ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 98 ผลศึกปรากฏปิดกระดาน (ปลาย) (3)
หลี่คังโต้อย่างโมโห “ไม่จริง พวกเจ้ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วทำเช่นนี้ หากมิใช่เพื่อฟื้นคืนแว่นแคว้น ก็ต้องเป็นเพราะสมคบกับหลี่จื้อ มิฉะนั้นไยต้องทำเช่นนี้ แต่สิ่งที่หลี่จื้อมอบให้พวกเจ้าได้ ข้าก็มอบให้ได้เช่นเดียวกัน เหตุใดพวกเจ้าต้องทรยศข้า”
เฉินเจิ่นได้ยินเสียงเอะอะลอยเข้ามาในกระโจมดังขึ้นเรื่อยๆ ก็ว่า “ท่านอ๋องไยต้องเค้นถาม หลังจากวันนี้ท่านกับข้าก็มิต้องพบหน้ากันอีกแล้ว ท่านอ๋องเป็นถึงเลือดเนื้อของโอรสสวรรค์ จะอยู่หรือตายผู้น้อยมิอาจตัดสินใจ หากท่านอ๋องยังรักษาชีวิตไว้ได้ ผู้น้อยพูดมากไปไยมิใช่สร้างเรื่องยุ่งยาก”
หลี่คังกล่าวอย่างเศร้าสลด “เจ้าไยต้องระวังเช่นนี้ ช่างเถิด เจ้ามิยอมพูด สุดท้ายข้าก็ต้องได้รู้อยู่ดี หลี่จื้อคงยอมให้ข้าตายอย่างกระจ่าง แต่เจ้าจะทำสิ่งใดกับลูกน้องของข้าบ้าง จะแถลงให้กระจ่างได้หรือไม่”
เฉินเจิ่นยิ้ม “คนว่างงานก็ช่างว่างเสียจริง ในเมื่อท่านอ๋องอยากทราบ ผู้น้อยก็จะยอมเปลืองน้ำลายสักหน่อย องครักษ์นอกกระโจมของท่านอ๋องล้วนถูกข้าใช้สูตรยาลับวางยาในน้ำกับอาหาร เมื่อครู่ตอนข้าลอบเข้ามาข้างกระโจม ยากำลังออกฤทธิ์ หากมิได้ยาแก้ พวกเขาก็มิมีทางตื่นขึ้นมาเป็นอันขาด ดังนั้นพวกเขาจึงมิอาจปกป้องท่านอ๋องได้
ศีรษะคนหัวนั้นใช้วิชาแปลงโฉมมา แม่ทัพอินตัวจริงยังตั้งทัพรออยู่ที่เฉินชัง เมื่อครู่ฮั่วอี้ไปเรียกรวมแม่ทัพในกองทัพมาแล้ว หลังจากนี้ใต้เท้าเซี่ยโหวแห่งกรมวินิจการณ์จะเป็นผู้ลงมือด้วยตนเอง กวาดล้างแม่ทัพคนสนิทของท่านอ๋องให้หมดสิ้น
ส่วนทหารในกองทัพ แต่เดิมก็เป็นคนของต้ายง จำต้องปลอบประโลมให้พวกเขากลับมาสวามิภักดิ์ แล้วก็ใต้เท้าหลิวแห่งกรมวินิจการณ์ลงมือทางด่านซั่นกวนแล้ว ประสานในนอกกับรองแม่ทัพที่ขายด่านผู้นั้น หลังจากด่านซั่นกวนมาอยู่ในมือ กรมวินิจการณ์ก็จะลงมือสายฟ้าแลบกวาดล้างกบฏตงชวนให้หมดไป ใช้เวลาเพียงสิบวันก็สยบตงชวนให้สงบสุขได้”
หลี่คังรู้สึกว่าหัวใจเจ็บปวดแสนสาหัส ในปากหวานวูบ จากนั้นพ่นโลหิตคำหนึ่งออกมา เขาเอ่ยอย่างเคียดแค้น “พวกเจ้ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วดันเป็นสุนัขรับใช้ของหลี่จื้อ ดี ดี คิดมิถึงว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วผู้กล่าวอ้างว่าหมายมาดจะฟื้นแว่นแคว้นกลับเป็นสุนัขของต้ายง ฮั่วจี้เฉิงก็คงเป็นคนสนิทของหลี่จื้อสินะ มิฉะนั้นจะส่งกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วทั้งกลุ่มลงสุสานได้เช่นไร
ข้าเข้าใจแล้ว ในอดีตฮั่วจี้เฉิงคงถูกหลี่จื้อบงการให้จงใจสมคบกับหลี่อันจนรัชทายาทต้องตาย หลี่จื้อช่างมีเล่ห์กลโหดเหี้ยมนัก จิตใจอำมหิตยิ่ง สารเลวฮั่วจี้เฉิง น่าเสียดายคุณงามความชอบเหล่านี้ของเขาล้วนมิอาจประกาศแก่ใต้หล้า ฮั่วจี้เฉิงมิกลัวกระต่ายตายเชือดสุนัข วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อนหรือไร เกรงว่าวันหน้าคนทั้งใต้หล้าคงได้หัวเราะเยาะคนแซ่ฮั่ว กล่าวว่าเขาสายตาตื้นเขิน”
