ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 113 หนทางลำบาก (2)
จี้เสียยอบกายคำนับ “ผู้น้อยรับบัญชา!” กล่าวจบก็เดินจากไปเพียงลำพัง มือกระบี่หญิงอีกนางหนึ่งถอยไปอยู่ตรงทางโค้งบนเส้นทางภูเขา ยืนกุมกระบี่คอยเฝ้าคุ้มกัน
จี้เสียเดินจากไปได้ครู่หนึ่ง เมื่อรู้ว่าตนเองเดินออกมาจากระยะสายตาของมือกระบี่หญิงผู้นั้นแล้วจึงค่อยๆ หยุดฝีเท้าลงอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของนางปรากฏสีหน้าหม่นหมอง นางหวนนึกถึงชีวิตที่ถูกผู้อื่นบงการมาทั้งชีวิตของตน หลังจากเดินทางมาหนานฉู่ นางยอมแลกทุกสิ่งอย่างมิเสียดายเพื่อแย่งชิงอำนาจ ทว่าภายในชั่วเวลาไม่กี่วัน ความพยายามทั้งหมดกลับมลายหายเป็นฟองอากาศ ปล่อยให้หลิงอวี่ผู้แสร้งปลอมเป็นหมูย้อนกลับมาขย้ำพยัคฆ์ได้นั่งสำราญกับสิ่งที่นางลงแรงแลกมา เมื่อขบคิดมาถึงตรงนี้ จี้เสียก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง
ผ่านไปเนิ่นนาน สีหน้าของนางจึงค่อยดีขึ้น แม้หลิงอวี่จะกุมอำนาจส่วนใหญ่เอาไว้แล้ว แต่นางไม่เชื่อหรอกว่าเหวยอิงจะยินยอมเชื่อฟังคำสั่งจากใจจริง ยิ่งไปกว่านั้นลูกศิษย์ทั้งสามของนางก็ใช้การได้ดีทีเดียว ศิษย์น้องเล็กจี้หลิงเซียงกลายเป็นพระสนมกุ้ยเฟยแล้ว นางได้รับความโปรดปรานจนกุมอำนาจวังหลังทั้งหมด ส่วนศิษย์คนรองหลิงเจี้ยนแม้จะมีรูปโฉมไม่โดดเด่นนัก แต่นางชำนาญวิชากระบี่เป็นอันดับต้นๆ ในหมู่ศิษย์รุ่นใหม่
ส่วนศิษย์คนโตหลิงอวี่ พอคิดถึงนาง จี้เสียก็ขมวดคิ้ว ศิษย์คนนี้ไม่สนใจวิชากระบี่นัก ทุ่มเทให้แต่ศาสตร์การดนตรี เรื่องนี้นางไม่ถือสาอันใด รูปโฉมเช่นนาง หากยอมตั้งใจผูกสัมพันธ์กับชนชั้นสูงในราชสำนักเพื่อดึงมาเป็นพวกก็ไม่เลว แต่นางดันยอมตายมิยอมทำ หากมิใช่ว่านิสัยเย็นชาของนางยิ่งทำให้คนทั้งหลายลุ่มหลง ตนคงไม่มีทางปล่อยนางเหิมเกริมเช่นนี้ง่ายๆ
แต่หนนี้จะปล่อยให้นางทำตามใจต่อไปมิได้อีกแล้ว การซื้อใจไช่ฉวินมิใช่เพียงการตัดสินใจของหลิงอวี่ แต่เป็นหนทางสำคัญในการแย่งชิงอำนาจของนางด้วย ดังนั้นกลับไปหนนี้จะต้องบังคับแม่ชีน้อยคนนี้ให้ยอมให้จงได้ ในใจจี้เสียครุ่นคิดร้อยพันวิธี จากนั้นจึงเริ่มยกเท้าเดินลงไปข้างล่างอีกหน อย่างไรเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือศึกใหญ่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น
