ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 92 เมฆหมอกปกคลุมไต้โจว (3)
ชื่อจี้ขมวดคิ้ว มองไปรอบด้าน แม้แต่กองทัพไต้โจวก็ยังมีสีหน้าตื่นตะหนกอย่างห้ามตนเองมิได้ ขณะที่ชื่อจี้ขบคิดว่าจะปลุกขวัญกำลังใจทหารเช่นไรดี หลินถงพลันใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนช่องกำแพงช่องหนึ่ง นางชี้ธงข่านของเผ่าคนเถื่อนแล้วตะโกนเสียงดัง “พวกท่านหวาดกลัวแล้วหรือ พวกคนเถื่อนเหล่านี้ทำให้พวกท่านขวัญกระเจิงแล้วกระมัง พวกท่านจงฟัง ด้านหลังด่านเยี่ยนเหมินคือครอบครัวและลูกหลานของพวกเรา ทหารกล้าแห่งไต้โจวทั้งหลายที่ยืนกวัดแกว่งดาบอยู่ ณ ที่นี่ บิดามารดาและภรรยาของพวกท่านล้วนกำลังมองดูพวกท่านอยู่ด้านหลัง
ยามนี้ราชสำนักกำลังแย่งชิงแผ่นดินกับต้ายง พวกเราชาวไต้โจวด้านนอกไร้กำลังเสริม ด้านในก็ขาดกำลังคน นอกจากพวกเรา มิมีผู้ใดมีกำลังปกป้องตนเองอีกแล้ว หากปล่อยให้พวกคนเถื่อนฝ่าผ่านด่านเยี่ยนเหมินไป ไต้โจวจะกลายเป็นนรกบนดิน พวกท่านบุรุษทั้งหลายสู้สตรีตัวน้อยที่ออกรบครั้งแรกเช่นข้ามิได้หรือ แม้นต้องตาย พวกเราก็จักตายก่อน ดีกว่าเฝ้ามองผู้เฒ่าผู้แก่ครอบครัวมิตรสหายตกตายใต้คมดาบ”
โทสะประหนึ่งเปลวเพลิงแผดเผากับถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากใจจริงของหลินถงทำให้ทุกคนแสดงสีหน้าอับอายออกมา แม่ทัพเฒ่าฉีชูแขนขึ้นตะโกนก้อง “ท่านหญิงยังหาญกล้าถึงเพียงนี้ พวกเราบุรุษอกสามศอกจะรักตัวกลัวตายหรือ หากพวกเราบุรุษไต้โจวยังมิตายสิ้น พวกคนเถื่อนก็อย่าคิดจะตีด่านเยี่ยนเหมินแตก สู้ตายมิถอย มีข้ามิมีศัตรู”
ทุกคนล้วนฮึกเหิมเป็นกำลัง ตะโกนร้องเสียงดังตามด้วย “สู้ตายมิถอย มีข้ามิมีศัตรู” ความฮึกเหิมที่เพิ่มสูงขึ้นกะทันหันบนกำแพงด่านทำให้พวกคนเถื่อนที่ตะโกนคำว่าจงเจริญเสียงดังอยู่มองหน้ากัน หยุดร้องตะโกนอย่างมิตั้งใจ
เวลานี้เอง ใต้ธงข่านผืนนั้น หวันเหยียนน่าจินผู้ครองตำแหน่งข่านพลันยกมือขึ้น องครักษ์คนสนิทคนหนึ่งส่งธนูยักษ์สูงเกินตัวคนคันหนึ่งมาให้ หวันเหยียนน่าจินชักอาชาก้าวออกมาจากกระบวนทัพ ทุกคนตาลายเพียงวูบเดียว หวันเหยียนน่าจินก็ควบอาชาทะยานออกมาจากกองทัพเพียงลำพังจนกระทั่งมาถึงตำแหน่งที่ห่างจากด่านเยี่ยนเหมินห้าร้อยก้าว เพียงชั่วสูดลมหายใจเขาก็ง้างคันศรยิงลูกธนูออกมา ศรทรงเขี้ยวหมาป่าสามดอกยิงตามต่อกัน พุ่งประหนึ่งเงาลวงเข้าใส่หลินถงที่ยืนอยู่บนที่สูง
