ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 99 ภักดีกลับคลางแคลง (ต้น) (1)
รัชศกหรงเซิ่งปีที่ยี่สิบสี่ กองทัพเป่ยฮั่นปราชัยที่ชิ่นโจว องค์หญิงจยาผิงถอยไปป้องกันจิ้นหยาง กองทัพต้ายงข่มขู่จะฆ่าล้างเมือง ประชาชนต่างหนีภัยสงครามขึ้นเหนือ ฝุ่งฟุ้งตลบบดบังถนน เส้นทางยากลำบาก ผู้เฒ่าผู้แก่เด็กน้อยร้องไห้ดังระงม ต้วนอู๋ตี๋อาสาเป็นทัพหลัง กองทัพต้ายงไล่ต้อนมารวดเร็วนัก ทว่าถูกต้วนอู๋ตี๋ขัดขวางเอาไว้ สุดท้ายก็ถูกกองทัพต้ายงล้อมไว้เนื่องจากสิ้นเรี่ยวแรง ต้วนอู๋ตี๋ใช้เซวียนซงแม่ทัพต้ายงผู้ตกเป็นเชลยมาเป็นตัวประกัน ข่มขู่แม่ทัพใหญ่แห่งต้ายงให้เปิดวงล้อมเอาชีวิตรอดกลับมาได้
ทว่าต้วนอู๋ตี๋ยังมิทันเดินทางถึงจิ้นหยาง กลับมีเสียงเล่าลือจากหลายเส้นทาง กล่าวว่าเขาสวามิภักดิ์เข้ากับกองทัพศัตรูแล้ว เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นมิสืบหาความจริง ออกราชโองการพระราชทานความตายทันที ยามนั้นมีข่าวลือมากมายนับไม่ถ้วน ต้วนอู๋ตี๋มิอาจปฏิเสธ มีเพียงองค์หญิงจยาผิงทราบว่าเขาถูกใส่ความ จึงสั่งให้เขาหลบหนีไปเพื่อเลี่ยงภัย
…พงศาวดารเป่ยฮั่น บันทึกต้วนอู๋ตี๋
ตะวันออกสามสิบลี้จากเมืองผิงเหยามีหมู่บ้านร้างวังเวงแห่งหนึ่งมิเห็นร่องรอยคนอาศัย ทหารสอดแนมของกองทัพต้ายงกองหนึ่งมุ่งมาบนถนนเส้นใหญ่จากทิศเหนือประหนึ่งพายุ ขณะอยู่ห่างจากหมู่บ้านอีกสองสามลี้ ก็มีทหารต้ายงสิบกว่านายห้ออาชาออกจากขบวนแถวเข้าไปตระเวนในหมู่บ้านรอบหนึ่ง จากนั้นจึงกลับเข้ามาในขบวน รายงานกับทหารผู้เป็นหัวหน้าว่า “ในหมู่บ้านมิมีร่องรอยคนอยู่ บ้านยังอยู่ในสภาพดี ใช้เป็นจุดตั้งค่ายได้”
ทหารผู้นั้นพยักหน้าตอบว่า “อย่าได้ประมาท หลายวันนี้พวกคนถ่อยเป่ยฮั่นลอบซุ่มโจมตีก่อกวนอยู่หลายหน กองทัพเราค่อนข้างเหนื่อยล้า พวกเจ้าตามข้าไปสำรวจในหมู่บ้านอีกรอบหนึ่ง จะปล่อยให้มีภัยใดซ่อนเร้นอยู่มิได้เป็นอันขาด แม้กองทัพหลวงย่อมวางการป้องกันอยู่แล้ว แต่หากพวกเขาพบว่ามีความผิดพลาดประการใดขึ้นมา น่ากลัวว่าพวกเราคงแบกรับโทษมิไหว”
ทหารต้ายงเหล่านั้นขานรับเสียงดังกระหึ่ม นอกจากนายทหารสิบกว่าคนที่ยังคงกุมดาบเฝ้าระวังอยู่นอกหมู่บ้าน คนที่เหลือล้วนเข้ามาตรวจสอบในหมู่บ้าน มิปล่อยให้จุดน่าสงสัยจุดใดผ่านไปแม้แต่เล็กน้อย นายทหารที่เป็นหัวหน้ามาตรวจสอบบ้านที่ค่อนข้างเรียบร้อยสองสามหลังก่อนเป็นอย่างแรก เขาสอดส่องด้านในและด้านนอกจนครบรอบหนึ่ง จากนั้นคอยบัญชาการด้วยตนเอง รอกองทัพหลวงเดินทางมาถึง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ธงมังกรสีทองสยายต้องลมใต้แสงอาทิพย์อัสดง กองทัพหลวงของต้ายงมาถึงหมู่บ้านร้าง หลังจากนั้นกองทัพใหญ่ก็เริ่มตั้งค่ายนอกหมู่บ้าน ส่วนฉีอ๋องหลี่เสี่ยนแม่ทัพใหญ่ของกองทัพต้ายงเข้ามาพักในหมู่บ้าน
