ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 14 ที่ใดคือขุนเขาเขียว (1)
รัชศกหลงเซิ่งปีที่สอง ซูชิงถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าในฉางอัน แต่งตั้งบรรดาศักดิ์โหว สตรีผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวในประวัติศาสตร์ต้ายง เริ่มต้นจากซูชิง
รัชศกหลงเซิ่งปีที่เจ็ด ซูชิงสมรสกับฮูเหยียนโซ่วรองแม่ทัพแห่งกองราชองครักษ์หู่จี ฮ่องเต้พระราชทานพระราชโองการอนุญาตให้สมรส เนื่องด้วยเจ้าสาวไร้ครอบครัวจึงให้รัชทายาทมาเป็นประธานงานมงคลด้วยตนเอง
…พงศาวดารต้ายง ประวัติเติ้งโหว
เวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างเชื่องช้า แสงโคมยังคงส่องสว่าง ลู่อวิ๋นรอคอยจนร้อนใจ เวลานี้หูก็ได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบา ระเบียงสั่นไหวเล็กน้อย บุรุษผู้นั้นเหมือนกำลังจะเดินเข้าไปในห้อง ลู่อวิ๋นดีใจ แต่แล้วกลับได้ยินเสียงตกใจระคนยินดีของสตรีนางหนึ่งเอ่ยว่า “แม่ทัพต้วน เป็นท่านจริงหรือ” หลังจากนั้นลู่อวิ๋นก็รู้สึกว่ามีคนเดินขึ้นมาบนระเบียง ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากเสียงฝีเท้าคล้ายกับว่ามีสองคน ลู่อวิ๋นเริ่มจะอยากกุมหัวร่ำไห้แล้ว
เวลานี้เอง เขาได้ยินเสียงบุรุษผู้นั้นเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “องค์หญิง มิได้พบกันนาน ใต้เท้าเซียว ตั้งแต่จากกันสบายดีหรือไม่”
หัวใจของลู่อวิ๋นสะท้าน ตอนนี้เพิ่งฟังออกว่าสตรีนางนั้นคือพระชายาฉีอ๋องหลินปี้ ใต้เท้าเซียวผู้นั้นใช่หัวหน้าหัวหน้าองครักษ์เซียวคนนั้นที่ติดตามมากับขบวนรถของพระชายาวันนี้หรือไม่ ได้ยินองครักษ์ของจยาจวิ้นอ๋องกล่าวว่าหัวหน้าองครักษ์เซียวผู้นั้นแต่เดิมเป็นคนเป่ยฮั่น ติดตามพระชายาเข้ามาในจวนอ๋อง ได้ยินว่าวรยุทธ์สูงส่งยิ่งนัก เพียงแต่มิค่อยออกมายุ่งเรื่องต่างๆ แล้วก็มิค่อยจะโผล่หน้าออกมาให้เห็นเท่าใดนัก
หลินปี้ถอนหายใจ กล่าวขึ้นว่า “ก่อนมาข้าก็ทราบแล้วว่าท่านจะต้องเป็นเช่นนี้ เคียดแค้นที่ข้ามิยืนหยัดจนตัวตายกองทัพแตกพ่ายหรือ”
ต้วนอู๋ตี๋ตอบอย่างเย็นชา “ความจริงทุกคนทราบอยู่แล้วว่าจิ้นหยางเพียงฝืนดันทุรังต่อต้านเท่านั้น การยอมจำนนของเจ้าแคว้นก็คือการทำให้ทหารและชาวประชานับพันหมื่นสมหวัง พวกเราในฐานะขุนนาง ย่อมได้แต่ยอมรับ