สายตาของเหวยอิงละกลับมาจากม่านน้ำตก แล้วเอ่ยขึ้นว่า “จะดูแคลนขุมกำลังในมือเจ้าตำหนักจี้มิได้ เจ้าสำนักมิควรดูเบานางเช่นนี้”
หลิงอวี่เคลื่อนสายตามาแล้วยิ้มตอบ “เรื่องนี้ย่อมแน่นอน แต่ไม่ทราบว่าพี่เหวยยังคิดแค้นพวกข้าเรื่องตระกูลลู่หรือไม่”
เหวยอิงตอบเสียงเย็นชา “ผู้แซ่เหวยทำงานให้แม่ทัพใหญ่ก็เพื่อชำระแค้นของตัวเองเท่านั้น ในเมื่อวันนี้แม่ทัพใหญ่ตายแล้ว ข้าย่อมมิลงสุสานไปกับตระกูลลู่ แต่พวกท่านช่างสายตาตื้นเขิน ปลุกปั่นยุยงทำลายกำแพงเมืองของตนเอง มิกังวลหรือว่ากองทัพต้ายงจะบุกลงใต้ หากหนานฉู่สิ้นแคว้น ต่อให้พวกท่านกุมอำนาจราชสำนักได้ยังจะมีประโยชน์อันใดอีกเล่า”
หลิงอวี่ถอนหายใจ “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หากลู่ช่านยอมร่วมมือกับพวกเรา ข้าก็ไม่ต้องการทำเช่นนี้ แต่ท่านก็รู้ดี พ่อลูกตระกูลลู่ไม่เคยรู้สึกดีต่อสำนักเฟิงอี้ของพวกเรา หากเขาได้กุมอำนาจ น่ากลัวว่าพวกเราคงมิมีแผ่นดินให้อาศัยอีกแล้ว ยามนี้แม้ไม่มีลู่ช่าน แต่ระหว่างหลายปีนี้กำลังทหารของหนานฉู่แข็งแกร่งขึ้นมาก อย่างน้อยก็คงคุมฉางเจียงเอาไว้ได้อย่างมั่นคง ขอเพียงปกป้องเจียงหนานไว้ได้ สุดท้ายย่อมมีที่ให้พวกเราอยู่ ดังนั้นแม้ช่วงเวลาจะไม่ค่อยเหมาะนัก แต่ก็จำเป็นต้องลงมือ”
เหวยอิงถอนหายใจแผ่วเบา มิเอ่ยคำใดอีก หลิงอวี่เห็นเช่นนี้ก็คลี่ยิ้ม “หนนี้ท่านเลือกที่แห่งนี้เป็นสถานที่ดักซุ่มโจมตี ข่างเหมาะสมยิ่งนัก”
เหวยอิงตอบอย่างเฉยชา “จากเย่ว์จวิ้นไปถึงหนานหมิ่น มีถนนอยู่สองสาย สายหนึ่งต้องเดินทางจากเมืองฉางซานในฉวีโจวผ่านถนนใหญ่ของด่านเฟินสุ่ย อีกเส้นหนึ่งเดินทางจากเมืองเจียงซานในฉวีโจวผ่านด่านเล็กตรงยอดเขาเซียนสยา จากหมู่บ้านชิงหูของเจียงซานไปถึงผู่เฉิง ระหว่างทางต้องผ่านยอดเขาเซียนสยา ยอดเขาตันเฟิง ยอดเขาหลีและยอดเขาเซียนหยาง เส้นทางหลายร้อยลี้ล้วนมีจุดอันตรายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ในหมู่สถานที่อันตรายเหล่านั้นยอดเขาเซียนสยาอันตรายที่สุด หน้าผาชัน สูงถึงสามร้อยหกสิบชั้น มีทางคดโค้งทั้งหมดยี่สิบสี่โค้ง ระยะทางยาวยี่สิบลี้ ระหว่างทางมีช่องเขาแคบอยู่หลายแห่งที่ความกว้างมิถึงหนึ่งจั้ง หากคุมสถานการณ์จากที่สูง หนึ่งทหารเฝ้าด่าน ทหารนับหมื่นมิอาจผ่าน ความสูงชันอันตรายมิเป็นรองเขาเจี้ยนเก๋อแห่งแคว้นสู่ พวกเราดักซุ่มระหว่างทางย่อมมิล้มเหลวอย่างแน่นอน”