แทบจะในชั่วพริบตา ศรเขี้ยวหมาป่าดอกแรกก็เข้าประชิดตัวหลินถง หลินถงพลิกกายกระโดดลง หลบพ้นศรเขี้ยวหมาป่าดอกแรกมาได้ นางชักดาบคู่กายปัดป้องศรเขี้ยวหมาป่าดอกที่สอง ทว่าศรเขี้ยวหมาป่าดอกนั้นพละกำลังมหาศาลยิ่งนัก หลินถงรู้สึกว่าแขนชาไปทั้งท่อนยามศรเขี้ยวหมาป่าดอกนั้นปะทะกับดาบเหล็กกล้าจนมันจนหักสะบั้น ขณะที่ศรเขี้ยวหมาป่าดอกที่สามอยู่ห่างจากหลินถงมิถึงสิบก้าว หลินถงมิอาจขยับร่างกายได้แล้ว ศรเขี้ยวหมาป่าดอกนั้นกำลังจะปักทะลุเรือนร่างอรชรของนาง
ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของทุกคน ห้วงเวลาราวกับยาวนานนับอนันต์ ทันใดนั้นศรขนนกดอกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันยิงมาถูกศรเขี้ยวหมาป่าดอกนั้น แต่เห็นชัดว่าพละกำลังแตกต่างกันมากยิ่ง ศรขนนกดอกนั้นดีดกลับมาแล้วร่วงหล่น ความหวังอันแรงกล้าของทุกคนแตกสลาย ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อยออกมาพร้อมกันอย่างมิตั้งใจ ผู้ใดจะคาดคิดว่าพริบตาที่ศรขนขกดอกแรกดีดกลับมา ศรเขี้ยวหมาป่าที่เบี่ยงออกเล็กน้อยก็ถูกศรขนนกดอกที่สองยิงเข้าที่แกนศร ต่อจากนั้นศรดอกที่สาม ดอกที่สี่ จวบจนดอกที่ห้า
ศรขนนกห้าดอกยิงถูกศรเขี้ยวหมาป่าอันทรงพลังดอกนั้นแทบจะบนจุดเดียวกัน ห่างกันเพียงเส้นผม น้ำหยดลงหิน หินยังกร่อน ในที่สุดศรเขี้ยวหมาป่าดอกนั้นก็เปลี่ยนทิศ เฉียดผ่านข้างแก้มของหลินถง ทิ้งรอยโลหิตบางเฉียบไว้เส้นหนึ่ง แล้วปักลึกลงบนกำแพงเมืองด้านหลัง
แม้ศรห้าดอกนี้จะพละกำลังมิแข็งแกร่ง แต่ความแม่นยำและความเร็วล้วนยากจะพบเห็นในใต้หล้า มิเพียงมีเสียงตะโกนชมว่าดีประหนึ่งอสนีบาตดังขึ้นในหมู่กองทัพไต้โจว แม้แต่ในหมู่พวกคนเถื่อนนอกด่านก็ยังมีเสียงชื่นชมดังขึ้นมาด้วย
หลินถงร่อนลงบนพื้น องครักษ์คนสนิทหลายนายหยิบโล่หนักขึ้นกำบังนาง หลินถงมิสนใจรอยแผลเล็กน้อยบนพวงแก้มงาม นางมองชายหนุ่มผู้ง้างคันศรเตรียมยิงอยู่ห่างออกไปหลายสิบก้าวอย่างตกตะลึง ยิงหนึ่งหนศรห้าดอก ครานี้มิว่าเขาจะเปลี่ยนโฉมปกปิดอย่างไร หลินถงก็จำเขาได้แล้ว น้ำตาใสสองสายหยดลงมา ก่อนจะถูกสายลมบนกำแพงด่านเยี่ยนเหมินพัดจนเหือดแห้งในพริบตา หลินถงเอ่ยเรียกด้วยเสียงนุ่มนวลทว่าไม่ลังเล “ชื่อจี้!”