แม้พริบตาเดียวทุกคนจะครองตำแหน่งสูงรับเบี้ยหวัดมากมาย ใช้ชีวิตอยู่กับลาภยศสรรเสริญ ลืมเลือนทหารและประชาชนชิ่นโจวผู้เสียสละเพื่อแผ่นดิน แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนลืมเลือนรักครั้งเก่า แต่งงานกับศัตรูคู่แค้น เสพสุขกับเกียรติยศของตำแหน่งพระชายา”
หลินปี้มิเอ่ยวาจา เพียงถอนหายใจยาว เสียงถอนหายใจเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ทันใดนั้นเสียงของบุรุษอีกคนหนึ่งก็ดังขึ้น “ต้วนอู๋ตี๋ เจ้าจะมากเกินไปแล้ว เจ้าเข้าใจความทุกข์ขององค์หญิงหรือ หากองค์หญิงมิยอมฝืนใจแต่งงาน เจ้าแคว้นไหนเลยจะยังอยู่อย่างสงบสุขมีเกียรติยศ พวกเราคนเหล่านี้ก็ล้วนจะต้องหวาดหวั่นวิตก องค์หญิงแต่งงานอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อทหารและประชาชนเป่ยฮั่นของพวกเรา อีกอย่างก่อนสิ้นใจ แม่ทัพหลงก็เคยทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ เหตุไฉนเจ้าจึงไร้มารยาทถึงเพียงนี้”
เสียงของต้วนอู๋ตี๋เปลี่ยนเป็นเสียดสีเยาะหยัน เขาตะเบ็งเสียงดังขึ้น “เช่นนั้นหรือ ข้าไปคารวะท่านแม่ทัพที่ชิ่นโจวมาแล้ว แต่กลับได้ยินผู้คนพากันร้องเพลงว่า ‘วันวานองค์หญิงเป่ยฮั่น วันนี้พระชายาฉีอ๋อง อดีตแม่ทัพลาลับ คับแค้นในสุสาน’”
ทันใดนั้นบนระเบียงก็เงียบกริบ แต่ลู่อวิ๋นสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดด้านบน ความหนักอึ้งทำให้เขาหายใจแทบมิออก แต่ในใจเขารู้สึกขัดแย้งยิ่งนัก เขารู้สึกว่าแม่ทัพต้วนคนนี้ความจริงแล้วมิได้อ่อนโยนเป็นมิตร แต่แข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว เป็นพวกซ่อนเข็มไว้ใต้อาภรณ์ แต่เขาก็รู้สึกว่าองค์หญิงจยาผิงมิได้เลวร้ายดังที่แม่ทัพต้วนกล่าว เขาอดไม่ได้ตั้งใจฟังต่อ รอคอยว่าเรื่องราวจะดำเนินไปเช่นไร
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าในตอนนี้เอง จู่ๆ สายลมวูบหนึ่งก็พัดมาเป่าตะเกียงบนระเบียงแห่งนั้นจนดับ ผิวน้ำฉับพลันมืดสนิท ลู่อวิ๋นดีใจยิ่งนัก มิมีเวลาสนใจแอบฟังต่อแล้ว ดำน้ำทวนกระแสธารขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานเขาก็ออกห่างจากระเบียง แสงโคมด้านหลังถูกจุดขึ้นมาใหม่อีกหน ลู่อวิ๋นหันกลับไปมอง เห็นบนระเบียงมีคนยืนอยู่สามคน หลินปี้สวมชุดประจำตำแหน่งพระชายา ผ้าคลุมกันลมสีเหลืองสว่างสะบัดพรึ่บพรั่บ สีหน้าหม่นหมองเศร้าสร้อย ด้านหลังนางคือหัวหน้าองครักษ์เซียวผู้ซูบผอมหน้าตาชวนสะพรึงคนนั้น
