม่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็สีหน้าเคร่งเครียดอย่างช่วยมิได้
หลี่เสี่ยนกลับมิสนใจ เขาให้จ่างซุนจี้ส่งองครักษ์คนสนิทมานำทางแล้วจากไปตามลำพัง จิงฉือคอตกหดหู่กำลังจะตามไป ทว่าเมื่อสายตาเลื่อนไปจับร่างของจ่างซุนจี้ จู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องออกมา
จ่างซุนจี้ส่งฉีอ๋องจากไปแล้วก็ออกคำสั่งด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ท่าทางสุขุม กองทัพต้ายงที่เขานำทัพมาเริ่มบีบไปด้านหน้า หากเวลานี้มีผู้ใดมองลงมาจากบนท้องนภาก็จะมองเห็นสองฝั่งของกองทัพเป่ยฮั่น มีกองทัพต้ายงสองกองกำลังบีบเข้ามาหาใจกลาง ส่วนทิศทางของเมืองจี้ซื่อ กองทัพต้ายงกองหนึ่งก็ขวางหนทางถอยทัพของกองทัพเป่ยฮั่นเอาไว้ ภายในอาณาเขตร้อยลี้ กองทัพต้ายงสามแสนหกหมื่นนายตีวงล้อมอย่างมิรีบร้อน เริ่มบีบวงล้อมให้เล็กลง กองทัพเป่ยฮั่นตกลงมาในตาข่ายกับดักแล้ว แม้ยังมีกำลังสู้ศึกอยู่ ทว่ามิมีหนทางรอดทางใดอีกต่อไป