ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 152 ตราบชั่วฟ้าดินสลาย (5)
บุรุษอาภรณ์สีเทาผู้นั้นเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็มีแววตากังวลปรากฏขึ้นในดวงตา สายตาหันไปจับบนร่างหลี่หลินที่ถูกเจียงเจ๋อเรียกไปต่อว่าเสียงเบาอยู่ข้างตัว ทันใดนั้นดวงตาก็ทอประกายเย็นยะเยือก
หลี่หลินที่แต่เดิมกำลังก้มหน้าสำนึกผิดอยู่จู่ๆ กลับรู้สึกเสมือนแรงกดดันหนักอึ้งเท่าขุนเขาโถมเข้ามาใส่หน้า เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างช่วยมิได้ ก่อนจะเห็นนัยน์ตาสีดำลึกล้ำเปี่ยมจิตสังหารราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชนเลือนรางกำลังจ้องมองมาที่ตน หน้าอกราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรง เพียงพริบตาเดียวลมหายใจก็คล้ายถูกสกัดกั้น หากมิใช่เพราะตัวเขามีสันดานดื้อรั้นฝืนตนเองให้สบตากับคนผู้นั้น น่ากลัวว่าเขาคงลงไปคุกเข่ากับพื้นแล้ว
เวลานี้เอง ร่างกายของเสี่ยวซุ่นจื่อพลันขยับเล็กน้อยมาขวางสายตาของบุรุษผู้นั้น หลี่หลินพลันรู้สึกเข่าอ่อน ความรู้สึกเบาโหวงยามแรงกดดันยนร่างมลายหายไปทำให้เขาเกือบจะทรุดยวบลงไปที่พื้น โชคยังดีฮูเหยียนโซ่วที่อยู่ด้านข้างประคองเขาเอาไว้ทัน
เพียงแต่ว่าหลี่หลินมองอย่างไรก็รู้สึกว่าแววตาของฮูเหยียนโซ่วมิเป็นมิตร เรี่ยวแรงที่มือก็เหมือนจะมากเกินจำเป็นอยู่บ้าง ทันใดนั้นหลี่หลินก็นึกความเป็นมาของเติ้งโหวซูชิงภรรยาของฮูเหยียนโซ่วได้เมื่อสาย เขาเกือบจะแหงนหน้ากู่ร้องต่อสวรรค์ประท้วงความอยุติธรรมแล้ว เขามิทันรู้ตัวเลยว่าความแค้นที่เคยซุกซ่อนอยู่ในหัวใจมานานหลายปีกำลังเลือนรางหายไปจนมิหลงเหลือร่องรอยแม้แต่น้อย
กลับมากล่าวถึงบุรุษผู้นั้นกับเสี่ยวซุ่นจื่อที่ประสานสายตากันอยู่ ระยะห่างไม่กี่ฉื่อระหว่างทั้งสองคนคล้ายกลายเป็นห้วงอากาศที่ถูกปิดกั้น ลมปราณอันแข็งแกร่งพุ่งถาโถมเข้าใส่กัน พวกมันปะทะหยั่งเชิงแล้วหลีกหลบซ้ำไปมานับครั้งมิถ้วนครั้ง หากมิใช่ว่าทั้งสองคนนี้เห็นพ้องต้องกันว่าต่างคนจะลอบต่อสู้กันโดยใช้พลังภายในหยุดยั้งอีกฝ่าย เกรงว่าการต่อสู้หนนี้คงประหนึ่งอสนีบาตผ่าสะเทือนถึงสวรรค์ ถึงยามนั้นเกรงว่าภายในสวนคงมิมีผู้ใดอยู่ต่อได้อีก ยิ่งมิต้องพูดถึงการให้ชิวอวี้เฟยโคจรลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ ดังนั้นผ่านไปเพียงครู่เดียวทั้งสองคนจึงรามือเงียบๆ อย่างเห็นพ้องต้องกัน
