ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 91 เมฆหมอกปกคลุมไต้โจว (2)
แม้หลับตาอยู่ แต่ทุกสิ่งรอบด้านล้วนชัดแจ้งในใจ เขาเฝ้าจับตาคนในดวงใจผ่านรอยแยกของเปลือกตาสองข้าง ชื่อจี้มิได้นิ่งสงบดั่งที่แสดงออกผ่านทางสีหน้า เขาใช้ทักษะแปลงโฉมเล็กน้อย แต่งเติมเครื่องหน้าทั้งห้าเพียงนิดหน่อยก็ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาสูญเสียความโดดเด่น จงใจมิเผยความสามารถ แม้ยามอยู่ในกองทหารร้อยคนกองนี้ยากเลี่ยงต้องเผยความสามารถออกมาบ้างเพื่อการทำศึก แต่เชื่อว่าหลินถงผู้ต้องคอยบัญชาการกองทัพทั้งหมดของเยี่ยนเหมินคงมิสนใจคนนอกตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
ชื่อจี้ปะปนเข้ามาในกองทัพไต้โจวเพื่อมาอยู่ข้างกายหลินถงเช่นนี้ เขาย่อมทราบว่ามิใช่ไม่มีผู้ใดสงสัยตนเอง เพียงแต่เขาเข้าใจคนไต้โจวอยู่ประมาณหนึ่ง จึงทราบว่าขอเพียงมิแสดงท่าทีว่าเป็นสายลับของเผ่าคนเถื่อนก็จะมิมีผู้ใดสอบสวนตนอย่างละเอียด เขาคลี่ยิ้มน้อยๆ หลังจากเผ่าคนเถื่อนล่าถอย ต่อให้กองทัพไต้โจวจะคิดบัญชีทีหลังก็มิสำคัญแล้ว
หากเวลานั้นหลินถงยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้สังหารตนเสีย ตนก็มิเสียใจ หากหลินถงตายแล้ว หัวใจชื่อจี้เจ็บแปลบ เขาเชื่อว่าตนเองก็คงจะตามนางไปอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไยตนเองต้องระมัดระวังทุกย่างก้าวด้วยเล่า
แม้คุณชายจะหวังให้ตนมีชีวิตรอดกลับไปพบหน้าเขา แต่ตัวชื่อจี้เองมิวาดหวังถึงเพียงนั้น การรั้นจะเดินทางมาไต้โจว ในแง่หนึ่งก็กล่าวได้ว่าตนทรยศคุณชายแล้ว แปดหัวหน้าแห่งค่ายลับหากยังมีชีวิตอยู่วันหนึ่งล้วนต้องยึดถือความปรารถนาของคุณชายเป็นความปรารถนาของตน พริบตาที่เขาเลือกมาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลินถง ตำแหน่งแปดหัวหน้าค่ายลับของเขาก็สั่นคลอนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ต้ายงมิมีทางปล่อยให้ไต้โจวแยกตัวเป็นอิสระ ต้ายงจะต้องยกทัพมาปราบไต้โจวเป็นแน่ ส่วนตัวเขาชื่อจี้ย่อมมิต้องการให้บนกระบี่ของตนแปดเปื้อนโลหิตของผู้คนอันเป็นที่รักและคนใกล้ชิดของพวกเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชื่อจี้ก็ถูกคนตะโกนเรียก ผลัดถึงตาเขาไปเฝ้าสังเกตสถานการณ์ของศัตรูแล้ว เขายืนอยู่เหนือด่าน สองตาเจิดจ้าจ้องมองสถานที่ห่างไกลขณะที่สองมือทำงานอย่างหนึ่งซ้ำไปมา เขาหยิบลูกศรในถุงลูกศรข้างตัวออกมา เสร็จแล้วก็คว้าน้ำเต้าข้างเอวกับหยิบผ้าออกมาอีกหนึ่งผืน จากนั้นล้วงถุงมือหนังกวางคู่หนึ่งข้างในอกเสื้อออกมาสวม ต่อมาก็เทของเหลวสีดำในน้ำเต้าออกมาจนชุ่มผืนผ้า แล้วใช้ผืนผ้าเช็ดหัวลูกศร การเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วว่องไว หลังจากหัวลูกศรดอกแล้วดอกเล่าถูกเขาจัดการเสร็จ หัวลูกศรก็กลายเป็นสีเทาเข้ม ระหว่างที่เขาทำสิ่งนี้ ชายฉกรรจ์หลายคนข้างตัวก็บังเอิญบดบังสายตาของผู้อื่นไว้ จนกระทั่งเขาทำงานเหล่านี้เสร็จสิ้นพอดี
