ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 149 ตราบชั่วฟ้าดินสลาย (2)
ดวงตาของชิวอวี้เฟยฉายแววฉงน ถามว่า “มิใช่ท่านให้ชื่อจี้ส่งข่าวมาบอกข้าหรือ ข้าทราบข่าวก็ลอบหนีออกจากสถานที่กักตนฝึกวิชา ระหว่างทางถูกศิษย์พี่ใหญ่มาขวาง เพื่อสลัดหนี ข้าจึงทำได้เพียงฝืนรับหนึ่งฝ่ามือของศิษย์พี่ใหญ่ โชคยังดีศิษย์พี่ใหญ่ยั้งมือไว้ไมตรี มิเช่นนั้นข้าคงตายอยู่กลางทางแล้ว”
ข้าฟังจบก็ถามขึ้นมาอย่างอดมิอยู่ “หรือว่าคุณชายใหญ่ต้วนก็มาถึงเหอเฝยแล้วหรือ”
ชิวอวี้เฟยกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ตอบว่า “เกรงว่าจะนำเรื่องยุ่งยากมาให้ท่านเสียแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่รับคำสั่งมาจากท่านอาจารย์ เขาย่อมมิมีวันรามือเป็นแน่ เกรงว่าอีกไม่นานเขาคงเดินทางมาถึงเหอเฝย”
ในหัวใจข้าเต็มไปด้วยม่านหมอกแห่งความสงสัย คนทั้งหลายในค่ายลับกำลังทำบ้าอันใดกันอยู่ เรื่องหลิงอวี่มิรายงานข้า แต่กลับเปลืองเรี่ยวแรงมากมายถึงเพียงนั้นส่งข่าวไปบอกอวี้เฟย แล้วยังให้ชื่อจี้ที่ออกจากค่ายลับไปแล้วมาเกี่ยวข้องด้วยอีก กำลังอยากจะถามถึงสายสนกลในของเรื่องนี้อย่างละเอียด ฮูเหยียนโซ่วก็ผลุนผลันเดินเข้ามารายงานว่า “ท่านโหว ผู้น้อยสืบถามมาแล้ว ได้ยินองครักษ์ของจยาจวิ้นอ๋องบอกว่าพอจวิ้นอ๋องทราบว่าสตรีนางนั้นเป็นทายาทที่หลงเหลืออยู่ของสำนักเฟิงอี้ก็เคียดแค้นนัก จวิ้นอ๋องตรัสว่าหากมิใช่เพราะสำนักเฟิงอี้ก่อกบฏ มารดาผู้ให้กำเนิดเขาก็คงมิพบภัย ดังนั้นจึงต้องการสังหารคนระบายโทสะ”
ข้ายังมิทันตอบสนอง ชิวอวี้เฟยก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเย็นชา “สุยอวิ๋น นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ข้าจึงได้แต่บอกอย่างละอาย “อวี้เฟยโปรดอภัยที่ข้าพลาดพลั้งมิทันสอดส่อง ข้าเพิ่งทราบว่าแม่นางหลิงอวี่อยู่ในรายการของบรรณาการด้วย ดังนั้นจึงออกคำสั่งให้แม่ทัพฮูเหยียนไปพาตัวคนมา”
ชิวอวี้เฟยฟับจบร่างกายก็สะท้านเบาๆ เขามองข้าอย่างเย็นชา ดวงตาเปี่ยมด้วยความคลางแคลง ข้าทราบว่าเขาคงมิเชื่อคำพูดนี้ง่ายๆ หากชื่อจี้ส่งข่าวบอกเขาได้ ข้าจะมิรู้ได้เช่นไร ขณะที่กำลังคิดจะอธิบายให้เขาฟัง ชิวอวี้เฟยก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปแล้ว แม้สีหน้าเย็นชาเคร่งเครียด แต่ท่าทางค่อนข้างนิ่งสงบ
