ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 80 ผู้กล้าย่อมตัดแขน (2)
เมื่อฮั่วอี้ให้ซั่งกวนเยี่ยนออกไปแล้ว สีหน้าก็แปรเปลี่ยนกลับมาถมึงทึงอีกหน แม้ยามนี้ทุกสิ่งราบรื่นอย่างยิ่ง แต่เมื่อคิดถึงข่าวที่เฉินเจิ่นส่งมาให้ ในใจก็มีจิตสังหารบังเกิดขึ้นอย่างห้ามมิได้ เซี่ยโหวหยวนเฟิงอาศัยอะไรมาเสนอข้อเรียกร้องประการนี้ หากไม่มีกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว กรมวินิจการณ์จะทำงานในตงชวนได้ราบรื่นเช่นนี้หรือ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาจะข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน หากมิใช่เพราะยังมิทราบว่าคุณชายมีเจตนาเช่นไร เขาคงแตกหักกับเซี่ยโหวหยวนเฟิงแล้ว
ฮั่วอี้ข่มเพลิงโทสะในใจ แล้วกลับมาขบคิดเกี่ยวกับชิ่งอ๋องอีกหน สายตาเคลื่อนไปเห็นเงาสีม่วงร่างหนึ่งเดินไปยังกำแพงด่านอย่างมิตั้งใจ คงจะเป็นซ่งฮูหยินผู้นั้นไปเชิญชิ่งอ๋องลงมารับประทานอาหารกระมัง
เมื่อคิดถึงซ่งฮูหยินคนนี้ ในใจฮั่วอี้ก็รู้สึกวุ่นวายใจ ความจริงซ่งฮูหยินผู้นี้เรียบร้อยอ่อนหวาน ทั้งยังมีฝีมือการปักผ้าเป็นเลิศ ชิ่งอ๋องรักนางมากยิ่งนัก แม้ซ่งฮูหยินยังมิได้ให้กำเนิดบุตรชายหญิงจึงมิได้แต่งตั้งเป็นชายารอง แต่ชิ่งอ๋องก็พาซ่งฮูหยินผู้นี้มาอยู่ข้างกายตลอดเวลา แม้แต่ยามเดินทัพก็เป็นเช่นนี้ เห็นได้ถึงความโปรดปรานที่ชิ่งอ๋องมีต่อนาง ยิ่งไปกว่านั้น ซ่งฮูหยินผู้นี้ยังมิมีนิสัยเสแสร้งดั่งสตรีทั่วไปแม้แต่น้อย นางปฏิบัติต่อพวกเขาที่เป็นลูกน้องของชิ่งอ๋องอย่างมีมารยาทและดูแลอย่างดี ทั้งยังใจกว้าง
แต่ฮั่วอี้กลับรู้สึกว่าสตรีนางนี้นำความหนักใจกับแรงกดดันมาให้ตนมากยิ่งนัก ยามที่ดวงตาแวววาวดั่งธารน้ำฤดูสารทคู่นั้นของนางมองมาที่ตน จะมีความเชื่อใจกับแววตาอ้อนวอนจากใจจริงแฝงอยู่ด้วยเสมอ คล้ายหวังให้ตนช่วยเหลือชิ่งอ๋องอย่างเต็มกำลัง วาจาแต่ละคำ รอยยิ้มแต่ละหนของนางก็ตราตรึงใจผู้คนเสียจนในใจฮั่วอี้รู้สึกถึงอันตรายขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ หากถึงเวลาลงมือคงต้องสังหารซ่งฮูหยินก่อน นี่คือสิ่งที่ฮั่วอี้ตัดสินใจ เขาสัมผัสได้ว่าซ่งฮูหยินจะเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดของตนเอง
ซ่งอิ่งเงยหน้ามองกำแพงด่าน เมื่อเห็นท่าทางฮึกเหิมมีชีวิตชีวาของหลี่คังก็หยุดเท้าลงอย่างห้ามมิได้ แม้อายุสี่สิบปีแล้ว แต่เพราะฝึกวรยุทธ์ รูปลักษณ์ของหลี่คังจึงยังเหมือนกับคนอายุราวสามสิบ เพียงแต่สุขุมอย่างผู้ที่ผ่านกาลเวลาเพิ่มขึ้นมาบ้างเท่านั้น รูปโฉมอันหล่อเหลายิ่งทำให้คนเกิดความรู้สึกชื่นชม นางมิเคยคิดว่าตนเองจะตกหลุมรักบุรุษสักคนจนหมดหัวใจ ริมฝีปากของซ่งอิ่งคลี่ยิ้มน้อยๆ
เมื่อครั้งนางอายุสิบห้าปีเข้าสู่วัยปักปิ่น เพราะฝีมือการปักผ้าอันยอดเยี่ยมเหนือผู้อื่นจึงถูกเลือกเข้าไปเป็นนางข้าหลวงกองภูษาของพระราชวังแคว้นสู่ เจ้าแคว้นสู่โปรดปรานฮูหยินจินเหลียน มิสนใจตนเองแม้สักนิด ส่วนตนก็ดูแคลนเจ้าแคว้นสู่ผู้ซึมกะทือ วัยเยาว์อันงดงามจึงผันผ่านไปเช่นนี้ แต่เดิมคิดว่าทั้งชีวิตคงเป็นเฉกเช่นนั้น ผู้ใดจะคิดว่าแคว้นสู่กลับล่มสลาย ยงอ๋องออกคำสั่งไล่นางข้าหลวงออกจากพระราชวังแคว้นสู่ ตนเองจึงได้กลับคืนบ้าน
