ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 125 แค้นใจมิได้รู้จัก (2)
ฉวีหวงสีหน้าเย็นยะเยือก ท่าทีเย็นชาขึ้นมาทันควัน เขาตอบเสียงเรียบเฉย “ท่านเอาอันใดมาพูด เหวยอิงเป็นขุนนางทรยศ ท่านอาจารย์ของข้าจะร่วมมือกับเขาได้เช่นไร ท่านอาจารย์เพียงส่งคนมากมายปะปนเข้าไปในกลุ่มของเหวยอิงอยู่ก่อนแล้วจึงหาโอกาสช่วยคุณชายลู่ออกมาได้ หากข้ามิได้รับแจ้งข่าวจากสหาย ทราบเรื่องที่จะมีการจู่โจมด้วยพิษ ก็คงช่วยเหลือทุกท่านมิทัน
เรื่องคุณชายลู่ข้าก็เพิ่งได้รับแจ้งข่าวมากลางทางว่ามีคนช่วยรักษาเขาแล้ว สูตรยาอยู่บนโต๊ะหนังสือในกระโจม สมุนไพรก็ตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว ให้หญิงรับใช้ของลู่ฮูหยินต้มสมุนไพรให้เขาดื่มได้ทันที คิดว่าคงจะช่วยคุณชายลู่จากอาการไม่คุ้นชินกับอากาศได้”
ไผ่ระทมตะลึงงัน ติงหมิงถอนหายใจกล่าวว่า “เจียงโหวช่างฝีมือน่าทึ่งจริงๆ มิน่าข้าจึงได้ยินเสียงวิหคร้องบนผาริมทางภูเขาบ่อยๆ ข้าสังหรณ์อยู่รางๆ ว่าน่าจะมีคนลอบจับตามองอยู่ ที่แห่งนี้คงอยู่ในการควบคุมของพวกท่านหมดแล้วกระมัง”
ฉวีหวงยิ้มหยัน “ชาวยุทธภพหนานฉู่ชอบใช้หัวใจคนถ่อยมาวัดน้ำใจของวิญญูชน ท่านโหวเป็นคนระดับใด ไฉนจะฉวยโอกาสยามผู้อื่นพบอันตราย คนอย่างพวกเจ้ามิอยู่ในสายตาเขาหรอก ท่านโหวกำลังตั้งใจรักษาตัวอยู่ ส่วนข้าเอาตัวมาเสี่ยงอันตรายก็เพื่อความปลอดภัยของลู่ฮูหยินกับบุตรชายเท่านั้น”
ติงหมิงเงียบงัน ในใจทราบว่าคำพูดของคนผู้นี้ล้วนเป็นความจริง คนเช่นพวกตนจะเคยอยู่ในสายตาของขุนนางใหญ่แห่งต้ายงเช่นเจียงเจ๋อเมื่อใด แต่หากลู่ฮูหยินกับบุตรชายถูกคนต้ายงควบคุมตัวไว้จริงย่อมกระทบต่อขวัญกำลังใจทหารของหนานฉู่ ทว่าเขาก็เสนอความเห็นแย้งอันใดออกมามิได้ การดิ้นรนเอาชีวิตรอดตลอดทางที่ผ่านมาเพียงพอทำให้ทุกคนก้าวเท้ามิออกแล้ว
เวลานี้เอง เสียงอ่อนโยนทว่าหนักแน่นเสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังของทั้งสองคน “เจตนาดีของเจียงโหวพวกเราแม่ลูกซาบซึ้งยิ่งนัก เพียงแต่สามีสั่งเสียไว้ว่ามิอาจหันไปเข้ากับแคว้นศัตรูเพื่อรักษาชีวิต”
ทั้งสองคนได้ยินเสียงจึงหันกลับไป เห็นลู่ฮูหยินยืนอยู่มิไกล สีหน้านิ่งสงบคล้ายสิ่งที่เอ่ยออกมาเป็นเพียงถ้อยคำธรรมดา มิใช่การปล่อยโอกาสรอดทิ้งไปอย่างง่ายดาย