เวลานี้เอง หลี่หลินก็ก้มหน้าเดินเข้ามา ในมือประคองกล่องแปดเหลี่ยมลวดลายงดงามใบหนึ่ง สายตาของบุรุษผู้นั้นทอประกายวูบหนึ่ง เขาเห็นตัวอักษรบรรจงคำว่า ‘โอสถหวนเยาว์วัย’ ที่อยู่บนกล่องหรูหราใบนั้นแล้ว นี่เป็นโอสถวิเศษที่วัดเส้าหลินปรุงขึ้นมาได้หนึ่งหม้อต่อหนึ่งร้อยปี หากกล่าวถึงยารักษาอาการบาดเจ็บภายในทั่วใต้หล้า มิมียาใดเหนือกว่ามัน แม้แต่ยาที่หมอเทวดาซังเฉินปรุงขึ้นมาก็ยังเทียบมิได้ ในสถานการณ์เช่นนี้มันเป็นยาวิเศษที่ชิวอวี้เฟยจำเป็นต้องใช้มากที่สุด
สายตาที่บุรุษผู้นั้นมองหลี่หลินอ่อนโยนลงมาก ความล้ำค่าของ ‘โอสถหวนเยาว์วัย’ มิจำเป็นต้องบอกกล่าว แม้แต่ฐานะเช่นหลี่หลินก็คงได้มาครอบครองยากเย็นยิ่งนัก แต่ชั่วขณะนี้เขาไม่มีอารมณ์ขบคิดว่าหลี่หลินได้โอสถนี้มาได้เช่นไร เขายื่นมือไปรับแล้วยัดเข้าไปในปากของชิวอวี้เฟย ก่อนจะวางฝ่ามือกลางแผ่นหลังของชิวอวี้เฟย ถ่ายทอดลมปราณช่วยเขารักษาอาการบาดเจ็บ
หลี่หลินโล่งอก เขาทราบว่าความตั้งใจขอสงบศึกของตนได้รับการยอมรับจากต้วนหลิงเซียวศิษย์เอกของประมุขพรรคมารผู้นี้แล้ว ในที่สุดตอนนี้ก็มิต้องกังวลใจชั่วคราว รอผ่านไปสักสองสามวันค่อยอธิบายให้ฟังก็แล้วกัน หวนคิดถึงความเสียสละของตนเอง เขาก็เกือบจะน้ำตาตก แต่พอคิดถึงเจียงเซิ่นที่ขโมยโอสถหวนเยาว์วัยเม็ดหนึ่งมาจากปรมาจารย์ฉือเจิน หลี่หลินก็อดแสยะยิ้มมิได้ มิรู้ว่าเจ้าเด็กนั่นถูกลงโทษอย่างไรบ้าง
ณ วัดฝูอวิ๋นเวลานี้ เจียงเซิ่นผู้ผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าตาหมองคล้ำกำลังคัดคัมภีร์เล่มหนาอยู่ภายในห้องทำสมาธิ เขาเงยหน้าโอดครวญกับสวรรค์เป็นระยะ “อ๊ากกก เหตุใดท่านอาจารย์ต้องลงโทษให้ข้าคัดคัมภีร์เหมือนท่านพ่อด้วยเล่า”
เวลานี้ชิวอวี้เฟยสีหน้าสงบลงแล้ว โอสถหวนเยาว์วัยเข้าปากก็ละลายเป็นกระแสความอบอุ่นสายหนึ่งไหลไปยังสี่แขนขาร้อยกระดูกทันที ขณะเดียวกันลมปราณที่มีต้นกำเนิดเดียวกันซึ่งถ่ายทอดมาจากกลางแผ่นหลังของเขาก็ประหนึ่งหยดน้ำค้างมอบความชุ่มชื้นให้แก่จุดตันเถียนที่เกือบจะแห้งขอดของเขา
เขาวางใจแล้ว เงามารกับศิษย์พี่ใหญ่ลงมือพร้อมกัน ย่อมมิมีอันตรายใดอีก นิสัยเช่นศิษย์พี่ใหญ่ ต่อให้คิดจะสังหารตนก็คงมิสร้างความลำบากให้สตรีบริสุทธิ์นางหนึ่ง ส่วนเงามารยิ่งเป็นคนหยิ่งยโส ย่อมมิฉวยโอกาสยามผู้อื่นตกอยู่ในวิกฤต ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิงว่าเรื่องหนนี้จะเป็นความคิดของเจียงเจ๋อ เมื่อปล่อยวางเรื่องในใจทุกสิ่งลงไปแล้ว ห้วงความคิดจึงว่างเปล่า เข้าสู่สภาวะหลงลืมโลกหลงลืมตัวตนอย่างรวดเร็ว