นางล่วงพ้นวัยอันเหมาะสมกับการแต่งงานแล้ว และมิยินดีตบแต่งเป็นภรรยา หรืออนุภรรยาของคนหยาบช้า ดังนั้นจึงเลือกครองตนอยู่เพียงลำพัง ทว่าในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งของท่านลุงเขย ตนได้พบกับชิ่งอ๋องหลี่คัง จวบจนวันนี้นางก็ยังจดจำสายตาร้อนแรงของหลี่คังยามแรกพบหน้ากันได้ หลังจากนั้นหลี่คังก็คิดหาสารพัดวิธีมาพบหน้าตนเองเพียงเพื่อวิงวอนขอให้ตนยินยอมแต่งงาน แรกพบสบตาก็ผูกสมัครรักใคร่
เมื่อถูกทะนุถนอมเช่นนี้ยิ่งทำให้ตนหวั่นไหวและตกหลุมรักในที่สุด แม้หลี่คังมิอาจแต่งตั้งตนเป็นชายารองด้วยติดที่สถานการณ์ เนื่องจากเขามิต้องการให้มีคำครหาว่าแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลขุนนางในตงชวน แต่คำบอกรักจากใจจริงที่กระซิบข้างหมอนนับครั้งไม่ถ้วนก็ทำให้นางยิ่งลุ่มหลงมัวเมา
ซ่งอิ่งมองเรือนร่างอันสง่าผ่าเผย ในใจลอบคิดว่าคนเช่นนี้สมควรยืนอยู่เหนือคนนับหมื่น แม้หนทางภายภาคหน้าอันตรายอีกเท่าใด นางก็พร้อมเดินเคียงคู่กับเขา มิทอดทิ้งมิหน่ายหนี เห็นหลี่คังหันกลับมายิ้มบางให้ตน ซ่งอิ่งก็เผยรอยยิ้มหวานตอบ ก้าวเข้าไปหาสามีอันเป็นที่รัก หลี่คังเหมือนรับรู้ได้จึงเงยหน้าขึ้นมอง สองมือของทั้งคู่กอบกุมกัน นับจากนี้มิแยกจาก
ภายในเมืองเฉินชังเวลานี้ บรรยากาศตึงเครียดและร้อนระอุ หลังจากแม่ทัพและพลทหารของที่แห่งนี้ได้ข่าวว่าชิ่งอ๋องก่อกบฏก็ล้วนโกรธจัดอยู่ในใจ ชิ่งอ๋องเป็นผู้ใด ทายาทเชื้อพระวงศ์ กุมอำนาจทหารและการปกครองในตงชวน มีทหารม้าแสนนาย แต่กลับก่อกบฏในเวลาเช่นนี้
ตอนนี้ข่าวที่สงครามเป่ยฮั่นสถานการณ์ไม่ดีกระจายมาถึงในหมู่ทหารเฉินชังแล้ว ฝ่าบาทเสด็จนำทัพด้วยพระองค์เอง นครฉางอันว่างเปล่า การก่อกบฏของชิ่งอ๋องเสมือนซ้ำเติม เรื่องนี้ทำให้แม่ทัพและเหล่าทหารทั้งหลายเกิดความเคียดแค้นอย่างมิอาจหักห้ามใจได้ จักต้องอาศัยกำแพงอันแข็งแกร่งของเฉินชัง มิให้กบฏคืบหน้าไปทางตะวันออกได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว นี่คือความปรารถนาในใจของแม่ทัพและเหล่านายทหารทั้งหมด
เทียบกับความเคร่งเครียดและความโกรธเกรี้ยวของเหล่าทหารในเฉินชัง จวนด้านหลังของจวนเจ้าเมืองเฉินชังกลับมีบรรยากาศผ่อนคลาย ที่แห่งนี้ถูกกรมวินิจการณ์เข้ามาใช้ กลายเป็นกองบัญชาการของเซี่ยโหวหยวนเฟิง
ภายในห้องริมสวนแห่งหนึ่ง เซี่ยโหวหยวนเฟิงยืนอยู่ริมหน้าต่าง อมยิ้มมองใบหลิวแรกผลิกับหมู่มวลดอกท้อด้านนอก บัณฑิตอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่งกำลังขยับพู่กันเขียนสารด้วยความว่องไว จัดการหนังสือราชการจำนวนหนึ่งอยู่ด้านหลังเขา บรรยากาศตึงเครียดกับผ่อนคลายขัดแย้งกันอยู่ในห้องแห่งนั้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ บัณฑิตอาภรณ์เทาผู้นั้นจึงถือสารม้วนหนึ่งเดินเข้ามาเอ่ยว่า “ใต้เท้า เชิญท่านตรวจดู”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงรับหนังสือฉบับนั้นมากวาดสายตาอ่านรอบหนึ่ง จากนั้นจึงเดินกลับไปที่โต๊ะหนังสือแล้วประทับตรา บัณฑิตอาภรณ์เทาผู้นั้นจึงนำหนังสือฉบับนั้นไปส่งต่อ เมื่อกลับมาในห้องอีกหนก็เห็นเซี่ยโหวหยวนเฟิงยังคงเหม่อลอย จึงถามขึ้นมาอย่างอดมิได้ “ใต้เท้า ผู้น้อยมิเรื่องหนึ่งมิเข้าใจ ขอใต้เท้าสั่งสอนได้หรือไม่”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “จื่อเย่ว์เชิญกล่าว”