หลิงอวี่ดวงตาเป็นปะรกาย เอ่ยขึ้นว่า “แม้คนของตระกูลลู่ที่ถูกเนรเทศจะมีจำนวนไม่น้อย แต่นอกจากลู่ฮูหยินกับบุตรชายคนเล็กของลู่ช่านนามลู่ถิง คนอื่นจะเป็นหรือจะตายล้วนมิจำเป็นต้องใส่ใจ แต่อัครมหาเสนาบดีซั่งคิดว่า คนที่ช่วยลู่อวิ๋นไปกลุ่มนั้นจะต้องเดินทางมาช่วยทายาทของตระกูลลู่อย่างแน่นอน เพื่อดักรวบพวกเขาให้หมด จำเป็นต้องล่องูออกจากโพรง ข้าตั้งใจจะให้ตำหนักเฉินของท่านลงมือก่อน หลังจากล่อคนที่คอยคุ้มกันในเงามืดออกมาแล้ว ค่อยรวบรวมกำลังทั้งหมดของสำนักกวาดล้างสายฟ้าแลบ ท่านคิดว่าอย่างไร”
หลิงอวี่ผิดคาด ทั้งที่แผนการนี้เผยเจตนาลดทอนกำลังของตำหนักเฉินอย่างชัดแจ้ง แต่เหวยอิงกลับรับปากทันที “ย่อมสมควรทำเช่นนี้ แม้ตำหนักเฉินจะมีกำลังพลมาก แต่คนมากกว่าครึ่งล้วนเป็นพวกฝีมือธรรมดาดาษดื่น แม้จะสูญเสียจำนวนมากก็มิเป็นปัญหา แต่ชีวิตของแม่ลูกตระกูลลู่เป็นเรื่องสำคัญ หากพวกนางตายระหว่างการต่อสู้ชุลมุน คนที่เดินทางมาช่วยเหลือเหล่านั้นย่อมถอยไปหลบซ่อนตัว มิสู้ให้ลูกศิษย์วงนอกของตำหนักเฉินบุกโจมตีพร้อมกับทหารชั้นยอดที่อัครมหาเสนาบดีซั่งส่งมา ต่อมาค่อยให้ข้านำยอดฝีมือของตำหนักปลอมตัวเป็นคนที่มาช่วย หลังจากนั้นข้าจะตรึงกำลังปกป้องลู่ฮูหยินกับลู่ถิงรอคอยความช่วยเหลือ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่คอยปกป้องในเงามืดเหล่านั้นย่อมแห่เข้ามาเองประหนึ่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ เมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสม เจ้าสำนักก็เคลื่อนกำลังพลทั้งหมด สังหารให้สิ้น”
ในใจหลิงอวี่ชมชอบความโหดเหี้ยมในแผนการของเหวยอิง เอ่ยตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รบกวนพี่เหวยแล้ว แต่จากที่ข้าทราบมาลู่เฟิงบุตรชายคนรองของลู่ช่านน่าจะอยู่ในมือท่าน เด็กคนนี้จะเก็บไว้มิได้ พี่เหวยอย่าได้ใจอ่อน”
