ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 96 ผลศึกปรากฏปิดกระดาน (ปลาย) (1)
หลังจากฉวยโอกาสช่วงท้องฟ้ากำลังจะมืด จังหวะที่กองทัพใหญ่ซึ่งบุกตีเฉินชังวุ่นวายจากการทยอยกลับค่ายเพื่อลักลอบพบกับจางหัน ซั่งกวนเยี่ยนก็กลับมายังกระโจมในค่ายที่พักอยู่ร่วมกับสยงเป้าอย่างวิตกกังวล
แม้ยามนี้ทั้งสองคนมีฐานะเป็นตัวประกันก็จริง ทว่าฮั่วอี้ก็มิได้ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้าย ยังให้พวกเขาสองคนพักด้วยกัน ปกติยามอยู่กับพวกเขาก็มิเคยดูแคลนสักนิด หากมิใช่เพราะบนหัวมีกระบี่คมกริบแขวนอยู่ ซั่งกวนเยี่ยนก็เคารพและรู้สึกขอบคุณฮั่วอี้ผู้ชาญฉลาดและเก่งกาจคนนี้อยู่มาก น่าเสียดายเขารู้ชัดเจนยิ่งนักว่าขอเพียงมีคำสั่งลงมาเพียงคำเดียว ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะดูแลพวกตนสองคนค่อนข้างดีคนนี้ก็คงจะสังหารพวกตนอย่างมิลังเลสักนิด ด้วยเหตุนี้ซั่งกวนเยี่ยนจึงมิกล้าประมาทสักเพลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจางหันบอกสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้ให้ตนเองทราบ ตนกับสยงเป้าจำเป็นต้องหลบหนีไปทันที เขาจึงยิ่งกังวลอย่างมาก
แม้ฮั่วอี้จะมิได้พูดออกมาชัดเจน แต่ระหว่างตนกับสยงเป้าต้องมีคนใดคนหนึ่งอยู่ข้างกายคอยรับคำสั่งเขาตลอด มิอาจออกไปจากขอบเขตสายตาของเขาได้ จะทำให้ทั้งสองคนหลบหนีออกไปอย่างปลอดภัยได้เช่นไร
ซั่งกวนเยี่ยนพยายามขบคิด แต่มิว่าอย่างไรตอนนี้เขาต้องบอกเรื่องนี้ให้สยงเป้าทราบก่อน ยามนี้เป็นช่วงเวลาพักก่อนรับประทานอาหารเย็นของกองทัพพอดี สยงเป้าน่าจะผละจากข้างกายฮั่วอี้กลับมาที่กระโจมแล้ว หลังจากตนทานอาหารเย็นเสร็จก็ต้องไปคอยรับคำสั่งอยู่ข้างกายฮั่วอี้ แม้มีเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม แต่เขาเชื่อว่าจะบอกสยงเป้าให้เข้าใจได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเกิดเรื่องราวมิคาดฝันอันใดขึ้น สยงเป้าจะได้มิตกลงไปในกับดักของผู้อื่นง่ายๆ
ซั่งกวนเยี่ยนเดินเข้ามาในกระโจม ทันใดนั้นหัวใจก็สะท้าน เขาเห็นฮั่วอี้ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในกระโจมแต่มิเห็นสยงเป้า หรือว่าข่าวที่พวกพ่อบุญธรรมมาที่นี่จะหลุดออกไปแล้ว ซั่งกวนเยี่ยนคิดในใจ แต่จำต้องก้าวเข้าไปคำนับถามว่า “ผู้น้อยคารวะคุณชาย คุณชายมาที่นี่ได้เช่นไร หรือว่ามีเรื่องสำคัญอันใด”