ชื่อจี้ยิ้มเจื่อน หลังจากตัวตนเปิดเผย เขาก็มิจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป มือฉวยยาเม็ดหนึ่งออกมาจากถุงเก็บสมบัติข้างเอวแล้วบี้จนแหลก ถูบนใบหน้า กำจัดยาแปลงโฉมปริมาณน้อยนิดนั่นออก หลังจากนั้นจึงแย้มรอยยิ้มสุขุมนิ่งสงบตอบว่า “ท่านหญิงหงสยา มิได้พบหน้ากันนาน”
ใบหน้าหล่อเหลากับรอยยิ้มงามแฝงความเฉยเมยต่อโลกเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยทำให้เขาประหนึ่งผลัดร่างเปลี่ยนกระดูก กลายเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ภายในพริบตา ทุกคนอุทานตกตะลึงอย่างห้ามมิได้ มัจฉากลับกลายเป็นมังกรเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกประดุจฝัน
มีเพียงหลินถงที่ถามอย่างไม่ตกใจสักนิด “เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่ ต้ายงสถานการณ์ได้เปรียบทุกทาง ไยต้องให้ท่านมาเป็นสายลับ นายของท่านวางแผนร้ายกาจอันใดไว้อีก”
ทุกคนมองชื่อจี้อย่างตะลึงงัน ความรู้สึกซาบซึ้งเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นความคลางแคลง เขาเป็นสายลับของต้ายง ยามนี้องค์หญิงหลินปี้กำลังทำศึกกับต้ายง คนผู้นี้จะมีเจตนาดีได้เช่นไร ทหารเกณฑ์ข้างกายชื่อจี้ถอยออกไป ทหารไต้โจวโอบล้อมเข้ามาอย่างช้าๆ ทว่าคนผู้นี้เพิ่งช่วยชีวิตหลินถง แม้นในใจคนเหล่านั้นคลางแคลง แต่ก็มิต้องการลงมือทันที ทุกคนล้วนมองไปยังหลินถง
เวลานี้หวันเหยียนน่าจินที่ถูกองครักษ์คนสนิทรับกลับไปในกองทัพแล้วพลันดวงตาทอประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง แม้ห่างอยู่ประมาณหนึ่ง แต่คนผู้นั้นที่ยืนเดียวดายลำพังอยู่บนกำแพงด่านเยี่ยนเหมินเป็นผู้ที่ตนเองรู้จักอย่างแน่นอน “ข้าก็คิดว่าผู้ใด ที่แท้ก็ท่านหมอหวังหมอเทวดาปั๋วเล่อ แม้นท่านเป็นคนจงหยวน แต่ก็สร้างชื่อเสียงในทุ่งหญ้าของข้า ในอดีตยามท่องอยู่บนทุ่งหญ้ากว้าง หัวหน้าเผ่าของแต่ละเผ่าต้อนรับท่านดั่งแขกคนสำคัญ ท่านมิใช่คนเป่ยฮั่น แทนที่จะอยู่บนนั้นถูกผู้คนมองเป็นศัตรูคู่แค้น มิสู้มาทำงานใต้บัญชาข้าเสียดีกว่า ข้ายินดีปฏิบัติต่อท่านเยี่ยงพี่น้อง ลาภยศสรรเสริญ ผู้หญิงผ้าไหมแพรพรรณ แล้วแต่ท่านจะเลือกหยิบ ท่านคิดเห็นเช่นไร”
เขากล่อมให้สวามิภักดิ์ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ในถ้อยคำแฝงเจตนาเสี้ยมให้แตกแยกอยู่เลือนราง แม้แต่ทหารเกณฑ์ที่แต่เดิมมีความเป็นอริมิแรงกล้าเหล่านั้นก็กำอาวุธแน่นอย่างมิตั้งใจ จับจ้องชื่อจี้อย่างมาดร้าย
ชื่อจี้ยิ้มฝืดเฝื่อน หมุนตัวไปมองด้านล่าง แล้วเอ่ยตอบเสียงดัง “หัวหน้าเผ่าหวันเหยียน วันวานยามข้าเดินทางไปยังเผ่าเก๋อเล่อของท่าน ท่านต้อนรับข้าอย่างดี ข้ารักษายอดอาชาไนยแสนรักของท่านจนหาย ท่านสอนวิชาขี่ม้ายิงธนูให้ข้า ท่านกับข้าผูกมิตรเป็นสหาย มิตรภาพแน่นแฟ้นมิน้อย ทว่ามิตรภาพส่วนตัวมิอาจทำให้เสียคุณธรรมต่อส่วนรวม แต่เดิมข้าเป็นคนหนานฉู่ ยามนี้เป็นประชาชนของต้ายง ข้ามิเกี่ยวข้องกับเป่ยฮั่น แต่มิว่าต้ายง เป่ยฮั่น หรือหนานฉู่ล้วนเป็นฝั่งจงหยวน ราชอาณาจักรของชาวฮั่นทั้งสิ้น