รอจนกระทั่งชิวอวี้เฟยสลายลมปราณลุกขึ้นมายืน สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือดวงหน้าดูไม่ได้ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่จับเป็นน้ำแข็งของหลิงอวี่ ตลอดบ่ายของวันนี้ ท้องนภามีเมฆสีแดงก่ำปกคลุมเป็นชั้นหนา สายลมหนาวจึงยิ่งทารุณขึ้นทุกที เขาลืมเลือนสิ้นทุกสิ่ง เอื้อมมือไปรั้งหลิงอวี่เข้ามาในอ้อมแขน ทว่าสิ่งที่มือสัมผัสได้คือความเย็นเฉียบ ทั้งเนื้อทั้งตัวของหลิวอวี่ถูกสายลมหนาวเป่าจนเย็นยะเยือก ทว่านางกลับมิยอมกลับไปอยู่ด้านในห้อง หากมิใช่ว่าพลังภายในของนางบรรลุถึงระดับหนึ่ง เกรงว่านางคงทนมิไหวเสียนานแล้ว
หลังจากหลิงอวี่ดันชิวอวี้เฟยออกอย่างเขินอาย เขาถึงเพิ่งตระหนักว่าศิษย์พี่ใหญ่ต้วนหลิงเซียวกับเสี่ยวซุ่นจื่อกำลังจับจ้องประสานตากันอยู่ แม้จะมิขยับตัวหรือพูดจาอันใด แต่ชิวอวี้เฟยก็มองออกว่าระหว่างทั้งสองคนกำลังตึงเครียด ชนิดที่ว่าขนนกสักเส้น หรือฝุ่นสักเม็ดกระทบก็มิได้ แม้แต่อาภรณ์ขยับสักนิด หรือแววตาไหวสักวูบ การต่อสู้อันดุเดือดก็คงปะทุขึ้นมาทันที
ชิวอวี้เฟยขยับกายลุกขึ้นยืน จากนั้นดึงหลิงอวี่มาคุกเข่าคำนับ เขาเอ่ยอย่างเคารพและระมัดระวังว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ที่ช่วยชีวิต อวี้เฟยรู้ตัวว่าผิดอย่างมิอาจได้รับการอภัย แต่ขอศิษย์พี่ใหญ่อย่าได้สร้างความลำบากให้หลิงอวี่”
ต้วนหลิงเซียวฟังจบพลันมุ่นคิ้ว ชั่วพริบตานั้นเอง เสี่ยวซุ่นจื่อก็ลงมือโจมตี กระบวนท่าของเขาพิสดารและโหดเหี้ยม การตอบโต้กลับของต้วนหลิงเซียวก็ดุดันเฉียบคมอย่างยิ่ง มองเห็นเพียงเงาร่างขยับเคลื่อนแผ่วเบา เดี๋ยวก็ปะทะเดี๋ยวก็แยกกัน นอกจากชิวอวี้เฟย ผู้อื่นล้วนมองเห็นมิชัดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ยิ่งมิต้องพูดถึงเรื่องจะมองออกว่าผู้ใดชนะผู้ใดแพ้
ข้าที่เพิ่งย่างเท้าออกมาจากด้านในห้องเมื่อครู่มิสนใจว่าผู้ใดจะชนะ หรือผู้ใดจะแพ้ เมื่อครู่หลังจากสั่งสอนหลี่หลินอย่างหนักไปยกหนึ่ง ข้าก็คิดอยู่ตลอดว่าจะจัดการสถานการณ์นี้เช่นไรดี เวลานี้คิดตกแล้ว จึงยิ้มน้อยๆ เดินมาถึงข้างกายทั้งสองคนแล้วกล่าวขึ้นว่า “พี่ต้วน ท่านกับเสี่ยวซุ่นจื่อวัดฝีมือกันเสร็จแล้ว แต่อวี้เฟยยังคุกเข่าอยู่ตรงนั้นอยู่เลยนะ ท่านเป็นศิษย์พี่สมควรต้องกล่าววาจาสักประโยค”
ต้วนหลิงเซียวเหลือบมองข้าอย่างเย็นชาแล้วจึงหันไปมองชิวอวี้เฟย บอกเสียงเย็นชาว่า “หากมิใช่เห็นว่าเจ้าเพิ่งรอดพ้นความตายมาอย่างหวุดหวิด ข้าจะจัดการเจ้าเสียเดี๋ยวนี้ เพื่อสตรีนางเดียวถึงกับขัดคำสั่งของท่านอาจารย์ เหอะ!”