ใบหน้าซื่อๆ ของฮั่วอี้เผยรอยยิ้มเย็นยะเยือกออกมาจางๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านหัวหน้ามีคำสั่ง คืนนี้พวกเจ้าล้วนต้องอยู่คอยรับคำสั่ง หากขัดขืน มิเพียงตัวพวกเจ้าเองจะถูกลงโทษหนัก แล้วยังจะพัวพันไปถึงครอบครัวด้วย” กล่าวจบ มือขวาก็เริ่มขยับนิ้วเล่นหยกพกแผ่นหนึ่ง แววตาสื่อถึงการข่มขู่อย่างชัดเจน
ซั่งกวนเยี่ยนเพ่งมอง ทันใดนั้นหัวใจก็หนาวยะเยือก เขาจำหยกพกชิ้นนั้นได้ มันคือของที่จางหันผู้เพิ่งแยกจากเขาเมื่อครู่พกติดตัว หยกพกชิ้นนี้เป็นของขวัญที่ซั่งกวนเยี่ยนมอบให้จางหันเมื่อตอนเขาฉลองอายุครบสี่สิบปี เพราะยามปกติจางหันเอ็นดูซั่งกวนเยี่ยนมาก ซั่งกวนเยี่ยนจึงตั้งใจซื้อหยกจากสมัยราชวงศ์ฮั่นที่เล่ากันว่าขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้มาแสดงความรู้สึกขอบคุณในใจ จางหันซาบซึ้งกับความกตัญญูของซั่งกวนเยี่ยนจึงพกหยกแทบมิห่างกาย เมื่อครู่นี้ซั่งกวนเยี่ยนก็เห็นว่าข้างเอวเขาห้อยหยกชิ้นนี้อยู่ ยามนี้หยกชิ้นนี้กลับมาอยู่ในมือฮั่วอี้ หรือว่าเวลาเพียงชั่วครู่ จางหันก็หล่นเข้าไปในปากเสือเสียแล้ว คิดว่าสยงเป้าก็คงถูกคุมตัวไว้แล้วเหมือนกัน เขาขยับมือไปกุมด้ามกระบี่ตรงเอวอย่างอดทนมิไหว ความเลือดร้อนแล่นทะลักท่วมหัวใจ
ฮั่วอี้คล้ายมิทราบความคิดที่เปลี่ยนไปในใจเขา ยังคงยิ้มแย้มกล่าวว่า “จริงสิ พวกเราหาน้องชายของเจ้าพบแล้ว เขาอายุยังน้อยจึงลอบออกไปซุ่มสังหารสายลับของกรมวินิจการณ์ด้วยตนเอง ผลสุดท้ายถูกผู้อื่นจับเป็นเชลย โชคดีกรมวินิจการณ์ต้องการถามความลับของฝั่งเราจากปากเขา จึงมิได้สังหารหรือทำร้ายน้องชายของเจ้า
หนนี้ลั่วเจี้ยนเฟยนำคนบุกไปทำลายฐานบัญชาการลับแห่งหนึ่งของกรมวินิจการณ์ สุดท้ายจึงช่วยน้องชายของเจ้าออกมาได้ แม้เขาจะต้องทนลำบากมาอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีเรี่ยวมีแรงดี ทั้งสองคนวางใจได้แล้ว อีกไม่กี่วันพวกเจ้าทั้งครอบครัวก็จะได้อยู่พร้อมหน้า”
คำพูดนี้คล้ายน้ำเย็นถังหนึ่งรินรดใส่ศีรษะ ซั่งกวนเยี่ยนเรียกความเยือกเย็นกลับมาได้อีกหน ความเศร้าโศกตีตื้นขึ้นมาในหัวใจ คิดมิถึงว่าสุดท้ายพวกตนก็หนีไม่พ้นจากการควบคุมของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ความมุ่งมั่นที่เพียรพยายามยึดมั่นมาหลายวันในที่สุดก็พังทลาย เขาเอ่ยอย่างหดหู่ “คุณชายยังมีสิ่งใดจะสั่งก็กล่าวมาตามตรงเถิด ท่านหัวหน้าทำกับพวกเราสมาชิกกลุ่มเช่นนี้ช่างทำให้คนหนาวเหน็บหัวใจยิ่งนัก”