องครักษ์มาเก็บกวาดทำความสะอาดห้องหับให้ก่อนแล้ว แม้เป็นเพียงที่พักชั่วคราว แต่ตั่งเตียงก็ถูกเปลี่ยนมาปูด้วยฟูกกับผ้าห่มปักลายไหมที่หลี่เสี่ยนใช้ยามเดินทัพ เครื่องใช้และภาชนะทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่นำติดมากับกองทัพ แม้แต่หน้าต่างก็ติดม่านไหม บ้านชาวนาที่เดิมทีหยาบกระด้างและเรียบง่ายแปรเปลี่ยนเป็นพระราชฐานที่ประทับอันสะดวกสบายและหรูหราภายในเวลาเพียงครู่เดียว
หลี่เสี่ยนเรียกแม่ทัพทั้งหลายให้มารับประทานอาหารด้วยกัน จากนั้นจึงล้อมวงจุดโคมหารือเรื่องการศึก ผู้ที่หลบเร้นนั่งเงียบอยู่ตรงมุมห้องก็คือเงามารหลี่ซุ่น สีหน้าเขาถมึงทึงคล้ายมิพอใจอย่างยิ่ง เพราะว่าเขาจำเป็นต้องอยู่ในค่ายของฉีอ๋อง จึงถูกหลี่เสี่ยนลากมาเป็นองครักษ์ หากมิใช่เช่นนี้ เขาก็คงไปหาสถานที่เงียบสงบสักแห่งฝึกวรยุทธ์ทำสมาธินานแล้ว
หลี่เสี่ยนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ต้วนอู๋ตี๋คนนี้หัวรั้นจริงๆ ข้าโหมโจมตี เขาก็เลือกเผชิญอันตรายตั้งรับ พอข้าผ่อนปรนลงหน่อย เขาก็มาลอบโจมตีค่าย ไม่ก็มาปล้นเสบียงของข้า หลายวันมานี้ข้าถูกเขาก่อกวนจนกลัดกลุ้ม วันพรุ่งกองทัพเราก็จะบุกตีผิงเหยาแล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองอันแข็งแกร่งที่นับนิ้วได้ของเป่ยฮั่น มีต้วนอู๋ตี๋คุมการป้องกันเมือง น่ากลัวว่าคงจะทำให้ข้าต้องเสียเวลาอีกหลายวัน พวกท่านมีแผนการทำให้เขารีบทิ้งเมืองเร็วขึ้นหน่อยหรือไม่
เหอะ รอข้าบุกไปถึงกำแพงเมืองจิ้นหยางให้ได้ก่อนเถิด ข้าจะดูสิว่าเขาจะยังเล่นลูกไม้อันใดได้อีก ตอนนี้แม่ทัพจ่างซุนออกกวาดล้างกองกำลังต่อต้านที่กระจัดกระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ในเป่ยฮั่น คืบหน้าไปได้รวดเร็วนัก หากข้าต้องรอเขามาช่วยจึงจะบุกไปถึงจิ้นหยาง เช่นนั้นคงขายหน้ายิ่งนักจริงๆ แล้ว”
เซี่ยหนิงแม่ทัพคนโปรดของฉีอ๋องกล่าวอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ “องค์ชาย แม้ต้วนอู๋ตี๋จะจัดการยาก แต่ขอเพียงเขายอมสู้กับพวกเราซึ่งหน้า ยังจักต้องกลัวเขาอีกหรือ องค์ชาย โปรดให้ผู้น้อยบุกตีเมือง มิพ้นสามวันจักต้องตีเมืองแตกแน่”
ฝานเหวินเฉิงแค่นเสียงหยัน “หากจะสู้ด้วยกำลังยังต้องใช้งานเจ้าหรือ พวกเรามีผู้ใดบ้างบัญชาการกองทัพมิได้ องค์ชายต้องการลดความเสียหายลงต่างหาก อย่างไรเสียหนนี้กองทัพเจ๋อโจวของพวกเราก็เสียหายไปมิน้อยแล้ว”
แม่ทัพทั้งหลายพากันวางแผนออกอุบาย ทว่าหลี่เสี่ยนยิ่งฟังคิ้วยิ่งขมวดเป็นปม ต้วนอู๋ตี๋มีกำแพงอันแข็งแกร่งของผิงเหยาเป็นกำลังหนุน ในมือมีทหารอีกเกือบหมื่น หากต้องการบุกตีด้วยกำลังคงจะเสียหายหนักหนาเป็นแน่ แม้เขารู้ว่าจุดอ่อนของต้วนอู๋ตี๋คือรักประชาชน หากจับประชาชนมาข่มขู่ยามบุกตีเมือง หรือใช้วิธีการอื่นมาบีบบังคับให้ต้วนอู๋ตี๋จำใจต้องทิ้งเมืองผิงเหยาก็อาจทำได้ เพราะถึงอย่างไรเป้าหมายของต้วนอู๋ตี๋ก็เป็นเพียงการถ่วงเวลาเดินทัพของกองทัพต้ายง