เฉินเจิ่นสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ยิ้มตอบว่า “องค์ชายกังวลเกินไปแล้ว ประการแรกเรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกับฝ่าบาท ประการที่สองฮั่วจี้เฉิงเป็นคนตายมาตั้งนานแล้ว เขาย่อมมิจำเป็นต้องกลัวว่ากระต่ายตายแล้วสุนัขจะถูกเชือด ส่วนผู้ที่จะมีชื่อฉาวโฉ่ตามติดตัว มิมีหน้าพบเจอผู้คนก็ย่อมเป็นฮั่วจี้เฉิง เกี่ยวอันใดกับผู้แซ่เฉินเล่า”
หลี่คังเข้าใจความหมายของเฉินเจิ่นผิด เอ่ยเสียงดุดัน “ที่แท้เจ้าก็เป็นตัวต้นเรื่อง เจ้าสังหารฮั่วจี้เฉิง แล้วลอบเข้าไปเป็นพวกกับต้ายงหรือ”
เฉินเจิ่นคร้านจะพูดมากกับเขาแล้ว จึงเอ่ยเสียงราบเรียบ “อาจเป็นเช่นนั้นกระมัง องค์ชายเอาเวลาไปขบคิดเรื่องตนเองให้มากสักหน่อยดีกว่า มิทราบว่าฝ่าบาทจะจัดการน้องชายที่โยนหินซ้ำยามคนตกบ่อเช่นท่านอย่างไร
อ้อ แต่มีเรื่องหนึ่งท่านอ๋องอาจจะยังมิทราบ เรื่องที่กองทัพต้ายงปราชัยเป็นข่าวลวง ฉีอ๋องโอบล้อมสังหารกำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่นที่จี้ซื่อ หลงถิงเฟยสิ้นใจริมแม่น้ำชิ่นสุ่ย ยามนี้เป่ยฮั่นเป็นอาทิตย์กำลังจะลาลับฟ้า รอเพียงฝ่าบาทยาตราทัพเข้าสู่จิ้นหยางด้วยพระองค์เอง สงครามครั้งนี้ก็จะจบลงด้วยชัยชนะ”
ฟังถึงตรงนี้ หลี่คังพลันหน้ามืด โกรธจนเป็นลมไปแล้ว เขาหลอกตนเองมาตลอดว่าเหตุที่เขาต้องระเห็จมาปกครองตงชวนอย่างไม่เป็นธรรมเป็นเพราะเสด็จพ่อทรงลำเอียง หากตนมีโอกาสได้เป็นรัชทายาท เขาย่อมเหนือกว่าหลี่อันและหลี่จื้อ คิดมิถึงว่ากลับมาถูกพวกคนต้อยต่ำเหล่านี้หลอกเล่นอยู่บนฝ่ามือ ชั่วขณะที่ความโกรธเข้าจู่โจมหัวใจเขาก็หมดสติ
เฉินเจิ่นยิ้มหยัน เวลานี้เองก็มีคนเดินเข้ามาในกระโจม กล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่เฉินร้ายกาจจริง วาจาคมกริบดั่งคมดาบแต่หัวใจหนักแน่น หากพี่เฉินต้องการ กรมวินิจการณ์ยังมีตำแหน่งว่างอยู่ ข้าจะหาตำแหน่งไว้คอย”
ผู้ที่เดินเข้ามากลับเป็นเซี่ยโหวหยวนเฟิง เขาสวมอาภรณ์ตัวหลวมกับสายคาดเอว เสื้อผ้าสีเรียบมีคราบเลือดสีแดงสดติดอยู่หลายแห่ง ทำให้ดวงหน้าสง่างามของเขามีไอสังหารแฝงอยู่เลือนราง
เฉินเจิ่นเหลือบมองเขาหนหนึ่งแล้วว่า “ใต้เท้าเซี่ยโหวคงจะควบคุมสถานการณ์ในกองทัพได้แล้ว หากมิมีเรื่องใดแล้ว ข้าก็ขอตัว”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงก้าวเข้ามาคำนับ กล่าวว่า “พี่เฉิน แม้ลาภยศสรรเสริญจะเป็นดั่งเมฆาล่องลอย ทว่าเกิดเป็นชาติบุรุษย่อมมิอาจไร้อำนาจ ท่านวางอำนาจหนึ่งคนร้องร้อยคนขานรับลงจริงหรือ ยามนี้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วกลายเป็นหมอกควันในอดีตแล้ว นับจากวันนี้พี่เฉินก็เป็นเพียงผู้ติดตามคนหนึ่งข้างกายเจียงโหว ชีวิตเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว มีรสชาติที่ใด มิสู้ทำงานให้ฝ่าบาท คว้าบรรดาศักดิ์สักตำแหน่งให้เมียกับลูกสุขสบาย มิให้เสียเปล่าที่เกิดมาชาติหนึ่ง”