เขาเพิ่งจะมัดน้ำเต้ากลับไปที่เอว ด้านหลังก็มีน้ำเสียงรื่นหูที่แหบพร่าเล็กน้อยถามขึ้นว่า “เจ้ากำลังทำสิ่งใด” หัวใจของชื่อจี้สั่นไหว แต่การเคลื่อนไหวกลับมิหยุดชะงักสักนิด หันกลับไปคำนับตอบว่า “ผู้น้อยกำลังทายาพิษบนลูกศรขอรับ”
ดวงตาหงส์ของหลินถงฉายแววฉงนงงงวย “ไยต้องทายาพิษ ทหารกล้าของกองทัพเรา ศรของผู้ใดมิอาจเอาชีวิตศัตรูในทันทีบ้าง ทายาพิษเปลืองเวลาเปลืองแรง ประโยชน์กลับมิมาก”
ชื่อจี้เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ผ่านการดัดแล้ว “ผู้น้อยมิใช่คนไต้โจว แม้จะยิงธนูเป็นบ้าง แต่พละกำลังมิมากพอ บ่อยครั้งยิงทะลุเกราะหนังของศัตรูได้ แต่ไร้กำลังสังหารคนให้ตายคาที่ ด้วยเหตุนี้จึงทายาพิษบนลูกศร เพื่อเพิ่มโอกาสในการสังหารศัตรู”
หลินถงเข้าใจแล้ว “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!” นางสนใจพอสมควรจึงถามต่อว่า “เจ้าเป็นคนที่ใด เหตุไฉนจึงปรุงยาพิษเป็น ทายาพิษอย่างที่เจ้าทำยุ่งยากยิ่งนัก มีวิธีใดปรุงยาพิษจำนวนมาก สร้างศรพิษเพิ่มให้ได้เร็วๆ หรือไม่ ลุกขึ้นมาพูดจาเถิด มิต้องคุกเข่าแล้ว”
ชื่อจี้ฟังจบก็สงบอารมณ์ให้นิ่งสงบแล้วลุกขึ้นยืน ก้มหน้าตอบว่า “ผู้น้อยหวังต้าหลาง เป็นหมอพเนจร รู้วิชาแพทย์เล็กน้อย ยาพิษชนิดนี้เป็นสิ่งที่ผู้น้อยปรุงขึ้นมา เมื่อบาดจนโลหิตไหลจะหายใจมิออก เพียงแต่เวลาจะใช้ยุ่งยากยิ่งนัก ยาพิษที่ทาบนหัวลูกศรจะมีฤทธิ์อยู่มินาน ดังนั้นผู้น้อยจึงเพิ่งมาทายาพิษเอาตอนนี้
หากท่านหญิงจะปกป้องด่านย่อมต้องการลูกศรจำนวนมาก การสร้างลูกศรอาบยาพิษสิ้นเปลืองกำลังและเวลาจริงดังว่า แต่จากที่ผู้น้อยทราบมา ไต้โจวมีโรงผลิตธนูอยู่ทุกหนทุกแห่ง ด้านในสถานที่เหล่านั้นล้วนมีครั่งอยู่จำนวนมาก ในครั่งมีพิษอยู่ในตัว หากท่านหญิงให้คนนำด้ามศรกับหัวลูกศรมัดรวมกันแล้วแช่ในครั่ง หลังจากนั้นตากให้แห้ง เมื่อลูกศรเหล่านี้ยิงถูกคน บาดแผลจะบวมคันและชา ทั้งยังจะรักษายากยิ่ง”
หลินถงฟังจบก็ได้ความคิด นางเพ่งพิจชายหนุ่มตรงหน้าอย่างละเอียด แม้เขากล่าวตอบอย่างมิหวั่นกลัว แต่กลับก้มศีรษะหลบหน้าหลบตา มิลอบมองตนแม้สักหน คล้ายเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมากเกินไป ทว่าคำพูดที่กล่าวออกมากลับแฝงจิตสังหารและความเหี้ยมโหดอยู่เจือจาง ชวนให้หัวใจคนหนาวสะท้าน นางอดมิไหวจึงสั่งว่า “เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ”
