ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 103 หัวใจภักดีแน่วแน่ดุจเหล็กกล้า (3)
โอวหยวนหนิงคิดเอาชีวิตเข้าแลกอย่างเด็ดเดี่ยว เขาคำรามราวกับคลุ้มคลั่ง ลมปราณรอบร่างโหมซัด เกล็ดหิมะประหลาดเหล่านั้นปลิวกระจายในพริบตา เขารับรู้ได้ทันทีว่าแรงกดดันบนร่างเบาลง เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ซัดหนึ่งฝ่ามือโจมตีบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้น สายลมจากฝ่ามือถาโถมเกล็ดหิมะกระเจิง
คนผู้นั้นหัวเราะยาว ก่อนจะทิ้งพิณแล้วลุกขึ้นยืน ทะยานร่างเข้ามาประจันหน้า โอวหยวนหนิงได้ยินเสียงแว่วๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นในหู “ดูท่าข้าจะยังฝึกใช้เสียงพิณทำร้ายศัตรูมิสำเร็จ มาดูกันหน่อยว่าผู้เฒ่าเช่นเจ้าจะรับมือข้าได้กี่กระบวนท่า!”
เสียงยังมิทันเอ่ยจบ โอวหยวนหนิงพลันร้สึกว่าฝ่ามือของคนผู้นั้นมาถึงตรงหน้า แขนเสื้อยาวสะบัดพลิ้ว มือขวาขาวผ่องข้างหนึ่งซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เหมือนจะจู่โจมแต่ก็ไม่จู่โจม ความสามารถระดับที่จู่โจมทีหลังแต่มาถึงตัวคู่ต่อสู้ก่อนเช่นนี้ทำให้โอวหยวนหนิงตกตะลึง
เสียงโครมดังสนั่นขึ้นหนึ่งหน สองฝ่ามือปะทะกันโดยมีแขนเสื้อของคนผู้นั้นกั้นขวางอยู่ แขนเสื้อของคนผู้นั้นฉีกระจุยประหนึ่งผีเสื้อตัวแล้วตัวเล่า โอวหยางหนิงรู้สึกว่าพลังภายในของคนผู้นั้นเลือนรางเบาหวิว จนหนึ่งฝ่ามือนี้ของเขาราวกับโจมตีลงบนความว่างเปล่า
คนผู้นั้นกลับร้อง เอ๋ อย่างประหลาดใจแล้วถอยไป “เป็นฝ่ามือต่อเนื่องที่ดี เหมือนอ่อนนุ่มแต่ความจริงแข็งกร้าว หนึ่งฝ่ามือมีพละกำลังเก้าสาย มิเสียชื่อฉายาซ่อนเข็มในแพรพรรณ”
จิตใจของโอวหยวนหนิงเริ่มสงบลงแล้ว แม้วรยุทธ์ของคนผู้นี้จะน่าเหลือเชื่อ แต่มิแน่ว่าจะแข็งแกร่งกว่าตนเองสักเท่าไร วรยุทธ์ของเขาเพียงแปลกประหลาด วิชาท่าร่างยากจะมองทะลุเท่านั้น ตนจึงพลาดไปชั่วขณะจนตกเป็นรอง เวลานี้ในใจพอประเมินได้แล้ว ความมั่นใจจึงเพิ่มพูนขึ้นมาก โจมตีใส่คนผู้นั้นอีกหน หูได้ยินเสียงซ่งอวี๋เลือนราง คิดว่าเขาคงกำลังขวางลู่ช่านอยู่ หากตนพลาด ปล่อยให้คนผู้นี้ช่วยลู่ช่านจากไป ไฉนภัยร้ายจะมิกล้ำกรายมาถึงศีรษะ พอคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ไร้ความลังเล ทุ่มกำลังจู่โจมบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้น
การประมือหนนี้แตกต่างจากเมื่อครู่ ตอนนี้ทั้งสองกลับดูเหมือนจะสูสีเสมอกัน ความจริงแล้วแม้บุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นจะมีขอบขั้นฝีมือเหนือกว่าโอวหยวนหนิง แต่โอวหยวนหนิงมีพลังภายในลึกล้ำ แม้แก่ชราแต่ฝีมือยิ่งแข็งแกร่ง เมื่อฝั่งนี้ลดฝั่งนั้นเพิ่ม บุรุษอาภรณ์ขาวต้องการคว้าชัยชนะจึงมิใช่เรื่องง่าย สายลมจากฝ่ามือกับเงาฝ่ามือโถมซัด เกล็ดหิมะร่อนระบำตาม เงาร่างของทั้งสองคนโรมรันอยู่ด้วยกัน อาภรณ์สีม่วงของโอวหยวนหนิงยังพอเห็นเงาวูบวาบอยู่บ้าง แต่เงาร่างของบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นกลืนเป็นหนึ่งกับเกล็ดหิมะจนแยกมิออก
ท่ามกลางเงาหิมะอันเวิ้งว้าง หูของบุรุษอาภรณ์ขาวได้ยินเสียงผิวปากดังเป็นทอดๆ เขาตกตะลึง รู้ได้จากสัญญาณว่าผู้กล้าในยุทธภพที่บุกเข้ามาพร้อมกับตนล้มตายไปมากกว่าครึ่งแล้ว ตนมิอาจสู้ติดพันกับผู้เฒ่าคนนี้อีกต่อไป
เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ร่างกายที่แต่เดิมโถมเข้ามาใส่โอวหยวนหนิงจู่ๆ ก็หยุดกึก ก่อนจะซัดฝ่ามือออกมากลางอากาศ เกล็ดหิมะปลิวโถมเข้ามาหาใบหน้า โอวหยวนหนิงอึ้งไปชั่ววูบ แต่แล้วเขาก็เห็นประกายแสงสีทองวับแวมอยู่ท่ามกลางหิมะจึงพลิ้วกายหลบสุดกำลัง ทว่าหลบมิทันแล้ว ใต้ซี่โครงเจ็บแปลบ เขาเอื้อมมือไปแตะ สัมผัสได้ว่าโลหิตกำลังทะลักออกมา
ทันใดนั้นบุรุษอาภรณ์สีขาวผู้นั้นก็ซัดเงาสีดำเส้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เงาดำคล้ายมังกรกระหวัดเลื้อย พริบตาเดียวก็รัดรอบลำคอของโอวหยวนหนิง โอวหยวนหนิงตวาดลั่น ใจนึกแค้นบุรุษอาภารณ์ขาวผู้นี้ที่ลอบเล่นงานอย่างไร้ยางอาย เขาโถมตัวออกไปซัดหนึ่งฝ่ามืออย่างมิสนว่าตัวเองจะเป็นหรือตาย หนนี้เขาทุ่มสุดกำลัง บุรุษอาภรณ์ขาวมิแน่ว่าจะหลบพ้นอย่างปลอดภัย
หนึ่งฝ่ามือนั้นซัดลงบนหัวไหล่ของบุรุษอาภรณ์ขาว บุรุษอาภรณ์ขาวหยิบยืมแรงส่งเคลื่อนถอยหลังอย่างรวดเร็วปานประหนึ่งดาวตก โอวหยวนหนิงถูกแส้ยาวกระชากจนลมหายใจติดขัด ทั้งยังถูกลากไปด้านหน้า คนผู้นั้นถอยหลังไปไม่กี่จั้งก็มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งขวางทาง โอวหยวนหนิงดีใจยิ่งนัก มิสนใจว่าแส้บนลำคอจะรัดแน่นยิ่งกว่าเดิม ตัดสินใจทุ่มกำลังทั้งหมดซัดหนึ่งฝ่ามือจู่โจมบุรุษอาภรณ์ขาว
ไหนเลยจะรู้ว่าบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นกลับหยุดร่างกายฉับพลัน เขาเหินตรงดิ่งไปตามแนวลำต้นของต้นไม้ จากนั้นทะยานข้ามกิ่งไม้ที่พาดขวางแล้วทิ้งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวจากเคลื่อนไหวกลายเป็นหยุดนิ่ง ร่างกายใหญ่โตของโอวหยวนหนิงถูกแขวนห้อยอยู่กลางอากาศ แขนขาสี่ข้างห้อยตกอย่างไร้เรี่ยวแรง กระดูกคอหัก ถูกรัดคอตายอยู่กับต้นไม้ในสวนทั้งอย่างนั้น
บุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นไอเบาๆ หนหนึ่งแล้วเปิดผ้าปิดหน้า เขากระอักโลหิตคำหนึ่งลงบนพื้นหิมะ สีแดงสดประหนึ่งกลีบดอกเหมย เขาถอนหายใจเอ่ยขึ้นว่า “คนผู้นี้เป็นคู่ต่อสู้ฝีมือดีจริงๆ แต่น่าเสียดายข้าไม่มีเวลาประลองฝีมือกับเจ้าให้ดีๆ ตายเช่นนี้คิดว่าเจ้าก็คงมิยินยอมกระมัง”
เขากล่าวจบก็เก็บแส้ยาว ศพของโอวหยวนหนิงร่วงตกลงบนผืนดิน หิมะปลิวฟุ้งขึ้นเต็มฟ้า บุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นเดินกลับไปยังตำแหน่งเดิมแล้วอุ้มพิณโบราณที่เกือบจะถูกหิมะฝังขึ้นมา เขาไม่มองศพที่เกลื่อนกลาดอยู่รอบด้านแม้สักหน ก้าวเท้าเข้าไปด้านในเรือนทันที
ลู่ช่านรู้สึกว่าเลือดลมในอกพลุ่งพล่าน หายใจหอบแฮ่ก ความทรมานที่ประสบในช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้เขาไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้านชายหนุ่มนามซ่งอวี๋ผู้นี้ เพียงร้อยกว่ากระบวนท่า เขาก็ฝืนสู้ต่อมิไหว เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นี้ยังมีกำลังวังชา เขาก็อดถอนหายใจแผ่วเบาไม่ได้
เขาถอยออกจากวงต่อสู้ พิงหลังลงบนกำแพงแล้วถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ หากเป็นคนสนิทของซั่งเหวยจวินจริง ตอนนี้ก็สมควรสังหารข้าแล้วจึงจะถูก แต่ดูเจ้าไร้เจตนาจะสังหาร หรือจะเป็นอย่างที่ข้าคิดจริงๆ เจ้าเป็นสายลับชาวต้ายง”
ซ่งอวี๋ตอบเรียบเฉย “แม่ทัพใหญ่กังวลเกินไปแล้ว ข้าหาใช่สายลับชาวต้ายงไม่” ปากเอ่ยถ้อยคำตอบอย่างง่ายดาย แต่แววตาคล้ายจะมองผ่านม่านเกล็ดหิมะอันไร้ที่สิ้นสุดไปยังความเวิ้งว้างที่ลึกมิอาจหยั่ง
เวลานี้บุรุษอาภรณ์ขาวเดินเข้ามาใกล้แล้ว สายตาของเขากวาดผ่านร่างลู่ช่าน จากนั้นเลื่อนไปหยุดบนร่างซ่งอวี๋พริบตาหนึ่ง หัวใจของซ่งอวี๋สั่นสะท้าน ถอยไปด้านหลังลู่ช่านอย่างเงียบเชียบ แม้มิทราบว่าคนผู้นี้คือผู้ใด แต่เขาทราบว่าในเมื่อคนผู้นี้ปลอมตัวเป็นเจ้าหอกลไกสวรรค์ได้ ย่อมต้องเป็นคนสนิทสหายรู้ใจของท่านอาจารย์ ดังนั้นในใจเขาจึงหวาดกลัวอย่างห้ามมิได้ เวลานี้ลู่ช่านทำให้เขาสบายใจมากกว่าเสียอีก
ทว่าบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นกลับมิพูดอันใด จู่ๆ เงาร่างของเขาก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว หายไปท่ามกลางหิมะโปรยปรายในชั่วพริบตา ดวงตาของลู่ช่านฉายแววฉงน เขาหันกลับไปมองซ่งอวี๋แวบหนึ่ง เห็นเขานิ่งเงียบสีหน้าแฝงแวววิตก ลู่ช่านก็เหมือนจะฉุกคิดถึงบางสิ่ง