แต่ยังมิต้องพูดถึงว่ายามนี้ประชาชนเป่ยฮั่นตามเส้นทางเดินทัพหลบหนีไปจนแทบมิเหลือแม้แต่เงา ต่อให้จับชาวบ้านมาได้มากพอ เขาก็มิยินดีสุมความเคียดแค้นเพิ่มในหมู่ประชาชนเป่ยฮั่นทั้งที่เป่ยฮั่นกำลังจะล่มสลายอยู่รอมร่อเช่นนี้
แม้การอ้างชื่อเสียงความกระหายเลือดของจิงฉือจะบีบให้ชาวบ้านตามรายทางอพยพหนีตายกันขนานใหญ่ แต่หลี่เสี่ยนก็มิได้อยากฆ่าล้างเมืองเผาค่ายจริงๆ ตัวเขาหลี่เสี่ยนมิได้มีสันดานโหดเหี้ยม หากมิจำเป็นก็มิคิดจะลากชาวบ้านบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวด้วย
หลี่ซุ่นที่ยืนอยู่ในเงามืดของห้องอดเบ้ปากอย่างดูแคลนมิได้ หากมิใช่ว่าคุณชายเคยสั่งไว้ว่าหากเซวียนซงยังอยู่ต้องเห็นตัว หากตายต้องเห็นศพ ตอนนี้เขาก็คงไปรับใช้คุณชายที่ชิ่นหยวนแล้ว ไยต้องมาแกร่วอยู่ที่นี่มิไปเสียที แล้วยังถูกฉีอ๋องใช้แรงงานอีก ผู้ใดให้เซวียนซงยังตกอยู่ในมือต้วนอู๋ตี๋ ส่วนตนเองก็หาโอกาสช่วยคนออกมามิได้เล่า จึงได้แต่รั้งรออยู่ข้างกายหลี่เสี่ยนรอจังหวะช่วยคนเท่านั้น
เมื่อเห็นแม่ทัพทั้งหลายถกเถียงกันอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนขึ้นเรื่อยๆ สารพัดวิธีมิถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอันใดก็เริ่มขบคิดกันออกมา หลี่ซุ่นจึงพลิ้วกายออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ คิดจะสูดอากาศหนาวเย็นสักเฮือกหนึ่ง อากาศด้านนอกบริสุทธิ์ยิ่งนัก หลี่ซุ่นรู้สึกว่าหัวใจปลอดโปร่งขึ้นมากจนห้ามตนเองมิอยู่ เหยียบย่างเดินเล่นใต้แสงดาราจางๆ กับแสงโคมไฟอันสว่างไสว ปล่อยให้จิตใจล่องลอยอยู่ระหว่างฟ้าดิน หลี่ซุ่นดื่มด่ำกับรัตติกาลอันไร้ขอบเขตอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นหลี่ซุ่นพลันรู้สึกใจสั่น เขามองออกไปไกลเหมือนสัมผัสบางสิ่งได้ อีกฟากหนึ่งของกองทัพพันทหารหมื่นอาชาและกำแพงเมืองดุจปราการเหล็ก จิตสังหารเลือนรางแผ่ออกมาจากเบื้องลึกในเงามืด นั่นเป็นกลิ่นอายอันคุ้นเคยสายหนึ่ง
นับตั้งแต่ต่อสู้กับเจ้าสำนักเฟิงอี้ หลี่ซุ่นก็ได้ประโยชน์มากมาย หลังจากตรากตรำฝึกฝนระหว่างอยู่ตงไห่ ขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของเขาก็ก้าวหน้าไปอีกขั้น บนโลกนี้นอกจากคนเพียงหยิบมือก็มิมีผู้ใดเป็นคู่ต่อกรของเขาอีก ยามนี้เขาบรรลุวิชา ‘ผนึกวิญญาณ’ แล้ว หากคนที่มีวรยุทธ์ถึงระดับหนึ่งเข้ามาใกล้เขาภายในระยะประมาณหนึ่ง เขาจะเกิดลางสังหรณ์ในใจ
ระยะห่างนี้มิแน่นอนเพราะมันสัมพันธ์กับระดับความสูงต่ำของวรยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายอย่างแนบแน่น หากอีกฝ่ายเป็นคนธรรมดา เขามิได้ตั้งใจสังเกตก็ยากจะเกิดลางสังหรณ์ในใจ หากอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือที่ยังมิเข้าสู่ขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ต่อให้อยู่ในระยะสิบกว่าลี้ ขอเพียงอารมณ์ของคนผู้นั้นสั่นไหวอย่างรุนแรงประมาณหนึ่ง