ในใจฉวีหวงยิ่งรู้สึกนับถือ ก้าวเข้าไปคำนับเอ่ยว่า “ฮูหยิน หนานฉู่มิใช่ดินแดนอันสงบสุขอีกแล้ว ติ้งหย่วนยิ่งเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยโรคภัย ฮูหยินกับคุณชายน้อยร่างกายล้ำค่าเท่าพันตำลึงทอง ไฉนจะลดตัวไปอยู่ในดินแดนอันตรายได้ ท่านโหวจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงฮูหยินยินยอมก็พร้อมกางใบเรือล่องขึ้นแดนเหนือ ท่านโหวสัญญาว่าจะมิมีวันใช้ตัวฮูหยินกับคุณชายทำสิ่งใดที่ทำร้ายหนานฉู่เป็นอันขาด”
ลู่ฮูหยินตอบด้วยน้ำเสียงสงบ “ท่านโหวเป็นคนมีสัจจะ ข้าย่อมเชื่อถือเขา อีกทั้งยามนี้ต้ายงมิจำเป็นต้องใช้แม่ม่ายกับบุตรกำพร้าซื้อใจผู้คนแล้ว เพียงแต่ตระกูลลู่เป็นขุนนางแห่งหนานฉู่ แม้นตายก็ขอตายที่หนานฉู่ แม้ราชสำนักจะผิดต่อขุนนางผู้ภักดี แต่ตระกูลลู่มิอาจผิดต่อราชสำนัก ถึงติ้งหย่วนจะเป็นดินแดนอันตรายและเลวร้าย แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของราชสำนัก ข้าก็มิอาจขัดพระราชบัญชา”
ฉวีหวงเอ่ยอย่างจริงจัง “ความภักดีกล้าหาญของตระกูลลู่ ผู้น้อยนับถือ เพียงแต่เจ้าแผ่นดินโง่เขลากับเสนาบดีชั่วของหนานฉู่ทั้งทำลายกำแพงเมืองของตน ทั้งมิเห็นแก่ความภักดีซื่อตรง ฮูหยินไยต้องเฝ้านึกถึงราชสำนักเช่นนี้ทุกชั่วขณะอีก ท่านโหวมิได้คาดหวังให้ฮูหยินทรยศบ้านเกิดเมืองนอน เพียงเห็นแก่ไมตรีศิษย์อาจารย์ยามเก่าก่อน จึงมิปรารถนาให้ครอบครัวของแม่ทัพใหญ่ต้องตกทุกข์ได้ยากเท่านั้น”
ลู่ฮูหยินยอบกายคำนับ “ท่านมิหวั่นเกรงความตายเสี่ยงอันตรายเผชิญความยากลำบากมาช่วยข้ากับบุตรคนเล็กของข้า บุญคุณนี้ข้าซาบซึ้งมิมีวันลืม แม้นท่านจะให้ข้าตายตอบแทน ข้าก็จะมิโกรธเคืองแต่อย่างใด มีเพียงเรื่องนี้ที่มิได้อย่างเด็ดขาด สามีของข้ายอมสละชีพเพื่อคำว่าภักดี แม้ข้ามิกล้าเอ่ยอ้างว่าจะสืบทอดเจตนารมณ์ของสามีผู้ล่วงลับ แต่จะมิมีวันทอดทิ้งแว่นเคว้นเพื่อชีวิตสงบสุขของตน”
ติงหมิงได้ยินคำนี้พลันก้าวเข้าไปคำนับ “คำพูดของฮูหยินประหนึ่งน้ำมนต์ประพรมศีรษะ แม่ทัพใหญ่สิ้นชีวาใต้เงื้อมมือของเสนาบดีชั่ว พวกข้าหมดสิ้นกำลังใจจนผู้กล้ามากมายของกองกำลังอาสาต่างออกจากกองทัพ วันนี้ได้ฟังคำพูดของฮูหยิน จึงเพิ่งตระหนักว่าพวกข้าเข้าใจแก่นแท้ของความภักดีลึกซึ้งสู้ฮูหยินมิได้ หากข้ามีชีวิตรอดหวนกลับอู๋เย่ว์ ข้าจักถ่ายทอดคำพูดของฮูหยินให้ทุกคนฟัง แม้นต้องตายบนสนามรบก็จะมิมีวันยอมปล่อยให้ทหารม้าเหล็กของกองทัพต้ายงบุกลงใต้เป็นอันขาด”
ลู่ฮูหยินน้ำตาคลอ เอ่ยว่า “หากสามีข้าทราบว่าจอมยุทธ์ติงคิดเช่นนี้ ดวงวิญญาณในปรโลกของเขาคงตายตาหลับเป็นแน่”
ฉวีหวงสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “จอมยุทธ์ติงทราบใช่หรือไม่ว่าชีวิตท่านยังอยู่ในกำมือของพวกข้า แม้ข้าจะยอมปล่อยท่านหวนกลับอู๋เย่ว์ แต่พิษร้ายในตัวท่านยังมิได้รับยาแก้ ยอดฝีมือด้านการแพทย์ที่ช่วยรักษาท่านได้มากกว่าครึ่งล้วนอยู่ที่ต้ายง มิจำเป็นต้องให้พวกข้าสิ้นเปลืองแรง ชีวิตท่านก็อยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”
ติงหมิงหัวเราะอย่างไม่หวาดหวั่น “มีชีวิตรอดมาได้นานถึงเพียงนี้ล้วนเป็นเพราะท่านเมตตา ถึงผู้คนมากมายจะรักตัวกลัวตาย แต่หากท่านคิดจะใช้ความตายมาบีบบังคับข้า ท่านก็ดูแคลนข้าแล้ว”
ฉวีหวงฟังคำนี้จบก็ยิ้มน้อยๆ กล่าวตอบว่า “คนมิกลัวตาย จะใช้ความตายขู่ให้กลัวได้เช่นไรเล่า จอมยุทธ์ติงต่างหากดูแคลนข้าเกินไปแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นหนนี้ ข้าจะกลับไปรายงาน แม้ต้วนเยว์ตายเสียแล้ว แต่ข้าเอาหนังสือคำสั่งบนตัวเขามาด้วย จอมยุทธ์ติงรับหน้าที่คุ้มครองลู่ฮูหยินเดินทางไปติ้งหยวนแทนเขาได้
ส่วนพิษที่อยู่ในตัวท่าน ตอนนี้ข้าไร้หนทางทำอันใด แต่หากท่านมีเวลาว่างมิสู้ลองเดินทางไปตระกูลเย่ว์ที่หนานหมิ่นดูสักหน” กล่าวจบก็ประสานมือคำนับอย่างสุขุมแล้วเดินออกไปด้านนอก พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ติงหมิงกับลู่ฮูหยินต่างตกตะลึง ทั้งสองคนทราบว่าคนผู้นี้ลงแรงไปมากมายนัก พวกเขาจึงคิดว่าหากยังมิบรรลุจุดประสงค์อีกฝ่ายคงมิเลิกราเป็นแน่ ความจริงทั้งสองคนต่างตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะมีผลลัพธ์อย่างไร พวกเขาล้วนจะเผชิญหน้าอย่างมิหวั่นกลัว แต่คิดมิถึงว่าคนผู้นี้บอกจะรามือก็รามืออย่างเด็ดขาดและใจกว้างเช่นนี้ ช่างน่าชื่นชมนัก ทั้งสองคนสบตากัน ในดวงตาล้วนมีแต่แววตากังวล ผ่านไปเนิ่นนาน ลู่ฮูหยินจึงถอนหายใจเบาๆ กลับเข้าไปในกระโจม
ร่างของฉวีหวงทะยานผ่านห้วงรัตติกาลประหนึ่งวิหคโผผิน ผ่านไปมินานก็เห็นแสงไข่มุกสีเหลืองสลัวอยู่เบื้องหน้า หัวใจพลันยินดีปรีดา รีบเร่งฝีเท้า เมื่อก้าวเท้าเข้ามาใกล้ก็เห็นชายหนุ่มผู้สวมอาภรณ์ซอมซ่อคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขา หากมิใช่เพราะไข่มุกที่ทอแสงสว่างในมือ บอกว่าคนผู้นี้เป็นขอทานก็คงมีคนเชื่อ