ส่วนฝั่งตรงข้ามของทั้งสองคน บุรุษวัยกลางคนสวมอาภรณ์เยี่ยงสามัญชนคนหนึ่งยืนอยู่ รูปลักษณ์สง่าสุขุม ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความลำบาก แม้ยืนตามสบาย แต่ร่างกายกับเหยียดตรงประหนึ่งต้นสนเขียวกับต้นไป๋หยาง สีหน้าบนใบหน้าเย็นยะเยือกและโกรธจัด น่าเกรงขามข่มขวัญผู้คน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเมื่อครู่เขาจะมีน้ำเสียงอ่อนโยน ท่าทีใจกว้างได้ถึงเพียงนั้น ลู่อวิ๋นมิมีเวลาคิดอันใดมาก เวลามีไม่มากแล้ว เขาพยายามว่ายทวนน้ำขึ้นไปต่อ
บนระเบียง หลินปี้กลับมาสีหน้านิ่งสงบ นางพูดอย่างใจเย็น “แม่ทัพต้วนตำหนิได้ถูกต้องแล้ว มีบางเรื่องหลินปี้คงต้องอธิบายให้ท่านเข้าใจ แม้แต่เดิมจะมิจำเป็น แต่ท่านเป็นคนสนิทตอนถิงเฟยยังมีชีวิต ข้าถือว่าท่านเป็นคนของตนเอง จึงมิต้องการปิดบังท่าน
มิผิด ตัวข้าหลินปี้ยอมกล้ำกลืนเพื่อส่วนรวม แต่งงานกับศัตรูผู้สังหารสามีจริง เรื่องนี้จะอำพรางอย่างไรก็มิมีประโยชน์ แต่ข้ากลับมิเคยเสียใจ ยามนั้นแว่นแคว้นล่มสลาย ข้าจะปลิดชีพตามสามีก็ได้ หรือจะสาบานตราบจนตายมิยอมแต่งงานก็ได้ ข้าเชื่อว่าคงมิมีผู้ใดกล้าบีบบังคับข้าให้แต่งงาน
แต่หลินปี้มิได้ตัวคนเดียว ข้าคือองค์หญิงแห่งเป่ยฮั่น แม่ทัพใหญ่แห่งไต้โจว ความตายของข้าเป็นเรื่องเล็ก แต่ต้ายงกับเป่ยฮั่นจะต้องเคียดแค้นกันมิจบสิ้นยากจะคลี่คลาย ท่านอยากเห็นประชาชนเป่ยฮั่นของพวกเราถูกข่มเหงรักแก ถูกกีดกัดเหมือนสมัยต้นราชวงศ์ตงจิ้นเช่นนั้นหรือ
มีบางเรื่องท่านมิทราบ เหตุใดวันนั้นถิงเฟยจึงต้องพูดเหมือนอนุญาตให้แต่งงานกลางสนามรบ มิใช่เพราะเขาดูแคลนข้าหลินปี้ คิดว่าหากเขาตายไปแล้ว ข้าจะมิอาจอยู่อย่างมีความสุขจึงต้องฝากฝังไว้กับผู้อื่นจึงจะวางใจ
แต่เป็นเพราะวันนั้นเขาทราบแล้วว่าเป่ยฮั่นกำลังจะล้ม หนทางเพียงหนึ่งเดียวที่จะปกป้องแผ่นดินและประชาชนคือการขอยอมจำนน ยิ่งไปกว่านั้นบางทีเขาอาจมองเจตนาบีบให้ยอมจำนนของต้ายงออกแล้ว ทั้งยังมองออกว่าท้ายที่สุดแล้วเจ้าแคว้นจะต้องยอมสวามิภักดิ์ ดังนั้นเขาจึงทิ้งจดหมายไว้ให้ข้า สั่งเสียหลังจากเขาจากไป บอกให้ข้าอย่าทิ้งหน้าที่เพราะความเคียดแค้น การสมรสครั้งนี้เป็นความต้องการของถิงเฟย”
ต้วนอู๋ตี๋โต้อย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อว่าแม่ทัพหลงจะทำเช่นนี้ เขาทิ้งจดหมายอะไรไว้ให้ท่าน เอามาให้ข้าดู”
หลินปี้ยิ้มจางๆ หยิบถุงน้อยลายยวนยางที่เริ่มเหลืองแล้วใบหนึ่งออกมา บนนั้นยังคงมีคราบเลือดที่ยังมิเลือนหาย นางส่งถุงผ้าให้ต้วนอู๋ตี๋