บัณฑิตอาภรณ์เทาผู้นี้เป็นผู้ช่วยคนสนิทของเขา ย่อมมิมีสิ่งใดต้องระวัง เขาถามอย่างตรงไปตรงมา “ใต้เท้า กลุ่มพันธมิตรจิ่วซิ่วเป็นขุมกำลังในมือเจียงโหว ดูจากข่าวสารที่พวกเรามีอยู่ในมือตอนนี้ กลุ่มที่ว่านี้มีขุมกำลังแข็งแกร่ง อาณาเขตที่ควบคุมอยู่ก็กว้างมากยิ่งนัก มิว่าอย่างไรเจียงโหวย่อมต้องเห็นความสำคัญของมันอย่างยิ่ง ใต้เท้าฉวยโอกาสเรียกร้องจะเอาอำนาจควบคุมกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ไยมิใช่ล่วงเกินเจียงโหวครั้งใหญ่ ในใจฝ่าบาท ท่านโหวมีน้ำหนักมากว่าใต้เท้าอยู่มากนัก ใต้เท้ามิกังวลว่าเจียงโหวจะสร้างความลำบากให้เพราะเรื่องนี้หรือไร”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงหัวเราะ “จื่อเย่ว์ เรื่องบางเรื่องเจ้ามิเข้าใจ พระราชบุตรเขยผู้นี้ชำนาญการหยิบยืมมือผู้อื่นเป็นที่สุด ดูจากกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก็ทราบ เขาให้คนสนิทเข้าควบคุมแกนกลางของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วไว้ แต่ขุมกำลังส่วนใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วยังประกอบไปด้วยชาวแคว้นสู่ที่มีใจคิดต่อต้าน
ข้ามิอาจมินับถือชั้นเชิงของเขาที่ทำให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วซึ่งเป็นเช่นนี้กลายมาเป็นหมากให้เขาใช้ แต่การทำเช่นนี้ก็มีข้อเสียอยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือเมื่อเรื่องแดง กลุ่มพันธมิตรย่อมมิอาจควบคุมได้ เจียงโหวต้องทำให้มันหายไปเสีย
ทว่าปล่อยให้หยกและศิลาแหลกลาญไปด้วยกัน เจ็บกันทั้งสองฝ่ายย่อมมิมีผู้ใดได้ประโยชน์ ดังนั้นหากต้องการจะควบคุมกลุ่มคนเช่นนี้สักกลุ่มอย่างสมบูรณ์ กรมวินิจการณ์ที่มีขุมกำลังแข็งแกร่งจึงเหมาะกว่าเจียงโหว จุดนี้เขาย่อมรู้แก่ใจดี
ครานี้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วร่วมมือกับพวกเราปราบกบฏตงชวน วันหน้าพวกเขาย่อมมีเพียงทางสองเส้นให้เดิน ทางที่หนึ่งหากเรื่องที่กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วถูกพวกเราบงการแพร่งพรายออกไป พวกเขามิทำลายตนเองก็ต้องสวามิภักดิ์กับต้ายง ทางที่สองกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วถอนตัวออกมาได้สำเร็จ แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ พฤติกรรมกบฏของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วย่อมประจักษ์ชัดแจ้งแก่ใต้หล้า นับจากนี้พวกเขาจำต้องเป็นศัตรูกับต้ายงให้ถึงที่สุด
ข้าคิดว่าเจียงโหวคงตั้งใจควบคุมกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วต่อ ให้พวกเขากลายเป็นขุมกำลังฝั่งตรงข้าม ดึงดูดชาวแคว้นสู่ที่มิพอใจต่อต้ายงทั้งหมดมาแล้วควบคุมพวกเขาเอาไว้ แล้วยังแลกเปลี่ยนข่าวสารกับฝั่งซีสู่ที่หนานฉู่ครอบครองอยู่ผ่านกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วได้อีกด้วย