ฉวีหวงเห็นใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของชายหนุ่มผู้นั้นซูบโทรม ในใจพลันเกิดความเวทนา หยุดยืนข้างหลังเขาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อวี๋หลุน เจ้าไยต้องทรมานตนเองเช่นนี้ ทั้งมิยอมกลับค่ายลับ แล้วยังจะดื้อตามพวกเราลงใต้มาคุ้มครองลู่ฮูหยินกับบุตรของนางอีก เจ้ามิกลัวท่านเฉินสังหารเจ้าไปด้วยหรือ”
อวี๋หลุนมิหันกลับมา ตอบเสียงเบาว่า “ลู่ฮูหยินปลอดภัยแล้วหรือ”
ฉวีหวงยักไหล่ “ปลอดภัยแล้ว ท่านเฉินคงจะไปเจรจากับเซี่ยโหวหยวนเฟิง มิให้เขาฉวยโอกาสยุ่งมิเข้าเรื่องไปสร้างความลำบากให้ลู่ฮูหยินแล้ว อวี๋หลุน นับจากนี้เจ้ามีแผนการอย่างไร”
อวี๋หลุนตอบว่า “ข้ารับปากแม่ทัพใหญ่แล้วว่าจะมิข้องเกี่ยวกับสงครามระหว่างสองแคว้นอีก หากข้ายังอยู่ในเจี้ยนเย่คงมิอาจหลีกหนีเรื่องนี้พ้น ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจจะเดินทางลงใต้คุ้มครองลู่ฮูหยินกับบุตรชาย หากปกป้องพวกเขาให้ปลอดภัยได้ก็นับว่ามิเสียทีที่มีวาสนาพบหน้าแม่ทัพใหญ่หนึ่งหน ในเมื่อตอนนี้ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เจ้าช่วยคืนไข่มุกให้ไป๋อี้แทนข้าที ข้าจะจากไปตั้งแต่ตอนนี้ คงมิได้บอกลาเขาแล้ว”
ฉวีหวงถอนหายใจ “เจ้าคนนี้ความคิดประหลาดพิลึกนัก ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะกลับเจี้ยนเย่จึงมิยอมอยู่ในค่ายลับต่อ ตอนนี้เจ้าไม่กลับเจี้ยนเย่แล้ว เหตุใดจึงมิยอมกลับมาอีกเล่า”
อวี๋หลุนฟังจบ ใบหน้าก็ปรากฏสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาทันตา ฉวีหวงคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี ในใจฉุกคิดอะไรได้จึงก้าวเข้าไปพูดว่า “อวี๋หลุน เจ้ามีเรื่องอันใดในใจที่พูดกับข้ามิได้หรือ พวกเราเป็นพี่เป็นน้องกันมาหลายปี เจ้ามิสู้เล่ามาให้ข้าฟังเถิด มิแน่ว่าข้าอาจแนะนำเจ้าได้”
อวี๋หลุนลังเลอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็งึมงำบอกว่า “แต่เดิมข้าคิดว่าข้ามองนางเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น แต่หลายวันมานี้ในหัวใจข้ากลับเอาแต่คิดถึงนาง”
ฉวีหวงยินดีปรีดา เอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้หนุ่มเสเพลอย่างเจ้าก็ตกหลุมรัก แม่นางหลิ่วผู้นั้นสินะ เจ้าเป็นอาจารย์สอนพิณอยู่ข้างกายนางมาตั้งนาน ที่แท้ก็เพราะถูกศรรักปักอก หัวใจมิใช่ของตนเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดไม่รีบไปขอนางแต่งงานเล่า