เขาก็จะสัมผัสได้ทั้งสิ้น หากอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือระดับเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่มีน้อยนิดยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้นระยะทางที่ผันแปรตามก็ยิ่งมาก หากอีกฝ่ายฝีมือเหนือกว่าเขา อาจจะชำนาญวิชาเก็บงำลมปราณ จึงยากจะสัมผัสถึงการมีตัวตนอยู่ของอีกฝ่าย
ตัวอย่างเช่นวันนั้นที่ต้วนหลิงเซียวลอบสังหารเจียงเจ๋อ แม้จะมีการวางแผนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ก่อนที่ต้วนหลิงเซียวจะลงมือ หลี่ซุ่นแน่ใจว่าเขาสัมผัสถึงการมีอยู่ของต้วนหลิงเซียวมิได้อย่างแน่นอน หากอีกฝ่ายเป็นเหมือนคนที่อยู่ในเงามืด เพิ่งจะบรรลุขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมินาน ฝีมือยังมิแก่กล้าและยังมิบรรลุขอบขั้นผนึกวิญญาณ สำหรับหลี่ซุ่นแล้ว ยอดฝีมือขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเช่นคนผู้นี้เหลือร่องรอยไว้บนห้วงจิตสัมผัสของเขาได้ง่ายดายยิ่งกว่ายอดฝีมือธรรมดาที่ยังมีความคิดเป็นอริอยู่เสียอีก
แน่นอนว่าหากบรรลุถึงระดับที่มีคนเพียงหยิบมือบรรลุอย่างเจ้าสำนักเฟิงอี้กับปรมาจารย์ฉือเจิน มิว่าทำเช่นไรก็มิอาจปิดบังตัวตนของกันและกันจากอีกฝ่ายได้ ดังนั้นในอดีตยามอยู่ในนครหลวงแห่งต้ายง แม้ทั้งสองคนมิเคยพบหน้า แต่ก็ทราบอารมณ์ที่เปลี่ยนไปและการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ดั่งตาเห็น หากอยู่ต่อหน้าสองคนนั้น หลี่ซุ่นทราบดีว่าเขามิมีโอกาสปิดบังอารมณ์ความรู้สึกของตนเองอย่างเด็ดขาด โชคดีที่บุคคลระดับปรมาจารย์เช่นนั้นมิลงมือง่ายๆ
หลี่ซุ่นครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พอจะเดาบางสิ่งจากลมปราณที่คุ้นเคยแต่ก็แฝงความมิคุ้นสายนั้นได้ ยิ่งเมื่อคนผู้นั้นมีไอสังหารแต่กลับมิมีจิตสังหาร ตัวตนก็ยิ่งชัดเจน เขายิ้มเย็นยะเยือก พลิ้วกายหายไปในเงามืด เพียงชั่วพริบตาเขาก็ทะลุผ่านค่าย มาถึงเนินเขาร้างอันห่างไกลแห่งหนึ่งนอกค่ายใหญ่ ใต้ดวงจันทร์เสี้ยวกับดวงดาราอันโหรงเหรง ชายหนุ่มอาภรณ์ดำคนหนึ่งยืนอยู่บนเนินเขา ภายใต้สีหน้าเฉยชาแฝงความอ้างว้าง ข้างกายเขามีเด็กหนุ่มอาภรณ์ดำยืนอยู่คนหนึ่ง บนแผ่นหลังสะพายถุงพิณ สีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อย
หลี่ซุ่นเห็นสองคนนี้ ริมฝีปากก็เผยรอยยิ้มจางๆ กล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด “ที่แท้คุณชายชิวก็กลับมาแล้ว ทัศนียภาพที่ตงไห่เป็นเช่นไรบ้างเล่า”
ชิวอวี้เฟยตอบด้วยท่าทางเฉยเมย “ท่านคิดว่าข้ามาลอบสังหารหรือ”
หลี่ซุ่นส่ายศีรษะ “ท่านเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง น่าจะทราบว่าเป็นไปมิได้ แต่เหตุไฉนคุณชายจึงปล่อยท่านอกมาเร็วเช่นนี้เล่า หากมิใช่คุณชายสั่ง ท่านอย่าฝันว่าจะได้ออกมาจากจวนจิ้งไห่”