ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 146 หนึ่งระบำงามล่มเมือง (4)
เวลานี้นักดนตรีหญิงที่หนานฉู่คัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันเหล่านั้นเดินเข้ามาในโถงตำหนักแล้ว นักดนตรีเหล่านี้ล้วนเป็นสตรีรูปโฉมงดงาม แม้จะงามสง่าสู้หลิ่วหรูเมิ่งมิได้ แต่ก็ดูงามตายิ่งนัก เพียงแต่พอหญิงสาวเหล่านี้เข้าตำหนักมา แต่ละคนกลับตัวสั่นงันงก เพระว่าหลี่เสี่ยนมิได้เก็บบรรยากาศคุกคามของตนกลับไป
หญิงสาวเหล่านี้มิกล้ามองสบตาเขาตรงๆ แม้แต่เครื่องดนตรีในมือก็คล้ายกับจะไม่คุ้นมือยิ่งนัก เสียงดนตรีสะดุดจนแทบจะมิเป็นเพลง ซั่งเฉิงเยี่ยที่อยู่ด้านข้างเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ห้ามตนเองมิอยู่ออกปากตำหนิเบาๆ หญิงสาวที่ดีดเจิงอยู่นางหนึ่งตื่นตระหนกหวาดผวาหนักกว่าเดิมจนมือสั่น ดีดสายเจิงเส้นหนึ่งขาดผึง นางตกใจกลัวลงไปคุกเข่าหมอบอยู่บนพื้นทันที มิกล้าเงยหน้าขึ้นมา
หลี่เสี่ยนเห็นเช่นนี้พลันปั้นหน้าเกรี้ยวโกรธ ชี้หญิงสาวที่ดีดเจิงผู้นั้นแล้วสั่งว่า “บ่าวต่ำต้อยไร้มารยาท ทำลายความสุนทรีย์ยามชมระบำของข้า”
แม่ทัพในตำหนักเห็นหลี่เสี่ยนโกรธเกรี้ยว แม้จะเห็นใจคนงาม แต่ก็มิกล้าเอ่ยสอด บางคนที่ใจกล้าหน่อยหันไปมองเจียงเจ๋อกับจิงฉือ ภายในตำหนักหลังนี้มีเพียงพวกเขาสองคนที่มีสิทธิ์เอ่ยวาจาเกลี้ยกล่อมคิดมิถึงว่าจิงฉือกลับนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน มิรู้ว่าความคิดล่องลอยไปที่ใด ส่วนเจียงเจ๋อกลับจับจ้องร่างหลิ่วหรูเมิ่ง สีหน้าคล้ายหลงใหลเคลิบเคลิ้ม ไม่มีเวลาว่างมาคิดขอความเมตตา
ดูท่าหญิงสาวนางนี้คงจะต้องโทษหนักในเวลาอีกไม่นาน หลิ่วหรูเมิ่งแต่เดิมก็เป็นผู้รักความยุติธรรมและมีเมตตา เมื่อเห็นเช่นนี้จึงกล่าวขึ้นมาเสียงดังว่า “บารมีของท่านอ๋องน่าเกรงขามเท่าขุนเขา พวกผู้น้อยได้เข้าเฝ้าจึงหวาดกลัว เป็นสิ่งที่ช่วยมิได้ ไยต้องลงโทษหญิงสาวอ่อนแอไร้ความผิดด้วยเล่า หากท่านอ๋องต้องการชมระบำของผู้น้อย ผู้น้อยสามารถระบำไร้บทเพลง ไร้เครื่องดีดสีตีเป่าก็มิใช่ปัญหา”
หลี่เสี่ยนได้ยินดังนั้นพลันหัวเราะลั่น ตอบว่า “ดี หลิ่วหรูเมิ่ง บังอาจไร้มารยาทเช่นนี้ เดิมข้าสมควรลงโทษ แต่ในเมื่อเจ้ากล้าเอ่ยวาจาโอหังเช่นนี้ ข้าก็อยากชมระบำไร้บทเพลงของเจ้าสักหน่อย หากระบำได้ไม่ดี ความผิดทั้งสองประการก็ลงโทษมันพร้อมกัน เจ้าจงคิดให้กระจ่าง”
หลิ่วหรูเมิ่งยิ้มน้อยๆ เท้าดอกบัวเยื้องย้างแผ่วเบามากลางห้องโถง ชายแขนเสื้อยาวโบกสะบัด เริ่มระบำอย่างชดช้อย แม้ไร้บทเพลง ทว่าท่วงท่าการร่ายรำอันพลิ้วไหวของนางเสมือนแฝงท่วงทำนองแห่งธรรมชาติ กำไลกระทบดังกรุ๋งกริ๋ง เสียงหยกและโลหะอันไพเราะดังขึ้นในหูทุกคนอย่างต่อเนื่องจนค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองของบทเพลงแห่งการร่ายรำ เรือนร่างอรชรขยับพลิ้ว จังหวะเท้าอันซับซ้อนแปรเปลี่ยนหลากหลายเป็นเอกลักษณ์ หนึ่งระบำอันไร้กรอบทว่าเปี่ยมอารมณ์ได้ฉกชิงหัวใจของผู้คน
หลิ่วหรูเมิ่งร่ายรำอย่างเต็มที่ ห้วงเวลานี้หัวใจนางเหมือนได้ยินเสียงขลุ่ยอันไพเราะที่คอยเคียงข้างยามนางระบำมาหลายปี ไยต้องพึ่งเครื่องดีดสีตีเป่าหรือบทเพลงใดอีก ในเมื่อท่วงทำนองนั้นอยู่ในหัวใจของนาง
มิมีโอกาสพบหน้าเขาอีกแล้ว มิอาจร่ายรำตามหัวใจตนอีกต่อไปแล้ว นับจากวันนี้ตนจะเป็นเพียงนกขมิ้นในกรงขัง ปราศจากอิสระหรือความสุขให้เอ่ยถึง ความโศกเศร้าคับแค้นในหัวใจแปรเปลี่ยนเป็นท่วงท่าระบำ แม้ผู้คนในโถงตำหนักจะเป็นบุรุษหยาบกระด้างผู้มิรู้จักศิลปะ แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความโศกสลดสร้อยเศร้าที่ท่วมท้นอยู่ในการร่ายรำไร้บทเพลงของหลิ่วหรูเมิ่ง
เมื่อหลิ่วหรูเมิ่งระบำจบ ในตำหนักพลันมีเสียงสะอื้นดังระงม หลิ่วหรูเมิ่งก้มหน้ายอบกายคำนับ ชายแขนเสื้อยาวทิ้งตัวลงเบื้องล่าง ก้มตัวคารวะอย่างชดช้อย มิปรารถนาให้ผู้ใดเห็นหยาดน้ำที่ปริ่มล้นอยู่ในดวงตาของนาง
หลี่เสี่ยนถอนหายใจยาว แม้แต่ผู้มีหัวใจแข็งแกร่งเช่นเขาก็ยังเกือบหลั่งน้ำตา แต่เดิมเขาคิดเอาไว้แล้วว่าจะมอบนางระบำและนักดนตรีที่หนานฉู่ส่งมาหนนี้ให้เป็นรางวัลแก่แม่ทัพทั้งหลายในกองทัพ แต่เวลานี้กลับเปลี่ยนใจ ถามขึ้นมาว่า “ฝีมือการร่ายรำของเจ้าใต้หล้าไร้ผู้ใดเทียบเทียบมจริงๆ มิเสียทีถูกขนานนามว่าอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน ในจวนของข้ายังขาดอาจารย์สอนสั่งการขับร้องร่ายรำอยู่ตำแหน่งหนึ่ง มิทราบว่าเจ้ายินดีรับตำแหน่งนี้หรือไม่”
ดวงตาของหลิ่วหรูเมิ่งทอประกายเย็นชา ตอบเสียงราบเรียบว่า “ตัวผู้น้อยเดินทางมาเป็นของบรรณาการ เป็นตายตนเองล้วนมิอาจกำหนด ท่านอ๋องไยต้องถามด้วยเล่า”
เดิมทีหลี่เสี่ยนหามีเจตนาร้ายไม่ นับตั้งแต่แต่งงานกับองค์หญิงจยาผิงหลินปี้ เขาก็หมดความสนใจต่อดอกไม้ริมทางแล้ว เวลานี้เขาเพียงชมชอบฝีมือของหลิ่วหรูเมิ่ง จึงตั้งใจจะปกป้องนางเท่านั้น เขาคิดไว้แล้ว่าจะให้หลินปี้เป็นผู้จัดการหาที่ลงหลักปักฐานสักแห่งให้สตรีนางนี้ แต่คำตอบของหลิ่วหรูเมิ่งกลับเย็นชาถึงเพียงนี้ ทำให้หลี่เสี่ยนประหลาดใจนัก กล่าวขึ้นว่า “ฟังจากคำตอบของเจ้า หากตัวเป็นอิสระ เจ้าจะมิยินดีติดตามข้ากลับจวนอ๋องหรือไร เจ้ามิต้องเสแสร้งปิดบัง จงตอบอย่างตรงไปตรงมา ข้ายังมีความใจกว้างเท่านี้อยู่”
หลิ่วหรูเมิ่งแต่เดิมในหัวใจก็เคียดแค้นอยู่ก่อนแล้ว ยามนี้เมื่อได้ยินดังนี้ มิว่าจริงหรือลวง นางก็เอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ผู้น้อยเป็นคนฉู่ ไฉนจะยอมก้มหัวทำงานให้ศัตรู”
หนึ่งถ้อยคำก่อเกิดคลื่นนับพัน เดิมทีผู้คนมากกว่าครึ่งหนึ่งในโถงตำหนักต่างชื่นชมรูปโฉมและความสามารถของนาง คิดมิถึงว่านางจะเอ่ยถ้อยคำล่วงเกินเช่นนี้ สำหรับสตรีนางหนึ่งผู้ถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ ความกล้าหาญเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก มิว่าโกรธเกรี้ยวหรือนับถือ สายตาของผู้คนทั้งหลายล้วนจับจ้องรวมกันอยู่บนร่างของหลิ่วหรูเมิ่ง เพียงแต่มิทราบว่าหลี่เสี่ยนจะจัดการเช่นไร
หลี่เสี่ยนมิได้โกรธเกรี้ยว ตั้งแต่แรกเขาก็จงใจทำตัวโอหังเพื่อกลั่นแกล้งซั่งเฉิงเยี่ยอยู่แล้ว เขามิคิดอันใดเป็นพิเศษกับนางระบำและนักดนตรีหญิงที่ถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการเหล่านี้ การหยั่งเชิงทั้งหลายที่กระทำต่อหลิ่วหรูเมิ่งล้วนเป็นเพียงการนึกสนุกชั่ววูบ พอเห็นหลิ่วหรูเมิ่งเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมาเขากลับรู้สึกว่าช่างเหมาะกับรูปลักษณ์และลักษณะของนาง แต่เดิมเขาคิดจะหัวเราะแล้วละเว้นโทษให้ ทว่าสายตาบังเอิญกลอกไปเห็นดวงตาตกอยู่ในภวังค์ ท่าทางคล้ายเคลิบเคิ้มหลงใหลของเจียงเจ๋อเข้าพอดี เขาจึงตกตะลึงอย่างห้ามมิได้
เขารู้ดีว่าเจียงเจ๋อมิเคยสนใจนารี อาการเสียกิริยาในยามนี้จึงแปลกประหลาดอย่างแท้จริง หรือว่าเขาจะหวั่นไหวกับสตรีนางนี้เข้าให้แล้วหรือ เวลานี้หลี่เสี่ยนมิทันคิดอย่างสิ้นเชิงว่าคนผู้นี้คือน้องเขยของตนเอง ตรงกันข้ามเขากลับนึกอยากกลั่นแกล้ง จึงแสร้งเปลี่ยนสีหน้า “มีอย่างที่ไหน ข้าให้เกียรติคนต้อยต่ำอย่างเจ้า เจ้ากลับกล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินเช่นนี้ ทหาร คุมตัวสตรีนางนี้ออกไปลงโทษให้หนัก เฆี่ยนหนึ่งร้อยแส้ จากนั้นส่งนางไปทำงานหนักในค่ายทหาร”
พอคำพูดนี้เอ่ยออกมา มิเพียงนักดนตรีสาวเหล่านั้นที่ตัวสั่นเทา หวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง แม้แต่แม่ทัพต้ายงทั้งหลายก็รู้สึกทนมิได้เช่นเดียวกัน มีเพียงซั่งเฉิงเยี่ยผู้นึกแค้นหลิ่วหรูเมิ่งที่พูดจาเหลวไหลและกลัวแต่การเจรจาสงบศึกจะล้มเหลวเท่านั้นที่รู้สึกสาแก่ใจ มิคิดจะออกหน้าขอความเมตตาแม้แต่น้อย ผู้คนทั้งหลายที่เห็นยิ่งรู้สึกดูแคลนเขามากขึ้นกว่าเดิม
องครักษ์สองนายเดินเข้ามาในตำหนัก ก้าวเข้าไปตั้งท่าจะลากหลิ่วหรูเมิ่งออกไปลงโทษ หลิ่วหรูเมิ่งมิคร่ำครวญวิงวอน นางเพียงมองหลี่เสี่ยนอย่างเฉยชา ดวงเนตรงามเต็มไปด้วยความดูแคลน มิรอให้องครักษ์สองคนนั้นลากตัวไป นางก็ก้าวเดินออกไปด้วยตนเอง คล้ายกับว่าสิ่งที่กำลังจะต้องเผชิญมิใช่ความเจ็บปวดแสนสาหัส
โหรวหลันเห็นเช่นนี้ก็ตกใจยิ่งนัก นางคิดในใจว่า แม้หลิ่วหรูเมิ่งผู้นั้นจะขัดแย้งกับท่านลุงฉีอ๋องจริง แต่เหตุไฉนท่านพ่อจึงมิเอ่ยวาจาช่วยเหลือเล่า ดูท่าคงมีเพียงตนเองเท่านั้นที่ออกหน้าช่วยแม่นางหลิ่วผู้น่านับถือคนนี้ได้ ขณะที่นางกำลังรวบรวมความกล้าเพื่อขอความเมตตานั่นเอง จู่ๆ ดวงตาของเจียงเจ๋อก็กลับมาใสกระจ่างอีกหน เขาเอ่ยเสียงกังวานว่า “ช้าก่อน ท่านอ๋อง แม้สตรีนางนี้จะล่วงเกินท่าน แต่ขอองค์ชายเห็นแก่ความสามารถของนาง อย่าลงโทษนางหนักหนา มิให้ผู้คนเยาะหยันว่าต้ายงของพวกเราจิตใจคับแคบ”
หลี่เสี่ยนดีใจยิ่งนัก คิดในใจว่าหรือตนจะตามหาจุดอ่อนอันหาได้ยากยิ่งของคนผู้นี้พบแล้ว จึงถามหยั่งเชิงว่า “หรือว่าสุยอวิ๋นจะชื่นชอบรูปโฉมความสามารถของสตรีนางนี้ ฮ่าๆ นี่นับเป็นบุญของหญิงสาวผู้นี้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ามอบนางเป็นอนุภรรยาของท่านเป็นอย่างไร”
ข้าได้ยินพลันตกตะลึง รีบร้อนตอบว่า “นี่จะได้อย่างไร”
หลี่เสี่ยนแสร้งตีสีหน้า “ในเมื่อสุยอวิ๋นไร้ใจ ถ้าเช่นนั้นข้าก็มิยุ่งไม่เข้าเรื่องแล้ว รีบพาหลิ่วหรูเมิ่งออกไปลงทัณฑ์”
หัวใจข้าเจ็บปวด ถึงจะสังเกตเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของหลี่เสี่ยน แต่ก็ต้องเอ่ยปากอย่างช่วยมิได้ “ท่านอ๋องโปรดไว้ไมตรี ในเมื่อมอบสตรีนางนี้ให้กับท่านโหวอย่างข้าแล้ว หากจะลงโทษก็สมควรให้เจียงเจ๋อเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง”
หลี่เสี่ยนได้ยินดังนั้น ในใจก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แต่มิกล้าแสดงออกมา เพียงได้ยินเจียงเจ๋อยกยศโหวของตนเองออกมาพูดก็ทราบแล้วว่าเขาโมโหอย่างยิ่ง แต่เป้าหมายของเขาก็บรรลุแล้วเช่นกัน จึงหัวเราะลั่นตอบว่า “ได้ ส่งหลิ่วหรูเมิ่งไปยังที่พักของผู้ตรวจการกองทัพ ดูแลให้ดี อย่าให้บาดเจ็บแม้แต่น้อย”