เหวยอิงทราบดีว่าหลิงอวี่วางสายสืบไว้ข้างกายตนเอง อีกทั้งคนผู้นี้คงจะมีตำแหน่งมิต่ำต้อย มิเช่นนั้นคงไม่ทราบเรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้ แต่เวลานี้เขามิสนใจเรื่องเช่นนี้แล้ว จึงเพียงเลิกคิ้วเอ่ยว่า “เด็กคนนี้จะเป็นหรือตายสำคัญอย่างไร ผู้แซ่เหวยเพียงรอบคอบเป็นนิสัย เผื่อว่าเหตุการณ์เกิดพลิกผันขึ้นมาจะได้ยังใช้เขาซื้อใจลูกน้องเก่าของแม่ทัพใหญ่ได้ หากต้องการสังหารเขาก็ควรรอให้ฝั่งนี้ทำงานสำเร็จก่อน มิเช่นนั้นไฉนมิน่าเสียดายเกินไป”
หลิงอวี่ฟังจบก็ยิ้มเจื่อน “พี่เหวยบอกช้าไปแล้ว ข้าส่งอาจารย์อาจูไปสังหารเขาแล้ว แต่เรื่องฝั่งนี้คงไม่มีทางล้มเหลวหรอกกระมัง”
นัยน์ตาของเหวยอิงหดวูบไปชั่วพริบตาหนึ่ง แต่เขาก้มหน้าเก็บซ่อนจิตสังหารในดวงตาไว้ด้วยท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจ จากนั้นเอ่ยว่า “คนที่ข้าส่งไปเฝ้าจับตาดูเด็กคนนี้คงไม่ยอมให้ผู้อาวุโสจูลงมือง่ายๆ น่าเสียดายองครักษ์ทั้งสี่ที่ข้าลำบากลำบนซื้อใจมาเป็นพวก”
หลิงอวี่ยิ้ม “พี่เหวยโปรดวางใจ ข้าขอร้องอาจารย์อาจูแล้วว่าให้ระวัง นางจะไม่ทำร้ายคนของท่านส่งเดช สมัยก่อนอาจารย์อาจูเคยคิดตามอาจารย์ทำศึกมาทั่วหล้า แม้จะเร้นกายไปหลายปี แต่ฝีมือยังอยู่ วิชากระบี่มีแต่จะชำนาญและโหดเหี้ยมขึ้น น่าจะหยุดองครักษ์เหล่านั้นได้โดยมิจำเป็นต้องทำลายชีวิตของพวกเขา”
เหวยอิงหลุบสายตาครุ่นคิดอยู่เงียบๆ สาเหตุที่หลิงอวี่ยึดอำนาจได้ในคราเดียว นอกจากจะเป็นเพราะขุมกำลังของตำหนักอี๋หวงกับตำหนักเฟิ่งอู่เสียหายหนัก ผู้อาวุโสจูและพรรคพวกก็เป็นสาเหตุประการหนึ่งด้วย ในหมู่พวกนางมีคนมากกว่าครึ่งที่เป็นศิษย์น้องรุ่นเดียวกับเจ้าสำนักเฟิงอี้ บ้างก็เป็นหญิงรับใช้ในสมัยนั้น พวกนางวางกระบี่ปลีกวิเวกไปนานแล้ว แม้แต่เหตุการณ์ก่อกบกฏที่พระราชวังเลี่ยกงในตอนนั้น พวกนางก็มิได้เข้าร่วม แต่เพราะเป็นปลาข้องเดียวกันพวกนางจึงถูกบีบให้ต้องร่อนเร่หนีตายมายังหนานฉู่ด้วย ยามนี้พวกนางมิยินดีนิ่งเงียบอีกต่อไปจึงหวนคืนสู่ยุทธภพ นับว่าจัดการยากยิ่งนัก มิรู้ว่าลู่เฟิงจะรักษาชีวิตไว้ได้หรือไม่ แต่มิว่าลู่เฟิงจะรอดหรือตายอย่างไร ยามนี้ตนก็ไม่มีเวลาไปสนใจเขาแล้ว