เสียงเหอะอันเย็นชาเสียงนั้นคล้ายกับธนูอันเย็นเฉียบเสียบทะลุหัวใจของหลิวอวี่ นางพลันรู้สึกว่ามิมีเรี่ยวแรงหยัดเรือนร่างอรชรอีกต่อไป ฉับพลันเบื้องหน้าก็ดำมืด ทำท่าจะล้มคว่ำลงไปที่พื้น แต่ถูกชิวอวี้เฟยประคองไว้ก่อน
ชิวอวี้เฟยโขกศีรษะร่ำไห้ “ศิษย์พี่ใหญ่โปรดอย่าโทษหลิงอี่ ความผิดทั้งหลายอวี้เฟยขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว”
ดวงตาของต้วนหลิงเซียวทอประกายเย็นยะเยือก เงื้อมือขึ้นหมายจะตบ แต่ทำอย่างไรก็ตัดใจลงมือมิได้ ทว่าเมื่อเห็นท่าทางดื้อรั้นของชิวอวี้เฟย ในใจก็พลันบังเกิดโทสะขึ้นอีกหน สายตาเลื่อนไปจับบนร่างของหลิงอวี่ จากนั้นก็ละสายตาออกอย่างรวดเร็ว
เขามาถึงเหอเฝยได้สองวันแล้ว ตั้งแต่แรกเขาก็เฝ้าตอรอกระต่ายดักรอชิวอวี้เฟยอยู่ ดังนั้นเขาจึงมาถึงที่แห่งนี้แทบจะในเวลาเดียวกับชิวอวี้เฟย เห็นทุกสิ่งอยู่ในสายตา ในใจนับถือสตรีนางนี้อยู่เช่นกัน ดังนั้นแม้เพลิงโทสะยังมิมอดดับ แต่ก็มิปรารถนาจะสร้างความลำบากให้นางอีกต่อไป
ในที่สุดตอนนี้ข้าก็โล่งอก ดูท่าต้วนหลิงเซียวจะมิได้ไร้หัวใจ ข้าก้าวเข้าไปเอ่ยกับชิวอวี้เฟยก่อนว่า “อวี้เฟย เรื่องนี้ท่านเป็นคนทำมิถูก ท่านขัดคำสั่งของประมุขพรรคมารหนีมายังเหอเฝย แล้วยังบาดเจ็บหนักเพราะกับดักของเด็กน้อยหลี่หลินคนนี้ ไฉนมิใช่ทำพรรคมารขายหน้าหมดสิ้น คุณชายใหญ่ตำหนิติเตียนท่าน ก็เพราะรักท่านมากจึงคาดหวังมาก ท่านสมควรขออภัยจึงจะถูก เหตุไฉนจึงยังโต้เถียงกับคุณชายใหญ่อยู่เล่า”
ข้าแอบเหลือบมอง เห็นสีหน้าของต้วนหลิงเซียวอ่อนลงมาก แต่ใบหน้าของหลี่หลินกลับกลายเป็นเหมือนหวงเหลียน[1] ข้ามิสนใจเขา ประสานมือคำนับต้วนหลิงเซียวด้วยตนเองแล้วบอกว่า “แต่คุณชายใหญ่ก็มีส่วนที่ผิดอยู่เหมือนกัน อวี้เฟยเป็นศิษย์น้องของท่าน พรรคมารมิคิดสนใจเรื่องราวในโลก แต่คุณชายใหญ่เป็นศิษย์พี่ก็เทียบเท่าเป็นบิดา การแต่งงานเรื่องใหญ่ในชีวิตของอวี้เฟย คุณชายใหญ่สมควรใส่ใจจึงจะถูก
นวลนางโฉมสะคราญ บุรุษเฝ้าหมายปอง แม่นางหลิงอวี่ภายนอกรูปโฉมงดงามภายในฉลาดเฉลียวเป็นสตรีที่ดี ทั้งยังมีใจรักในสิ่งเดียวกันกับอวี้เฟย นับว่าเป็นคู่สร้างคู่สม คุณชายใหญ่สมควรช่วยให้ได้ครองคู่กัน ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้แม่นางหลิงอวี่ไร้ที่พึ่งพิง หากคุณชายใหญ่ยืนกรานจะขัดขวางการแต่งงานของพวกเขา แม่นางหลิงอวี่คงต้องร่อนเร่ตกระกำลำบากอย่างเลี่ยงมิได้ หากเกิดพลาดพลั้งอันใดขึ้นมา มิใช่เพียงอวี้เฟยจะใจสลาย แม้แต่พรรคมารก็คงเสียหน้าเช่นเดียวกัน
ผู้แซ่เจียงทราบว่าคุณชายใหญ่ยากจะตัดสินใจด้วยตนเอง ทว่าหากให้นางคอยอยู่ข้างกายอวี้เฟย คุณชายใหญ่ก็น่าจะโน้มน้าวประมุขพรรคมารได้ ผ่านไปสองปีสามปี หากประมุขพรรคมารกับคุณชายใหญ่รู้สึกว่าสตรีนางนี้เป็นคู่ครองที่ดีของอวี้เฟยจริงๆ มิสู้ให้พวกเขาได้สมปรารถนา หากยังมิอนุญาตอยู่ ก็มีหนทางจัดการที่เหมาะสม มิให้เป็นที่เยาะหยันของคนทั้งใต้หล้า จะพรากคู่ยวนยางเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นความเป็นมาและฐานะ ทำให้คนรักพลัดพรากจากมิได้อย่างเด็ดขาด”
[1]หวงเหลียน พืชชนิดหนึ่งของจีน ลักษณะมีเปลือกสีน้ำตาล ส่วนเนื้อด้านในเป็นสีเหลือง ใช้ตากแห้งทำเป็นยาสมุนไพร