ทว่าหลังจากผลักประตูเดินออกไป เงาร่างของเขาหายลับจากประตูมิทันไร ประตูไม้หนาหนักบานนั้นเบื้องหน้าข้าก็ปริแตก ข้ามองเศษไม้ขนาดเท่าฝ่ามือกองนั้นอย่างอึ้งงัน หัวใจหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ ในสมองสับสนวุ่นวายไปหมด ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าคุ้นชินกับการที่เรื่องราวรอบตัวอยู่ในกำมือ แต่เรื่องราวที่พลิกผันไปมาในวันนี้ล้วนหลุดพ้นจากการควบคุม ทำให้ข้ารู้สึกทำอันใดมิถูกจริงๆ
มิรู้นิ่งอึ้งไปนานเท่าใด ข้าลุกขึ้นยืน ตะโกนดังลั่น “เสี่ยวซุ่นจื่อ ตามข้าไปหาหลี่หลินเดี๋ยวนี้ หวังว่าจะยังมีหนทางกอบกู้สถานการณ์อยู่บ้าง เหตุไฉนหลี่หลินก่อเรื่องเช่นนี้กัน” ข้านึกเสียใจที่ตนเองละเลยปมในหัวใจของหลี่หลิน ขณะเดียวกันก็คาดหวังว่าหลิงอวี่จะยังปลอดภัยไร้อันตราย หากชิวอวี้เฟยกับหลี่หลินทะเลาะกันขึ้นมา นั่นย่อมเป็นหายนะครั้งใหญ่หลวง
ทว่าเพียงชั่วความคิดแล่นก็นึกขึ้นมาได้อีกว่าต่อให้หลิงอวี่ปลอดภัย หากต้วนหลิงเซียวไล่ตามมาเล่าสมควรจะจัดการเช่นไรอีก ความคิดสับสนผูกกันเป็นปมนับพันหมื่น รู้สึกเหมือนศีรษะจะบวมเท่ากระบวยแล้ว
เสี่ยวซุนจื่อเงียบสนิท เขาเพียงสั่งการให้เตรียมรถม้า คุ้มกันเจียงเจ๋อรีบร้อนจรลีจนฝุ่นฟุ้งตลบ ทั้งยังพาองครักษ์หกเจ็ดส่วนในจวนไปด้วย ถึงอย่างไรเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ก็คงตึงมือยิ่งนัก
ชิวอวี้เฟยออกจากจวนของเจียงเจ๋อ หัวใจก็สับสนวุ่นวาย เมื่อครู่โทสะพลุ่งพล่านชั่วขณะเขาจึงสะบัดแขนเสื้อจากมา เมื่อถูกสายลมหนาวด้านนอกพัดใส่ เขาก็ใจเย็นลงบ้างแล้ว พอครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน มิว่าอย่างไรก็รู้สึกว่าเจียงเจ๋อมิน่าจะเล่นลูกไม้อะไรในเรื่องนี้ แม้เขาจะรู้ว่าเจียงเจ๋อมิเห็นด้วยเรื่องเขากับหลิงอวี่เช่นกัน แต่หากเขาตั้งใจจะทำร้ายหลิงอวี่ก็มิจำเป็นต้องรอจนถึงวันนี้ มิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับเรื่องนี้กันแน่ แต่ตนเองต้องไปช่วยหลิงอวี่มาจากจยาจวิ้นอ๋องก่อนถึงจะสำคัญที่สุด
ทว่าเมื่อกวาดสายตามองรอบด้านกลับดันมิรู้ทาง จะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าจวนของจยาจวิ้นอ๋องอยู่ที่ใด อยากจะกลับไปถามเจียงเจ๋อก็รู้สึกว่าขายหน้า อีกอย่างมิว่าอย่างไรเจียงเจ๋อกับจยาจวิ้นอ๋องก็เป็นญาติเกี่ยวดองกัน อย่างไรเสียก็คงชนะคนนอกคนนี้เช่นตน เขาตัดใจยกเท้าก้าวเดิน ตัดสินใจว่าจะถามทางกับพลทหารสักนายเอา อย่างไรเสียยามนี้ภายในเมืองเหอเฝยก็มีพลทหารของกองทัพต้ายงอยู่ทุกที่
เขากำลังจะก้าวเท้า ด้านหลังก็มีทหารสวมชุดราชองครักษ์หู่จีคนหนึ่งสาวเท้าเร็วรี่เข้ามาพลางตะโกนบอกว่า “คุณชายสี่รอประเดี๋ยว ผู้น้อยได้รับคำสั่งจากท่านโหวให้มานำทางแก่คุณชายสี่”
ชิวอวี้เฟยงุนงงครู่หนึ่ง สายตาเลื่อนไปจับบนใบหน้าของคนผู้นั้น จดจำได้ว่าเมื่อครู่เคยเห็นคนผู้นี้อยู่ในจวนของเจียงเจ๋อ หัวใจอุ่นวาบ แต่ปากเอ่ยตอบอย่างเย็นชา “เจียงเจ๋อบอกว่าอย่างไร”
องครักษ์ผู้นั้นคำนับตอบว่า “ท่านโหวสั่งว่าให้ผู้น้อยนำทางคุณชายสี่ไปพบจยาจวิ้นอ๋อง แล้วท่านโหวยังบอกอีกว่าแม้จยาจวิ้นอ๋องจะเยาว์วัยแต่ใจกว้างกว่าผู้ใด เขาน่าจะมิทำอันตรายแม่นางหลิงอวี่จริงๆ ขอคุณชายสี่อย่าเพิ่งร้อนรนจนเกินไป ทำการอย่างรอบคอบ รอคุณชายสี่ช่วยคนออกมาแล้ว ท่านโหวจะอธิบายความเข้าใจผิดในเรื่องนี้ให้คุณชายสี่ฟังด้วยตนเอง”
ชิวอวี้เฟยฟังจบก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย กล่าวตอบว่า “เจ้านำทางไปเถิด”
องครักษ์ผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นคนฉลาดเฉลียวทำงานเก่งยิ่งนัก เขานำทางชิวอวี้เฟยเดินลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอย เวลาผ่านไปมิถึงสองก้านธูปก็มาถึงจวนที่มีราชองครักษ์คุ้มกันอย่างเข้มงวดแห่งหนึ่ง
ชิวอวี้เฟยกำลังจะถามองครักษ์คนนั้นว่าใช่ที่แห่งนี้หรือไม่ ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงพิณไพเราะคุ้นหูลอยมาตามสายลม มันคือบทเพลงชมโฉมกล้วยไม้ที่เขาเคยชี้แนะหลิงอวี่ ความหมายของบทเพลงนี้คือความเศร้าโศกต่อชะตากรรมของตนเองและการทะนงในความดีงามของตนท่ามกลางความเดียวดาย ทว่ายามนี้ชิวอวี้เฟยฟังแล้วกลับรู้สึกว่าเสียงพิณคล้ายเสียงคร่ำครวญร่ำไห้นั่นแฝงความรู้สึกคิดถึงคะนึงหาอยู่เลือนราง
ตัวเขาเป็นปรมาจารย์แห่งศาสตร์ดนตรี เพียงชั่วความคิดก็ทราบว่าเรื่องราวระหว่างตนกับหลิงอวี่ มิใช่ตนมีใจให้อยู่ฝ่ายเดียว หากมิใช่ว่าหลิงอวี่มีใจรักตนอยู่เช่นกัน นางย่อมไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งเช่นนี้ยามบรรเลงบทเพลงบทนี้ พิณถ่ายทอดเสียงของหัวใจ ดังนั้นมันจึงทำให้บทเพลงที่แต่เดิมเศร้าสลดเพลงนี้มีความหวานละมุนขึ้นมาหลายส่วน
ชิวอวี้เฟยฟังจนเผลอไผล ถึงกับลืมเลือนสิ้นทุกสิ่ง ยืนนิ่งงันอยู่กลางสายลมเหมันต์ เฝ้าแต่แค้นใจตนเองที่จากมาอย่างรีบร้อน จนแม้แต่พิณก็มิได้นำติดมาด้วย มิฉะนั้นยามนี้เขาจะต้องบรรเลงสักเพลง บอกหลิงอวี่ว่าสองปีที่ผ่านมาตนเองเฝ้าตรอมใจคะนึงหาคนงามมากมายเท่าใด
เสียงพิณค่อยๆ แผ่วเบาลง ชิวอวี้เฟยพลิ้วกายวูบเดียวก็กระโดดข้ามกำแพงสูง เงาร่างของเขาประหนึ่งภาพมายา โฉบฉิวผ่านหมู่หออาคาร องครักษ์ภายในจวนมิได้คุ้มกันเข้มงวดจึงมิเป็นอุปสรรคแม้แต่น้อย
ในตอนนี้เอง เสียงพิณก็ดังขึ้นอีกหน หนนี้บทเพลงที่บรรเลงกลับเป็นเพลงพรากสกุณา โศกเศร้าแต่ไร้ความโกรธแค้น ขณะเดียวกันก็แฝงความอ่อนหวาน เสียงพิณเสมือนสายน้ำรินไหล แต่กลับถ่ายทอดความเศร้าสร้อยทุกข์ระทมของผู้บรรเลงพิณออกมาจนหมดสิ้น
ชิวอวี้เฟยราวกับได้รับรู้อดีตอันทุกข์ยากตกระกำลำบากทั้งมวลของสตรีบอบบางนางหนึ่งภายในเวลาชั่วครู่เดียว เลือดลมในอกพลุ่งพล่าน โลหิตคำหนึ่งดันขึ้นมาในลำคอ แต่ถูกเขาฝืนกลืนลงไป ตัวเขาเป็นผู้แตกฉานในเรื่องดนตรี ความโศกเศร้าทุกข์ระทมเหลือคณาที่อยู่ในเสียงพิณนี้จึงทำร้ายเขาได้มากที่สุด
เมื่อเขาไล่ตามเสียงพิณจนหาโถงบุปผาที่หลิงอวี่อยู่จากท่ามกลางหมู่หออาคารมากมายพบในที่สุด ฉับพลันเสียงพิณก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในนั้นแฝงการตัดสินใจอันแน่วแน่ประการหนึ่ง ชิวอวี้เฟยตกใจยิ่งนัก เขาเหินร่างข้ามเวหา เท้าสะกิดพื้นมิทิ้งรอยหิมะถลาเข้าไปในโถงบุปผาแห่งนั้น มิสนใจเสียงตะโกนตกใจกับเสียงนกหวีดแจ้งเตือนที่ดังระงมขึ้นตรงนั้นตรงนี้รอบด้านอย่างสิ้นเชิง
เขาถีบประตูใหญ่ของโถงบุปผาแหลกเป็นเศษซากแล้วมองเข้าไปด้านใน เห็นหลิงอวี่ที่พรากจากกันมาสองปีนั่งเหยียดหลังสง่ากำลังบรรเลงพิณ กระถางเครื่องหอมข้างพิณมีควันลอยวนเวียนอ้อยอิ่ง ธูปหอมสามดอกเผาไหม้หมดแล้ว เบื้องหน้าหลิงอวี่คือเด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำที่ถือกระบี่คมกริบอยู่ในมือ กระบี่กำลังจ่อจรดไปที่ลำคอของหลิงอวี่ ฝ่ายหลิงอวี่สีหน้านิ่งสงบเรียบเฉย เสมือนหนึ่งมองมิเห็นกระบี่คมกริบเล่มนั้น ราวกับว่านางมิสนใจไยดีความเป็นความตาย
ทว่าชิวอวี้เฟยฟังจากเสียงพิณที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อครู่ออกว่าในหัวใจของหลิงอวี่ก็มีความโศกเศร้าคับแค้นต่อความอยุติธรรมอัดแน่นอยู่เต็มอกเช่นกัน