แต่เดิมนี่ก็เป็นความคิดที่ดีประการหนึ่ง วางสายเบ็ดยาวล่อปลาตัวใหญ่ แต่น่าเสียดายเจียงโหวมองข้ามไปเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตงชวนอยู่ใต้การควบคุมของชิ่งอ๋อง ฝ่าบาทย่อมมิถือสาการดำรงอยู่ของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว เพราะอย่างไรเสียนั่นย่อมทำให้ฝ่าบาทควบคุมสถานการณ์ในตงชวนได้ง่ายขึ้น ทว่าเมื่อตงชวนทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่าบาทแล้ว ถ้าเช่นนั้นการดำรงอยู่ของกลุ่มกบฏที่แข็งแกร่งเช่นนี้กลุ่มหนึ่งย่อมมิเป็นประโยชน์ต่อการปกครองตงชวนของต้ายง ทั้งยังทำให้ฝ่าบาททรงคลางแคลงพระทัยได้ง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น การศึกอาจใช้กลอุบายตามสถานการณ์ได้ แต่การปกครองต้องดำเนินไปตามครรลองที่ถูกต้องเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ครั้งนี้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วต้องหายไปพร้อมกับชิ่งอ๋อง แน่นอนว่ากำลังพลของเจียงโหวที่อยู่ในนั้นย่อมถอนตัวออกไปได้ แต่กำลังพลที่เหลือต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเราเท่านั้น
ยอมเสียแรงขบคิดมากหน่อย สร้างขุมกำลังใต้ดินที่อยู่ในความควบคุมของพวกเรา จากนั้นค่อยแทรกซึมซีสู่ ดีกว่าปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วที่แสดงตนว่าเป็นกบฏอย่างโจ่งแจ้งดำรงอยู่ต่อไปแล้วกลายเป็นวีรบุรุษในสายตาของชาวแคว้นสู่”
บัณฑิตอาภรณ์เทาขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ใต้เท้าพูดถูกต้องยิ่งนัก เพียงแต่เจียงโหวจะเข้าใจความกังวลของใต้เท้าหรือไม่ ผู้น้อยดูจากกลอุบายที่เขาใช้ ร้อยเกี่ยวพันเป็นห่วงโซ่ ทำให้คนที่หลงเข้าไปในกับดักมิรู้ตัว แต่โดยหลักแล้วมักจะเป็นแผนการอันร้ายกาจ โหดเหี้ยมอำมหิต หากเขาคิดแค้นใต้เท้าเพราะเรื่องนี้ จะทำเช่นไรดีเล่า”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงหัวเราะ “เจ้ากังวลเกินไปแล้ว แม้นคนผู้นี้ยามใช้อุบายจะโหดเหี้ยม แต่นิสัยของเขามิชอบเรื่องวุ่นวาย ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นผู้ที่ได้ยินเพียงหนึ่งกลับเข้าใจถึงสิบ ขอเพียงทราบข้อเรียกร้องของข้า ย่อมต้องเข้าใจความนัยในนั้น
คนผู้นี้กระทำสิ่งใดเด็ดขาดยิ่งนัก เมื่อเขารู้สึกตัวแล้วว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วได้กลายเป็นภัยซ่อนแฝงสำหรับตัวเขา เขาคงลงมือเด็ดขาดเสียยิ่งกว่าข้า หากปล่อยให้เขาลงมือเอง น่ากลัวว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วคงกลายเป็นเพียงหมอกควันแห่งอดีต ดังนั้นข้าจึงต้องขอรับช่วงต่อ แน่นอนว่าข้าเสียดายเครือข่ายข่าวสารและขุมกำลังที่กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วครอบอครองอยู่ หากมิมีประโยชน์ ข้าไยต้องออกหน้าเล่า เจ้าคอยดูเถิด ภายในสองวันนี้ หัวหลิวจะมาพบข้าเพื่อบอกการตัดสินใจของเจียงโหว”
นับตั้งแต่เซี่ยโหวหยวนเฟิงเสนอข้อเรียกร้องจะรับช่วงต่อกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว หัวหลิวก็แทบจะหลบเลี่ยงการพบหน้ากับเซี่ยโหวหยวนเฟิงทุกครั้ง แม้แต่เรื่องใหญ่อย่างการละทิ้งด่านซั่นกวนแสร้งถอยทัพก็ยังส่งลูกน้องเดินทางมาหารือ