ฮั่วอี้ยิ้มน้อยๆ ใบหน้าซื่อนั่นคล้ายกับจะมีความเจ้าเล่ห์เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย เขาเอ่ยกับซั่งกวนเยี่ยนผู้คับแค้นว่า “ความจริงนี่เป็นเพราะพวกเจ้ามิยอมฟังคำสั่งแต่โดยดีเสียที หากในใจพวกเจ้ามิตั้งตัวเป็นศัตรู ท่านหัวหน้ากับท่านรองหัวหน้าไยต้องขัดแย้งกับพวกเจ้าด้วย ยามนี้พวกบิดาบุญธรรมของเจ้าอยู่ในสายตาของพวกเราแล้ว ขอเพียงมีคำสั่งคำเดียวก็จับกุมได้ทันที อีกอย่างหลังจากพวกเขาลักพาตัวเจ้าแคว้นกับไทเฮาไป ต่อให้ข้าเฉือนเนื้อทั้งเป็นประหารพวกเขา ก็คงมิมีผู้ใดเรียกร้องความเป็นธรรมแทนพวกเขาหรอก”
ซั่งกวนเยี่ยนโกรธจัดแย้งว่า “หากมิใช่พวกท่านบังคับให้พ่อบุญธรรมข้าไปสังหารเจ้าแผ่นดิน พ่อบุญธรรมไยต้องช่วยเจ้าแคว้นกับไทเฮาออกมา หากพวกท่านจะฆ่าก็ฆ่า ไยต้องมาใส่ร้ายป้ายสีพ่อบุญธรรม”
ฮั่วอี้หัวเราะพรืด ทักว่า “เจ้าพบกับจางหันแล้วจริงๆ สินะ ดูท่าข้าจะเดาไม่ผิด”
ซั่งกวนเยี่ยนตกตะลึง นี่มันเกิดอะไรขึ้น อารองจางมิได้ถูกพวกเขาจับไปหรือ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจ หันไปมองหยกพกในมือของฮั่วอี้ ฮั่วอี้หัวเราะ โยนหยกพกมาให้เขา ซั่งกวนเยี่ยนรับหยกพกมาเพ่งพิจจึงพบว่าเป็นหยกพกเลียนแบบชิ้นหนึ่ง แม้จะเลียนแบบได้เหมือนยิ่งนัก แต่ซั่งกวนเยี่ยนก็ยังมองความแตกต่างเล็กน้อยออกว่านี่มิใช่ของจริง เมื่อครู่ความคิดของเขาถูกความร้อนรนเล่นงานจึงมองมิออก
หลังจากมองเล่ห์กลออก ซั่งกวนเยี่ยนก็มิได้ผ่อนคลายลงมากเท่าใดนัก ดูจากหยกพกเลียนแบบชิ้นนี้ ฮั่วอี้รวมไปถึงเฉินเจิ่นและฮั่วจี้เฉิงคงระแวงพวกตนมานานแล้ว พอลงมือจึงจู่โจมสายฟ้าแลบชนิดที่มิมีทางยอมล้มเหลว มิเช่นนั้นจะทำหยกพกเลียนแบบชิ้นนี้ขึ้นมาได้เช่นไร ในเมื่อตอนนี้ฮั่วอี้หยั่งเชิงกันซึ่งหน้า ถ้าเช่นนั้นเขาก็คงเตรียมการเอาไว้พร้อมแล้วเป็นแน่
มาถึงเวลานี้ ซั่งกวนเยี่ยนกลับปล่อยวาง เขาเข้าใจดีว่าฮั่วอี้มิมีทางสิ้นเปลืองความคิดกับคนไร้ประโยชน์ ในเมื่อเขาใช้เล่ห์กลกับตน ถ้าเช่นนั้นก็คงยังมีหนทางรอดอยู่ ซั่งกวนเยี่ยนมิใช่คนยอมแพ้มิเป็น
เขาถอนหายใจแล้วเอ่ยอย่างหดหู่ “มิว่าจะสติปัญญาหรือวรยุทธ์ พวกเราล้วนยอมรับว่าสู้มิได้ คุณชายโปรดบอกให้กระจ่างเถิด มิว่าจะเป็นสิ่งใด ขอเพียงซั่งกวนเยี่ยนทำให้ได้ จักทำอย่างเต็มกำลังแน่นอน หวังเพียงว่าท่านหัวหน้าจะมีเมตตา ละเว้นพ่อบุญธรรมกับท่านอาทั้งสองของข้า”
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ฮั่วอี้ก็ยิ้มละไม ซั่งกวนเยี่ยนเฉลียวฉลาดจริงดังคาด น่าเสียดายใจไม่เหี้ยมพอ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ตนมาหาเขา คนเช่นนี้จึงจะควบคุมค่อนข้างง่าย แม้ต้องการจะปล่อยคนตระกูลกู้ไป แต่ก็มิอาจปล่อยให้พวกเขาออกไปนอกการควบคุม ดังนั้นจึงจำต้องวางหนามสักชิ้นไว้ในตระกูลกู้