พูดคุยมาถึงตรงนี้ ทั้งสองคนก็รู้สึกว่าไม่มีคำใดให้พูดจากันอีก ต่างคนต่างเงียบ สายตามองลงไปยังเส้นทางภูเขาด้านล่าง ผ่านไปไม่นานนักชุยเสียงคนสนิทข้างกายเหวยอิงก็รีบร้อนเดินเข้ามา มือกระบี่หญิงผู้นั้นตวาดเบาๆ ขวางไว้ ยังมิทันที่เหวยอิงจะเอ่ยปาก หลิงอวี่ก็ออกคำสั่งให้ปล่อยคนเข้ามา แววตาของเหวยอิงเคร่งขรึมขึ้นวูบหนึ่ง แต่ยังมิทันได้พูดอันใด ชุยเสียงก็ก้าวเข้ามาประสานมือคำนับกล่าวว่า “เรียนท่านเจ้าสำนัก ท่านเจ้าตำหนัก อีกครึ่งชั่วยาม ขบวนนักโทษเนรเทศของตระกูลลู่จะมาถึงที่แห่งนี้ โปรดสั่งการ”
เหวยอิงหันกลับไปมองหลิงอวี่ หลิงอวี่ยิ้มน้อยๆ “การบุกโจมตีของตำหนักเฉินยกให้พี่เหวยจัดการตามใจ ข้าก็จะไปจัดการงานให้เรียบร้อยเช่นกัน พอถึงจังหวะที่เหมาะสมจะได้ลงมือ” กล่าวจบหลิงอวี่ก็เหินร่างจากไป เหวยอิงทราบว่าหลิงอวี่ยังระแวงตนอยู่ เกรงว่าคงต้องรอหลังจากที่ตำหนักเฉินเสียสละจนเสียหายหนักหนาก่อนนางจึงจะเชื่อใจตนเองอย่างแท้จริง
เขาลอบถอนหายใจ แล้วสั่งการอย่างสุขุม “เจ้านำคนของตำหนักบุกโจมตี ส่วนข้าจะนำองครักษ์โลหิตแห่งตำหนักเฉินฝ่าเข้าไปคุ้มครองลู่ฮูหยินกับคุณชายลู่ พวกเราจะปิดบังใบหน้าระหว่างลงมือ พวกเจ้าห้ามเปิดเผยตัวตน แล้วก็อย่าให้พวกเขาทราบความจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ต่างฝ่ายถึงจะเข่นฆ่ากันอย่างมิยั้งมือและจะมิเผยพิรุธ”
ชุยเสียงฟังจบก็ตกตะลึง “เจ้าตำหนัก หากทำเช่นนี้กำลังพลของตำหนักเฉินจะเสียหายอย่างหนัก เกรงว่าจะมีแต่ผลร้ายปราศจากผลดี ขอเจ้าตำหนักโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบ”
เหวยอิงหัวเราะหยัน “แม้คนของตำหนักเฉินจะมีมากมาย แต่คนมากกว่าครึ่งล้วนเป็นพวกที่ใช้ไม้อ่อนไม้แข็งบีบบังคับให้เข้ามา ในหมู่พวกเขามีคนที่ภักดีกับข้าเพียงสองสามส่วนในสิบส่วน คนที่เหลือส่วนมากเป็นพวกเอนเอียงตามสถานการณ์ ยามนี้ข้าเพลี่ยงพล้ำ ในใจพวกเขาคงคิดจะต่อต้านนานแล้ว หนนี้พอดีได้ยืมดาบสังหารคน กำจัดพวกหนอนบ่อนไส้ในตำหนักให้สะอาด ต่อให้พวกเขาตายกันหมดสิ้นก็ไม่มีสิ่งใดให้เสียดาย องครักษ์โลหิตของข้าเพียงพอปกป้องตนเองแล้ว เจ้าเองก็มิต้องห่วงความปลอดภัยของข้า มองพวกข้าเป็นศัตรูเสีย เพียงแต่ระวังสักหน่อย อย่าทิ้งชีวิตของตัวเองไปด้วยเป็นพอ”