นอกเรือนตระกูลเฉียว ผู้ที่นำกำลังพลมาขัดขวางผู้กล้าที่เดินทางมาปล้นคุก นอกจากทหารคนสนิทของซั่งเหวยจวินแล้ว ก็ยังมีมือกระบี่หญิงสวมชุดจอมยุทธ์อีกจำนวนหนึ่ง หัวหน้าของพวกนางมีสองคน ทั้งสองคนล้วนสวมผืนผ้าโปร่งบางปิดหน้า คนหนึ่งสวมอาภรณ์หรูหราแต่งกายงดงาม คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีเขียวแต่งกายเรียบง่าย ปราณกระบี่ประหนึ่งหิมะ กวัดแกว่งฟาดฟันทั่วทุกทิศ โจมตีอยู่ฝ่ายเดียว มิทราบมีคนเท่าไรตายในมือของพวกนาง จวบจนกระทั่งติงหมิงใช้กำลังของตัวเองเพียงคนเดียวขวางสองคนนี้ไว้ถึงคุมสถานการณ์ได้
ติงหมิงจำวิชากระบี่ของสตรีสองนางนี้ได้อย่างรวดเร็ว สำนักเฟิงอี้อยู่ในเจียงหนานมาหลายปี ติงหมิงจึงเคยสัมผัสวิชากระบี่ของพวกนางมาก่อน แต่วันนี้พอได้ประมือ ติงหมิงจึงเพิ่งได้สัมผัสความร้ายกาจที่แท้จริงของสำนักเฟิงอี้ สตรีสองนางประสานกระบี่คู่ จู่โจมดุจมังกรเล่นวารีวิหคเหินร่อน เดี๋ยวประสานเดี๋ยวแยกห่าง งดงามแต่อำมหิต หากมิใช่ว่าติงหมิงเป็นยอดฝีมือแห่งวิชากระบี่เช่นกัน คงจะต่อกรกับศัตรูได้ยากจริงๆ
ต่อสู้กันมาเป็นเวลาสองเค่อ ติงหมิงก็รู้สึกว่าผู้คนฝั่งตนบาดเจ็บล้มตายมากมายนัก หากมิอาศัยกระบวนทัพที่ฝึกปรือมาจากสนามรบแถบอู๋เย่ว์ พวกเขาก็คงยากจะชนะสุนัขรับใช้ตระกูลใหญ่เหล่านี้ อีกอย่างยามนี้กองหนุนของฝั่งศัตรูยังมามิถึง ประการแรกเพราะเรือนตระกูลเฉียวอยู่ห่างไกล ประการที่สองในกองทหารราชองครักษ์เองก็มีคนที่นับถือลู่ช่านอยู่เป็นจำนวนมาก ติงหมิงส่งคนเข้าไปเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวเพื่อถ่วงเวลาอยู่ แต่หากเวลาล่วงเลยนานเกินไป เกรงว่าคงมิอาจขวางกองหนุนได้แล้ว
ตอนที่ใจเขากำลังร้อนรนนั่นเอง บุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งก็เยื้องย่างออกมาจากในเรือน มิเห็นสักนิดว่าเขาขยับตัวอย่างไร แต่ร่างของเขากลับเหินดั่งปุยเมล็ดหลิวลอยลมมาหยุดหลังร่างของสตรีผู้แต่งกายหรูหราคนนั้นแล้วโจมตีออกมาหนึ่งฝ่ามือ สตรีนางนั้นรู้สึกถึงสายลมจากฝ่ามือที่เสมือนดาบคมกริบด้านหลังจึงขยับหลบสุดกำลัง ทว่าแม้จะหลบฝ่ามือนี้พ้น แต่มิอาจประสานกระบี่ต้านศัตรูกับสหายต่อ
สตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นแต่เดิมจดจ่อสมาธิทั้งหมดอยู่กับการโจมตีประสานกับสหาย พอถึงเวลานี้จึงเผยช่องโหว่ช่องใหญ่ ติงหมิงตวาดเบาๆ คำหนึ่ง กระบี่พลันเคลื่อนประหนึ่งริ้วรุ้ง ประกายโลหิตสาดกระเซ็น เรือนร่างอ้อนแอ้นของสตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นสั่นระริก โลหิตซึมอาบทั่วอาภรณ์ฟุบล้มบนพื้นในพริบตา