ต้วนอู๋ตี๋รับถุงผ้ามาด้วยสองมืออันสั่นเทา เขาทราบว่านี่คือของแทนใจที่สตรีมอบให้แก่ชายคนรัก ในอดีตซูชิงก็เคยมอบให้เขา เพียงแต่สิบสามปีก่อนยามตัดสินใจแยกจาก ถุงผ้าใบนั้นถูกนางโยนเข้าไปเผาในกองไฟแล้ว
ภายในถุงผ้ามักจะเก็บเส้นผมปอยหนึ่งเอาไว้ สื่อความหมายว่าแม้ห่างไกลพันลี้ก็จะขอติดตามอยู่ข้างกายสามี เขาเปิดถุงผ้าออกแล้วก็เห็นเส้นผมสีดำปอยหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็เห็นผ้าแพรขาวหนึ่งชิ้น เขาหยิบผ้าแพรสีขาวออกมาสะบัดกางออก บนนั้นเป็นตัวอักษรเขียนด้วยโลหิต เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว เป็นลายมือของหลงถิงเฟย
‘ยามท่านเห็นจดหมายฉบับนี้ ถิงเฟยคงสละกายเพื่อแว่นแคว้นแล้ว แม้นตายไร้เคืองแค้น แต่ยังเป็นห่วงราชวงศ์เป่ยฮั่นและแผ่นดิน เบื้องหลังข้าไร้ทายาทจึงได้แต่ฝากฝังกับท่าน ท่านโปรดข่มกลั้นความอัปยศแบกรับหน้าที่สำคัญ อย่าละเลยหน้าที่ของขุนนางที่มีต่อเจ้าแผ่นดินเพื่อความแค้นส่วนตัว’
มือของต้วนอู๋ตี๋สั่นระริก ผ้าแพรขาวหล่นร่วงลงบนพื้น หลินปี้ก้าวเข้าไปเก็บขึ้นมา นางมองผ้าแพรขาวผืนนั้น ดวงตาฉายแววเศร้าสร้อย แล้วเอ่ยขึ้นว่า “จดหมายโลหิตฉบับนี้เป็นสิ่งที่ถิงเฟยลอบมอบให้แก่ใต้เท้าเซียว ให้เขามอบให้ข้าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม หลังจากเสด็จลุงขอยอมจำนน เซียวถงก็มอบจดหมายโลหิตให้แก่ข้า ยามนั้นข้ายังมิเข้าใจความหมายของเขา ต่อมาเมื่อทราบเรื่องที่ถิงเฟยเอ่ยถึงการแต่งงานต่อหน้ากองทัพ ข้าจึงเข้าใจ
ถิงเฟยอาจเคยตกอยู่ในกลลวงเป็นเวลานาน แต่ยามความตายเยื้องกรายเข้าใกล้ ความคิดของเขากลับกระจ่างแจ่มชัด เขามองออกทุกสิ่ง เขาแน่ใจอย่างยิ่งว่าหลังจากเสด็จลุงขอยอมจำนนจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก วิธีแก้ไขปัญหานี้มีเพียงการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
ตัวข้าหลินปี้โชคไม่ดีเป็นองค์หญิงแห่งเป่ยฮั่น เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของเสด็จลุง หากข้ามิยอมแต่งเข้ามาในราชวงศ์ย่อมมิอาจสลายความเคียดแค้นได้ ข้ามิทราบว่าเขาใจเหี้ยมเกินไปหรือไม่ เพื่อความปลอดภัยของเจ้าแคว้น เพื่อสืบต่อสายเลือดเป่ยฮั่น เขาจึงตัดใจให้ข้าไปแต่งงานกับผู้อื่น
ยามนี้เมื่อนึกย้อนดู วันนั้นที่ถิงเฟยปลิดชีพตน คงมิใช่เพราะมิอาจยอมรับความอัปยศของการถูกจับเป็นเชลย แต่เพื่อจงรักภักดีจนถึงที่สุด เขา เขารู้นานแล้วว่ามิตายมิได้”