เฉินเจิ่นมีสีหน้าเฉยเมย เงียบงันมิตอบคำ นับตั้งแต่เจียงเจ๋อส่งมอบค่ายลับให้เขาจัดการ เขาก็ภักดีต่อคนผู้นั้นผู้เดียว หากเขาวาดหวังลาภยศสรรเสริญ ฐานะอันโดดเด่นของคนผู้นั้นย่อมมอบหนทางอันรุ่งโรจน์ให้ตนได้อย่างง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ แต่เฉินเจิ่นเบื่อหน่ายชีวิตการเป็นสายลับที่เต็มไปด้วยการลวงหลอกตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ยามอยู่ใต้บัญชาเจียงเจ๋อ ขอเพียงทำงานที่เจียงเจ๋อมอบหมายมาให้สำเร็จ ระหว่างนั้นจะทำเช่นไรก็ตามใจ เขาถามตนเองดูแล้วก็พบว่ามิมีนายคนใดดียิ่งกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงมิสนใจคำพูดของเซี่ยโหวหยวนเฟิงสักนิด
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเห็นเขามีท่าทางเช่นนี้จึงยิ้มอย่างจนปัญญา แล้วกล่าวขึ้นว่า “เรื่องต่อจากนี้ข้าจะเป็นคนรับช่วงต่อเอง พี่เฉินเชิญตามสบาย หากยังมีเรื่องใดต้องการสั่ง ตอนนี้ก็พูดออกมาตามตรงเลยเถิด”
เฉินเจิ่นมองเซี่ยโหวหยวนเฟิงปราดหนึ่ง ในใจเขาทราบดีว่าคนผู้นี้เหลี่ยมจัด หากตนเผยจุดอ่อนประการใดให้จับฉวย เกรงว่าวันหน้าคงยากจะสลัดหลุด ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะมิพูดมากความ เพียงตอบอย่างเฉยชาว่า “ใต้เท้าลงมือได้เต็มที่ คุณชายสั่งข้าให้เดินทางออกจากตงชวนเช้าตรู่วันพรุ่ง”
กล่าวจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป มิมองเซี่ยโหวหยวนเฟิงอีกแม้แต่หนเดียว เรื่องที่เซี่ยโหวหยวนเฟิงข่มขู่เจียงเจ๋อ เขายังขุ่นเคืองมิหาย
เช้าตรู่วันต่อมา เฉินเจิ่น ต่งเชวีย ไป๋อี้ (ฮั่วอี้) ซานจื่อ (ฮั่วซาน) สี่คนก็จับบังเหียนอาชายืนอยู่นอกเมืองเฉินชัง มองกองทัพต้ายงเข้ามาสะสางกองทัพตงชวนของชิ่งอ๋อง ฮั่วอี้สีหน้ากลัดกลุ้มอยู่เล็กน้อย ซานจื่อเห็นเข้าก็ยิ้มถามว่า “ไป๋อี้ เป็นอันใดไปเล่า ตัดใจจากกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมิลงหรือไร”
ไป๋อี้ตอบว่า “ตัดใจมิลงเสียที่ไหนกันเล่า ข้าเพียงกังวลใจเรื่องหนึ่ง หัวหลิวส่งข่าวมาบอกว่าเขาดันปล่อยให้เยี่ยเทียนซิ่วพาซ่งฮูหยินหนีไป สุดท้ายนี่จะกลายเป็นเภทภัยภายหน้ามิจบสิ้น”
ซานจื่อกล่าวว่า “ก็แค่สตรีบอบบางคนหนึ่งกับมือกระบี่คนหนึ่งเท่านั้น ผืนดินใต้แผ่นฟ้า มิมีที่ใดมิใช่ของจักรพรรดิ พวกเขาจะหนีไปที่ใดได้ อย่างมากที่สุดเจ้าก็ให้หัวหลิวส่งคนออกไปมากหน่อย ประกาศจับกุมพวกเขาก็ได้แล้วมิใช่หรือ ฝั่งกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วฝั่งนั้นต่างหาก ข้ากังวลว่าจะมีพวกที่หลุดรอดไป”