ชื่อจี้เงยหน้าขึ้นช้าๆ หลินถงมองใบหน้าของเขา ดวงตาฉายแววสับสนเล็กน้อย ใบหน้าตรงหน้าแลดูคุ้นเคย แต่ตนดันนึกไม่ออก นางกำลังจะถามต่อ องครักษ์คนสนิทด้านหลังร่างก็แจ้งว่า “ท่านหญิง แม่ทัพเฒ่าฉีมาหาขอรับ”
หลินถงพึ่งพาอาศัยแม่ทัพรุ่นบิดาคนนี้ยิ่งนัก นางหมุนตัวกลับเตรียมไปต้อนรับ ทว่าเดินไปได้ครึ่งทาง ในใจก็พลันนึกบางสิ่งขึ้นได้ นางคิดออกแล้วว่าหน้าตาของชายหนุ่มผู้นี้เหมือนกับคนผู้นั้นในดวงใจตนถึงเก้าส่วน เพียงแต่สีหน้า บรรยากาศรอบกายและหางตารูปคิ้วแตกต่างเท่านั้น ทำให้ตนเองนึกไม่ออกชั่วขณะ หน้าตาคล้ายกันเช่นนี้คงมิใช่ว่าคนผู้นี้คือชื่อจี้กระมัง เท้าของหลินถงชะงัก ผ่านไปครู่หนึ่งหลินถงก็เหยียดยิ้ม
จะเป็นชื่อจี้ได้เช่นไรเล่า ต้ายงกำลังเป็นดั่งพยัคฆ์กลืนกินแผ่นดิน ฉู่เซียงโหวก็กำลังรุ่งโรจน์มากเกียรติยศ เขาย่อมต้องอยู่ทำงานข้างนาย หนทางภายภาคหน้าดุจผืนผ้าไหม ไฉนจะมาอยู่ในไต้โจวที่กำลังทำศึกกับพวกคนเถื่อนมีอันตรายรายล้อมรอบด้านแห่งนี้ อีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อคนผู้นั้นมีความสามารถเข้าไปอยู่ปะปนในแดนคนเถื่อนของเป่ยฮั่นได้ ย่อมต้องมีกลเม็ดอันพิสดารอยู่จำนวนหนึ่ง จะแสดงใบหน้าที่คล้ายกับใบหน้าจริงเก้าส่วนต่อหน้าตนได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่แซ่ก็มิเปลี่ยนด้วย ตนเองไยต้องคิดเพ้อเจ้อเหลวไหล
หลินถงลังเลครู่หนึ่งก็หยุดก้าวเท้า หันกลับมาถามว่า “หวังต้าหลาง เจ้ามีพี่น้องร่วมอุทรหรือไม่”
ชื่อจี้แสร้งทำสีหน้าคล้ายฉงนสนเท่ห์ “ตอบท่านหญิง ผู้น้อยมิมีพี่น้องขอรับ”
หลินถงเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “เช่นนั้นหรือ” แล้วหันหลังกลับ เดินไปด้านหน้าต่อ นางเร่งฝีเท้าแล้วแย้มรอยยิ้ม สาวเท้าเข้าไปหาแม่ทัพเฒ่าฉี ถามพร้อมกับรอยยิ้ม “ท่านลุงฉี ข้าขอให้ท่านจัดการทาหัวของลูกศรด้วยครั่งดำได้หรือไม่”
ชื่อจี้มองเงาแผ่นหลังกระฉับกระเฉงของหลินถง มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาจางๆ ก่อนออกเดินทางหนนี้ คุณชายเคยบอกตนว่า หากตนจะเข้าสู่สนามรบย่อมมิอาจระวังใบหน้าที่ถูกแปลงโฉมได้ตลอดเวลา แทนที่จะปล่อยให้คนจับได้ว่าแปลงโฉมมาจนเข้าใจว่าตนเป็นสายลับ มิสู้เปลี่ยนรายละเอียดของหน้าตาสักเล็กน้อย หลังจากนั้นจงใจเปลี่ยนน้ำเสียงกับกิริยาท่าทางสักหน่อยจะดีกว่า พอทำเช่นนี้ก็เป็นจริงดังคาด แม้แต่หลินถงผู้คุ้นเคยกับตนที่สุดในกองทัพเป่ยฮั่นก็เพียงนึกสงสัยเท่านั้น นอกจากนี้นางยังไม่คิดโยงไปถึงตนเพราะ ‘ช่องโหว่’ ที่มากเกินไป
แม้ว่าหากพบเห็นกันนานเข้า หลินถงอาจจดจำตนเองได้อย่างง่ายดาย แต่ชื่อจี้เชื่อมั่นว่า หลินถงน่าจะเคียดแค้นชิงชังตนอย่างยิ่ง หลังจากนี้น่าจะจงใจหลบเลี่ยงเสียมากกว่า แม้รู้สึกพอใจอยู่จางๆ แต่ในหัวใจของชื่อจี้ก็มีความเสียดายเจือปนอยู่ด้วย ใกล้เพียงเอื้อมมือดุจไกลกันสุดขอบฟ้า ยังจะมีสิ่งใดทำให้คนผิดหวังมากกว่าสิ่งนี้อีก
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ตอนที่ลูกศรพิษทาครั่งเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง เงาร่างของพวกคนเถื่อนมากมายดั่งจะกลบนภาบังตะวันก็ปรากฏตัวขึ้นนอกกำแพงด่านเยี่ยนเหมิน ชื่อจี้ส่งสัญญาณอย่างรวดเร็ว จากนั้นดวงตาก็ทอประกายเย็นยะเยือก ดูจากภาพสัญลักษณ์กับเครื่องแต่งกายของกองทัพคนเถื่อนหนนี้ แปดเผ่าใหญ่บนทุ่งหญ้าคงมากันพร้อมหน้าเป็นแน่ หนนี้พวกคนเถื่อนคงตรียมจะเริ่มโจมตีเต็มกำลังแล้ว
เผ่าคนเถื่อนแบ่งขบวนทัพตามแต่ละเผ่า เผ่าหนึ่งในนั้นจู่ๆ ก็ชูธงใหญ่สีทองที่มีสัญลักษณ์หมาป่าสีดำขึ้นมา ใต้ธงผืนใหญ่มีชายหนุ่มองอาจผู้สวมชุดข่านสีเหลืองคนหนึ่งชูแขนขึ้น หลังจากนั้นเสียงตะโกนดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินก็ดังขึ้นนอกด่านเยี่ยนเหมิน “มหาข่านจงเจริญ มหาข่านจงเจริญ!”
ผู้คนพันหมื่นคนตะโกนเสียงดังพร้อมกัน เสียงดังสนั่นจนคนทั้งหลายบนด่านเยี่ยนเหมินหน้าซีดเผือด ธงหมาป่าสีทอง คำเรียกขานว่ามหาข่าน สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่าเผ่าแต่ละเผ่าที่แตกแยกกันหลังจากกองทัพใหญ่แห่งจงหยวนบุกทำลายอาณาจักรข่านแห่งทุ่งหญ้าในสมัยต้นราชวงศ์ตงจิ้นได้กลับมารวมเป็นหนึ่งอีกครั้งแล้ว การปรากฏตัวของข่านคนใหม่ บ่งบอกว่าหนนี้พวกคนเถื่อนมุ่งมาดจะเอาชัยเหนือไต้โจวให้จงได้
ชื่อจี้ประเมินว่ากองทัพคนเถื่อนตรงหน้ามีมากถึงหกหมื่นคน เมื่อหวนนึกถึงตอนที่ตนเดินทางไปยังแต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้า ตอนนั้นแต่ละเผ่าก็ดูเหมือนมีแนวโน้มว่าจะปรองดองกันอยู่จริงๆ ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้นั้นคือหวันเหยียนน่าจินหัวหน้าเผ่าของเผ่าเก๋อเล่อ เขามีชื่อเสียงโด่งดังบนทุ่งหญ้า สร้างชื่อด้วยความเฉลียวฉลาดเด็ดขาด ห้าวหาญชำนาญศึก แต่หัวหน้าเผ่าของเผ่าอื่นมากกว่าครึ่งล้วนเป็นคนรุ่นเดียวกับบิดาของเขา ชื่อจี้จึงคาดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าเขาจะรวมทุ่งหญ้าให้เป็นหนึ่งได้
ยามนี้อาณาจักรข่านของพวกคนเถื่อนก่อตั้งขึ้นมาใหม่แล้ว ไต้โจวเป็นเพียงเป้าหมายก้าวแรกของพวกเขาเท่านั้น ขณะที่ชื่อจี้ครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด ข้างกายก็มีเสียงอาวุธหล่นร่วง ชายฉกรรจ์คนหนึ่งในกองพลเดียวกับเขาหน้าซีดเผือด ถูกความน่าครั่นคร้ามของพวกคนเถื่อนทำให้ตกใจกลัวจนขวัญหลุดลอยจากร่างไปเสียแล้ว