ต้วนอู๋ตี๋เงยหน้า เรียกด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “ท่านแม่ทัพ!” หลังจากนั้นจึงถามว่า “องค์หญิง เรื่องนี้ยังมีผู้ใดทราบอีกหรือไม่”
หลินปี้ส่ายหน้า “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเกียรติยศของถิงเฟย นอกจากข้ากับเซียวถง มิมีผู้อื่นล่วงรู้ แต่เดิมข้าต้องการจะเผาจดหมายโลหิตทิ้งเสีย เพียงแต่คิดว่าท่านอาจหวนคืนมา ดังนั้นจึงเก็บไว้ให้ท่านอ่าน ท่านเป็นสี่แม่ทัพใต้บัญชาของหลงถิงเฟยที่ยังเหลือรอดอยู่ หากท่านมิเข้าใจ หัวใจของข้าคงยากจะสงบสุข ถิงเฟยที่อยู่ในปรภพก็คงมิอาจนอนตายตาหลับ”
ต้วนอู๋ตี๋พูดอย่างหม่นหมอง “องค์หญิงกล้ำกลืนถึงเพียงนี้ แต่ข้ากลับเอ่ยปากตำหนิ ขอองค์หญิงอภัยต่อความผิดของข้าด้วย”
สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ หลินปี้กลับส่ายศีรษะบอกว่า “ไม่ ท่านด่าได้ถูกต้องแล้ว แม้ข้าจะตกลงแต่งงานเพราะคำฝากฝังของถิงเฟย เพื่อความสงบสุขของเป่ยฮั่น แต่หากหลี่เสี่ยนมิมีสิ่งที่ทำให้ข้าหวั่นไหว ข้าก็คงมิแต่งงานกับเขา
หากตัวข้าหลินปี้ต้องแต่งงาน เชื้อพระวงศ์ต้ายงมีบุรุษดีมากมาย ต่อให้ข้าต้องการแต่งเข้าไปในวังหลวง ตำแหน่งกุ้ยเฟยก็คงไม่หลุดลอยไปไหน
ข้ายอมรับหลี่เสี่ยน เป็นเพราะว่าเขาเป็นวีรบุรุษที่มิด้อยกว่าถิงเฟย หลายปีที่ผ่านมาข้ามิได้ทนทุกข์ หลี่เสี่ยนรักข้าจากใจจริง ข้ามิเคยเสียใจ”
หากเมื่อครู่นางเอ่ยเช่นนี้ ต้วนอู๋ตี๋คงหัวเราะหยันเท่านั้น แต่ยามนี้เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ ต้วนอู๋ตี๋กลับโล่งใจ การที่หลินปี้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เข้าไปในราชวงศ์เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น การได้ตบแต่งกับบุรุษที่ดี กับบุรุษที่สมเป็นวีรบุรุษสักคนจึงถือว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งในความโชคร้าย
หลินปี้เปิดฝาครอบของตะเกียงออก ใช้ไฟเผาจดหมายโลหิต หลังจากนั้นจึงเอ่ยว่า “อู๋ตี๋ เรื่องมาถึงตอนนี้คงมิจำเป็นต้องพูดมากมายแล้ว ยามนี้คลื่นลมสงบ จักรพรรดิต้ายงมิได้ข่มเหงพวกเรา ถิงเฟยและตัวข้าต่างนับถือความสามารถและคุณธรรมของท่านมาตลอด มิสู้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อราชสำนัก ให้มิผิดต่อชีวิตนี้ วันวานเสด็จลุงทำให้ท่านมิได้รับความเป็นธรรม หากท่านได้รับบรรดาศักดิ์ครองตำแหน่งสำคัญในต้ายง ข้าก็คงสงบใจขึ้นมาก”