วันนี้หากท่านข่านมาท่องเที่ยวในจงหยวนของข้า ข้าย่อมต้อนรับท่านอย่างดีประหนึ่งแขกคนสำคัญ ทว่าวันนี้ท่านกรีฑาทัพบุกลงใต้ รุกรานแผ่นดินชาวฮั่นของข้า ย่อมเท่ากับเป็นศัตรูมิอาจอยู่ร่วมฟ้ากับข้า แต่ข้าเห็นแก่มิตรภาพในวันวาน ขอกล่อมท่านข่านสักประโยค วันนี้จงหยวนของข้ากำลังจะรวมเป็นหนึ่งเดียว แม้นท่านข่านเก่งกาจกล้าหาญ ทว่ามิใช่ศัตรูของต้ายงของข้า หากท่านข่านคิดถึงแต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้าจริง มิสู้หยุดรบเสีย อย่าให้ปณิธานยิ่งใหญ่สลายเป็นธุลี บนทุ่งหญ้าโลหิตนองเป็นสายน้ำ”
หวันเหยียนน่าจินหัวเราะหยัน “จงหยวนแตกเป็นก๊กเหล่ามิใช่เพียงวันเดียว ยามนี้ศึกภายในเกิดขึ้นมิหยุดหย่อน ไหนเลยจะมีกำลังมาต้านทานทัพใหญ่ของข้าบุกลงใต้ ข้ามิได้ละโมบ ขอเพียงยึดไต้โจว ทำให้ชาวจงหยวนของเจ้าไร้กำลังขัดขวางกองทหารม้าเหล็กของข้าก็เพียงพอแล้ว หากเจ้ามิยอมจำนน อย่าโทษว่าข้าลงมือมิไว้ไมตรี”
ชื่อจี้เหยียดยิ้มเย็นชา ดึงลูกธนูขนนกดอกหนึ่งออกมาหักเป็นสองท่อน แล้วกล่าวเสียงดัง “วันนี้ข้าขอหักลูกธนูลั่นวาจาสาบาน ท่านกับข้าหมดบุญคุณสิ้นไมตรีต่อกัน ท่านข่านบุกตีด่านเยี่ยนเหมินได้เต็มกำลัง แม้นข้าตายใต้คมศรของท่านข่าน ถึงตายก็มิคิดเคืองแค้น แต่หากท่านข่านตายในมือของข้า ก็ขออย่ากล่าวโทษข้าว่ามิเห็นแก่มิตรภาพ”
คิ้วกระบี่ของหวันเหยียนน่าจินชี้ตั้ง ตอบเสียงดัง “เจ้ารนหาที่ตายด้วยตนเอง จะมาโทษข้ามิได้ เริ่มตีเมือง!” เมื่อเขาออกคำสั่ง กองทัพคนเถื่อนพลันโถมเข้าใส่ด่านเยี่ยนเหมิน
ชื่อจี้กล่าวคำพูดท่อนนี้จบก็เหลียวกลับไปมองด้านหลัง ในใจวิตกกังวล มิทราบว่าคนเหล่านี้จะยอมให้ตนเองต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขาหรือไม่ เมื่อหันหลังกลับไป ถุงลูกธนูถุงหนึ่งก็ถูกยัดใส่มือ เขาเห็นรอยยิ้มเปี่ยมไมตรีของหลินหย่วนฉง พอเงยหน้ามองรอบด้าน ในดวงตาของทุกคนก็ล้วนมีแต่ความอบอุ่น ชื่อจี้พลันรู้สึกว่าน้ำตาร้อนรื้นขึ้นมาคลอเบ้า ทว่ากลับพูดคำใดมิออก
ทุกคนหันไปมองหลินถง ถึงอย่างไรชื่อจี้จะอยู่ต่อได้หรือไม่ก็ต้องให้หลินถงตัดสินใจ หลินถงหันหน้าหนีแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ยังไม่ไปป้องกันกำแพงอีก พวกคนเถื่อนจะมาแล้ว”
ในใจชื่อจี้รู้สึกตื้นตัน กำคันศรแน่น น้ำตาร้อนไหลรินลงมา
เวลานี้หวันเหยียนน่าจินถอนหายใจเสียงเบา เขารู้จักหวังจี้ผู้นั้นดีพอสมควร ในอดีตยามคบหากันก็รู้สึกได้อยู่แล้วว่าคนผู้นี้มีความสามารถโดดเด่นเหนือผู้คน น่าเสียดายแม้นยามนั้นเขามีใจทะเยอทะยาน แต่กลับติดที่กำลังมิมากพอ จึงมิอาจบีบบังคับรั้งตัวหมอเทวดาปั๋วเล่อที่ผู้คนบนทุ่งหญ้านับถือไว้ ทำได้แต่เพียงใช้มิตรภาพผูกมัด หนนี้เขาฉวยโอกาสที่แต่ละเผ่าประสบภัยพิบัติอย่างหนัก ใช้เสบียงที่กักตุนไว้ควบคุมแต่ละเผ่า บีบให้พวกเขาดื่มเลือดสาบาน ก่อตั้งอาณาจักรข่านขึ้นมาใหม่อีกหน ฟื้นเกียรติยศของตระกูลหวันเหยียนในอดีต ทว่าถึงยามนั้นหวังจี้ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
เมื่อหวังจี้ช่วยชีวิตหลินถง ทำลายการสำแดงศักดาของเขา ในใจเขาโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก จึงคิดอาศัยความขัดแย้งระหว่างเขากับกองทัพด่านเยี่ยนเหมินทำลายคนผู้นี้ เพื่อมิให้เขาส่งผลร้ายต่อแผนการบุกยึดไต้โจวของตนเอง น่าเสียดายที่ล้มเหลวในก้าวสุดท้าย คนจงหยวนมิได้ชอบต่อสู้กันภายในมากที่สุดหรือ หวันเหยียนน่าจินคิดอย่างขุ่นเคือง