ซั่งกวนเยี่ยนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เขาฉลาดและรู้จักดูสถานการณ์ ขอเพียงรักษาชีวิตของคนตระกูลกู้ทั้งหมดเอาไว้ได้ เขาก็จะยอมก้มหน้ารับคำสั่ง หากคิดปิดบังสายตาของพวกกู้หนิง ก็มีเพียงซั่งกวนเยี่ยนที่ทำงานนี้ได้ สยงเป้าโผงผาง กู้อิงเลือดร้อน ล้วนมิใช่ตัวเลือกที่เหมาะ
ฮั่วอี้จับจูงซั่งกวนเยี่ยนให้เขานั่งลงด้านข้างแล้วกล่าวว่า “ความจริงแล้วใจจริงท่านหัวหน้ากลุ่มมิได้ต้องการจะสร้างความลำบากให้ตระกูลกู้ของพวกเจ้า หลังจากจบงานที่เฉินชังหนนี้ กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจะสลายตัว พวกเจ้าตระกูลกู้จะหลีกเร้นเข้าไปอยู่ในป่าเขา มิยุ่งเกี่ยวโลกภายนอกก็ได้ แต่ตระกูลกู้พาทายาทเชื้อพระวงศ์แคว้นสู่ไปด้วย เรื่องนี้สุดท้ายจะนำเภทภัยมาให้มิสิ้นสุด
ดังนั้นท่านหัวหน้าจึงต้องการให้เจ้าจับตาดูไว้ตลอดเวลา ขอเพียงตระกูลกู้ของพวกเจ้ามิคิดอาศัยทายาทของเจ้าแคว้นสู่ก่อตั้งแคว้นขึ้นมาใหม่ ข้ารับประกันแทนท่านหัวหน้าว่าจะมิทำอันตรายตระกูลกู้ของพวกเจ้าสักคนอย่างแน่นอน”
ซั่งกวนเยี่ยนฟังมาถึงตรงนี้ก็ตกตะลึง แม้เขาจะเคยแอบวิพากษ์วิจารณ์พวกฮั่วจี้เฉิงกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วอยู่บ้าง แต่มิเคยคิดมาก่อนว่าพวกฮั่วจี้เฉิงจะสมคบกับต้าง แต่ฟังจากถ้อยคำของฮั่วอี้ ในเนื้อความกลับแฝงความนัยที่เขายากจะเชื่อประการนี้อยู่ เขามองฮั่วอี้อย่างตกตะลึง มิทราบว่าสมควรจะพูดสิ่งใด
ฮั่วอี้ยิ้มน้อยๆ กล่าวต่อว่า “เรื่องนี้เจ้ามิต้องคิดมากไป หากพวกเราต้องการกวาดล้างทายาทของเจ้าแคว้นสู่จนสิ้นก็คงมิปล่อยเมิ่งซวี่ไว้ ขอเพียงนับจากนี้พวกเจ้าตระกูลกู้อยู่กันอย่างสงบ พวกเราก็จะรับประกันความปลอดภัย วันหน้าจะติดต่อข้าอย่างไรข้าจะบอกอย่างละเอียดอีกครั้ง
ตอนนี้เจ้าต้องไปทำงานใหญ่ชิ้นหนึ่งกับข้า รอเสร็จเรื่องนี้แล้ว เจ้าก็พาสยงเป้าจากไปได้ ส่วนกู้อิง ข้าจะบอกเจ้าว่าจะไปช่วยได้ที่ใด หากมิทำตามคำสั่งข้า ทั้งครอบครัวของเจ้าล้วนต้องตาย แต่หากทำตามคำสั่งข้า สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือได้ตายช้าลงอีกหลายปี
เจ้าวางใจเถิด ข้าจะมิให้เจ้าไปทำเรื่องยากเกินไปนัก มิหลอกใช้เจ้าไปล่อผู้ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ฟื้นฟูแว่นแคว้นพวกนั้นให้มาติดกับ นายของพวกเรามีคำสั่งว่าหลังจากนี้พวกเราจะมิยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วอีก เหตุที่ทิ้งเชือกเส้นหนึ่งเช่นเจ้าไว้ก็เพื่อป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น รายละเอียดหลังจากนี้เจ้าจงไปถามจากกู้อิง เพียงแต่อย่าให้ผู้อื่นล่วงรู้อีก”