ต่งเชวียเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กลัวอันใดกัน อาศัยรายนามกับแผนที่กลไกกองบัญชาการลับของเจ้าก็เพียงพอให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงรวบบุคคลสำคัญของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วแล้ว ต่อให้มีคนโชคดีหนีไปได้สักสองสามคน พวกเขายังจะตามหาร่องรอยของพวกเราพบอีกหรือ ว่าแต่ เรื่องทางฝั่งเจี้ยนเฟยเป็นเช่นไร”
เฉินเจิ่นตอบว่า “เรื่องทางฝั่งเจี้ยนเฟยเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งนัก ซั่งกวนเยี่ยนกับสยงเป้าช่วยกู้อิงออกมาได้แล้ว ครอบครัวตระกูลกู้หลบเร้นไปอยู่บนภูเขา เจี้ยนเฟยคอยจับตาการเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ รอเมื่อพวกเขาลงหลักปักฐานแล้ว เจี้ยนเฟยก็จะผละตัวออกมา ถึงอย่างไรเซี่ยโหวหยวนเฟิงก็มิใช่พวกกินหญ้า หากเขาตามหาตระกูลกู้พบผ่านทางเจี้ยนเฟย แผนการของพวกเราก็เสียเปล่า”
ทุกคนสบตากันแล้วคลี่ยิ้ม รู้สึกว่าพออกพอใจเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นจึงควบอาชาวิ่งจากไปพร้อมกันโดยมิได้นัด ทิศทางที่พวกเขามุ่งไปก็คือนครฉางอัน พวกเขาจะรอการกลับมาของเจียงเจ๋ออยู่ที่นั่น
รัชศกหลงเซิ่งปีที่หนึ่ง ปลายเดือนสี่ กองทัพกบฏของชิ่งอ๋องจู่ๆ ก็มลายหายไปดั่งหมอกควันเบื้องหน้ากำแพงเมืองเฉินชัง ยามนั้นเพิ่งห่างจากวันที่ชิ่งอ๋องสาบานจะฟื้นคืนแคว้นสู่เพียงสิบวันสั้นๆ เท่านั้น ชิ่งอ๋องถูกจับตัว แม่ทัพกบฏถูกประหารสิ้น
ภายในเมืองหนานเจิ้ง ขุนนางของอดีตแคว้นสู่ต่างถูกประหารริบทรัพย์ โลหิตนองเป็นสายน้ำ กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วขุมกำลังผู้หมายจะฟื้นแคว้นสู่ก็เผชิญหายนะเช่นเดียวกัน
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นานาประการเหล่านี้ทำให้นามของกรมวินิจการณ์แห่งต้ายงผู้จัดการเรื่องดังกล่าวขจรขจายไปทั่วหล้า เซี่ยโหวหยวนเฟิงผู้ใช้มือเดียวสยบกบฏกลายเป็นเป้าโจมตีของทุกฝ่าย ละครตลกของการก่อกบฏเพื่อฟื้นคืนแว่นแคว้นหนนี้ก็ปิดม่านลงอยางรวดเร็วเช่นนี้
ทว่าสิ่งที่ทำให้ชาวแคว้นสู่ผู้หวาดผวามิหายรู้สึกโล่งใจอยู่บ้างก็คือ เมิ่งซวี่เจ้าแคว้นสู่ที่เพิ่งรับตำแหน่งคนใหม่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ท่ามกลางเรื่องสับสนวุ่นวายสารพัดนี้ ย่อมมิมีผู้ใดสนใจว่าซ่งฮูหยินอนุภรรยาคนหนึ่งของชิ่งอ๋องหนีหายเข้ากลีบเมฆ ทว่าเยี่ยเทียนซิ่วองครักษ์คนสนิทของชิ่งอ๋องที่หายไปพร้อมกันกับนางมีค่ารางวัลตามจับถึงหนึ่งร้อยตำลึงทอง
แน่นอนว่ามิมีผู้ใดสังเกตว่าในเวลาเดียวกันนั้น ภายในวังหลังของต้ายงเกิดการกวาดล้างขึ้นอย่างลับๆ มิต้องพูดถึงเรื่องเล็กน้อยเช่นขันทีและนางกำนัลที่ถูกลงโทษประหาร แม้แต่เรื่องที่หวงชงย่วนแห่งตำหนักเจาไถถูกส่งไปอยู่ตำหนักเย็นเพราะตระกูลบิดาเกี่ยวพันกับการก่อกบฏก็เป็นเพียงสายลมหอบหนึ่งพัดผ่าน พริบตาเดียวก็มิมีผู้ใดสนใจอีกต่อไป