นวลนางโฉมสะคราญ บุรุษเฝ้าหมายปอง หลิ่วหรูเมิ่งเป็นถึงยอดบุปผาแห่งเจียงหนาน รูปโฉมความสามารถเช่นนี้มีน้อยคนในใต้หล้า รูปลักษณ์ความสามารถของเจ้าก็ยากจะหาคนมาเทียบเทียมเช่นกัน ช่างเป็นคู่สร้างคู่สม หากไม่มีสินสอดทองหมั้นไปกอง ไม่กล้าเอ่ยปาก พวกเราพี่น้องทั้งหลายจะช่วยเจ้าอีกแรง รับรองว่าจะให้เจ้าตบแต่งคนงามอย่างมีหน้ามีตา” พูดพลางก็เค้นสมองขบคิด ตัวแทนที่อวี๋หลุนพูดหมายความว่าอย่างไร
อวี๋หลุนมิทราบความคิดของเขา จึงเอ่ยตอบอย่างหม่นหมอง “แม้ข้าจะปรารถนาเช่นนั้นแต่มิกล้าเอ่ยปาก หรูเมิ่งนางชื่นชมผู้กล้าใจภักดีเป็นที่สุด แม่ทัพใหญ่ก็เป็นหนึ่งในนั้น หากนางทราบว่าข้ามีส่วนทำร้ายแม่ทัพใหญ่จนตาย เกรงว่านางคงจะมิให้อภัยข้า”
ใบหน้าฉวีหวงกระตุกวูบหนึ่ง แต่จากนั้นก็ฉีกยิ้ม “เจ้านี่นะ พอเป็นเรื่องของตนเองก็โง่งม ความตายของลู่ช่านเกิดจากการกระทำของซั่งเหวยจวิน เจ้าเพียงแต่ผลักดันเสริมส่ง แล้วยังทำเพราะได้รับคำสั่งอีกด้วย ความผิดนี้เกี่ยวอันใดกับเจ้าเล่า กลับกัน เจ้าเคยลงมือช่วยลู่ช่านเสียด้วยซ้ำ วันนี้ก็ยังเดินทางลงใต้คุ้มครองลู่ฮูหยินกับบุตรชายอีก หากแม่นางหลิ่วทราบ มีแต่จะชื่นชมเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่เจ้าเสนอแผนการ นอกจากซั่งเหวยจวินกับบุตรชายก็มิมีผู้อื่นล่วงรู้ ขอเพียงเจ้ามิพูด ยังจะมีผู้ใดรู้อีกเล่า”
อวี๋หลุนสีหน้าหดหู่ ส่ายหน้าตอบว่า “หากมิต้องการให้ผู้คนล่วงรู้ นอกจากมิกระทำก็หามีทางอื่นไม่ สุดท้ายย่อมปิดบังผู้คนมิได้อยู่ดี อีกอย่างวันนั้นหลังจากข้าเห็นแม่ทัพใหญ่ปลิดชีพตน ข้าก็คิดอยู่บ่อยครั้งว่าหากข้ากับเขารู้จักกันมาก่อน มิว่าอย่างไรข้าก็คงมิอาจใช้วาจาทำร้ายเขาได้”
เห็นเขาเศร้าซึมเช่นนี้ ฉวีหวงก็ถอนหายใจ “ช่างน่าเสียดายยิ่งนักจริงๆ ข้าอยู่ในเจียงหนานมานานหลายปี แม้จะเคยเห็นตัวเขา แต่กลับมิเคยได้รู้จักกันจริงๆ เพียงมีวาสนาพบหน้ากันหนเดียว เจ้าก็ละอายเศร้าเสียใจเพื่อเขาถึงเพียงนี้ คนผู้นี้จะต้องเป็นยอดคนแห่งใต้หล้าอย่างแน่นอน!”
อวี๋หลุนตอบเรียบๆ “หากกล่าวถึงสติปัญญาความสามารถ เขาย่อมสู้ท่านอาจารย์มิได้ แต่หากกล่าวถึงน้ำใจและปณิธาน ทั่วใต้หล้ามิมีผู้ใดสู้เขาได้”
สีหน้าฉวีหวงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ตัดสินใจแล้วว่าจะมิยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกอีก หอกลไกสวรรค์ก็กำลังจะสลายหายไปแล้ว หากเจ้ายังอยู่ที่เจียงหนานต่อ เกรงว่าพวกเราคงยากจะปกป้องเจ้า”
อวี๋หลุนมิตอบคำ แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย