ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 17 ต้นหยางผลิใบเขียว หอมกลิ่นหญ้า (2)
ในใจลู่อวิ๋นทั้งรู้สึกละอาย ทั้งรู้สึกเสียใจ แม้ก่อนหน้าวันนี้เขายังเห็นพวกโหรวหลันเป็นศัตรู แต่มิอาจมิยอมรับว่าเขามีความรู้สึกดีๆ ให้ฮั่วฉง โหรวหลัน หรือแม้แต่หลี่หลินกับหลี่จวิ้นมากกว่า ในเมื่อวันนี้ลอบสังหารล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงแล้ว จิตใจของเขาก็เปิดกว้าง เลี่ยงมิได้กังวลเล็กน้อยว่าคนเหล่านี้จะดูแคลนตนเอง
ข้าเห็นสีหน้าของเขาก็ทราบความในใจของเขาแล้ว ข้าลอบยินดีอยู่ในใจอย่างห้ามมิได้ สาเหตุที่ข้าสิ้นเปลืองความคิดให้เด็กน้อยทั้งหลายเป็นผู้ดำเนินกับดักหนนี้ก็เพราะหวังว่าจะส่งผลต่อมุมมองของลู่อวิ๋น ส่งผลต่อปณิธานในใจเขา หรือแม้แต่ปณิธานในใจของลู่ช่าน ความรู้สึกเล็กน้อยเช่นนี้อาจมิมีประโยชน์อันใดต่อความแค้นระหว่างแว่นแคว้น แต่เมื่อยามที่ทุกสิ่งจบลงมักจะมีประโยชน์เป็นตัวตัดสินได้เสมอ
ข้าจงใจให้เขามีโอกาสได้พบต้วนอู๋ตี๋ก็เพราะหวังว่าในห้วงเวลาวิกฤตที่สุด เรื่องนี้จะส่งผลต่อทางเลือกของตระกูลลู่ ข้ามิหวังว่าลู่ช่านจะกลับใจ เพียงหวังว่าสุดท้ายจะรักษาสายเลือดตระกูลลู่เอาไว้ได้ ความเห็นแก่ตัวเล็กๆ นี้ ข้าย่อมมิเคยพูดออกมา ได้แต่ลงมือผ่านการกล่อมเกลาให้เปลี่ยนความคิด
ลู่อวิ๋นอับอายจนยากจะสงบใจ แต่เดิมเขาเดินทางมาพร้อมกับความแค้นสุมอก แต่หลังจากมาถึงฉางอันก็ค้นพบว่าบางทีเจียงเจ๋ออาจมิได้ไร้ยางอายเช่นที่หนานฉู่เล่าลือกัน หากเขาเป็นคนเช่นนั้น เหตุใดคนมากมายปานนั้นจึงเคารพเขา แม้แต่ในความหวั่นเกรงก็ยังมีความนับถืออยู่
แล้วหากเจียงเจ๋อละโมบลาภยศสรรเสริญเช่นนั้นดังคำเล่าลือจริง เหตุไฉนจึงมองมิเห็นนิสัยเสียของลูกหลานเสเพลของชนชั้นสูงบนตัวโหรวหลันกับฮั่วฉงเลยสักนิด
ความจริงความแค้นที่เขามีต่อเจียงเจ๋อจางลงนานแล้ว เพียงแต่เขาไม่ทันค้นพบมาตลอดก็เท่านั้น เมื่อครู่ตอนที่เตรียมจะลอบสังหาร หากมิใช่ว่าในใจเขามีจิตสังหารไม่มาก ไฉนจะค้นพบการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของเจียงเจ๋อได้
แต่เมื่อมองดูเงาร่างอันสง่างามภูมิฐานของเจียงเจ๋อ ลู่อวิ๋นกลับยากจะแสดงความเคารพออกมาได้ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นขุนนางคนสำคัญของต้ายง เขาอยู่ข้างกายหลี่หลินมาหลายวันจึงสัมผัสได้เลือนรางว่าต้ายงอาจจะใกล้บุกลงใต้แล้ว ถึงยามนั้นอาศัยแผนการโหดเหี้ยมของคนผู้นี้ที่ได้แสดงให้เขาเห็น น่ากลัวว่าบิดาของตนคงจะพบเภทภัยมิหวนกลับ หัวใจพลันเจ็บปวด
ลู่อวิ๋นน้ำตาร่วงอีกหน หนนี้เขากลับมิได้ส่งเสียงร่ำไห้ หัวใจคล้ายถูกมีดกรีดเฉือน ดวงตาที่มองเจียงเจ๋อพร่ามัวสับสน แต่กลับมิอาจพูดสิ่งใดออกมาได้
ข้าถอนหายใจแผ่วเบา รับรู้ถึงความสับสนในหัวใจของเขา แต่ทุกคนต่างทำเพื่อนายของตน สองแคว้นทำศึก เรื่องนี้ข้าเองก็มิมีกำลังทำสิ่งใดได้ แม้แต่ลู่ช่านก็มิมีกำลังทำสิ่งได้ ยิ่งมิต้องพูดถึงเด็กน้อยคนหนึ่งเช่นลู่อวิ๋น ข้ายื่นมือออกมา เสี่ยวซุ่นจื่อวางขวดหยกใบหนึ่งลงในมือข้า
ข้าก้าวเข้าไปประคองลู่อวิ๋น บอกว่า “วันนี้เจ้าถูกไอเย็น หากมิถอนออกให้ดี วันหน้าจะมีโรคเรื้อรังเป็นแน่ ยาขวดนี้ช่วยบำรุงรากฐานของร่างกาย เจ้ากินทุกวัน คืนละหนึ่งเม็ด กินติดต่อกันหนึ่งเดือนก็ใช้ได้แล้ว ยาที่เหลือเจ้าเก็บติดตัวไว้ หากเจ้าบาดเจ็บแล้วเพิ่งหายดี กินยานี้ย่อมมีประโยชน์
เมื่อวันก่อนบิดาของเจ้าส่งแม่ทัพในตระกูลมาพบข้า ผู้ที่รู้จักบุตรดีที่สุดย่อมมิพ้นบิดา เขาก็เดาว่าเจ้าคงจะเดินทางมาลอบสังหารข้าจึงส่งคนตามหามาตลอดทาง พวกเขารอเจ้าอยู่ที่จวนของข้า เจ้าพบพวกเขาแล้วก็กลับไปเถิด อย่าปล่อยให้บิดาของเจ้าเป็นห่วง สงครามระหว่างสองแคว้น เด็กน้อยตัวคนเดียวเช่นเจ้าสอดมือมายุ่งมิไหว”
ลู่อวิ๋นโล่งใจ มิใช่ว่าเขามิกังวลว่าคนตรงหน้าผู้นี้จะใช้ตนเองบีบบังคับบิดา แม้ทราบว่าบิดาคงมิมีวันยอม แต่ย่อมมีคนใช้ประโยชน์จากโอกาสหนนี้เล่นงานบิดาเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นบิดาคงโศกเศร้าเสียใจกับเรื่องนี้ หากเป็นเช่นนั้น แม้นเขาตายก็คงมิอาจสงบใจ เขาเงยหน้ามองดวงตาเปี่ยมความเมตตาคู่นั้น แล้วโถมเข้าไปร่ำไห้ในอ้อมแขนของเจียงเจ๋อ
ข้ากอดเด็กหนุ่มผู้นี้ ในใจถอนหายใจมิเลิกรา มิใช่ว่าข้าจะใช้เรื่องที่เขาอยู่ในฉางอันมาวางแผนการอย่างที่ข้าถนัดที่สุดมิได้ แต่เพราะความเห็นแก่ตัวเล็กๆ สุดท้ายข้าจึงเลิกล้มความคิด หวังว่าหลังจากทหารม้าเหล็กของต้ายงทำลายรังของอีกฝ่ายจนราบแล้ว เด็กคนนี้จะยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ยังนึกขึ้นได้ว่าฉางอันยังมีที่พึ่งของเขาอยู่
วันต่อมา หลินปี้ออกเดินทางจากคฤหาสน์หนานซานเป็นคนแรก หลี่หลินย่อมติดตามไปด้วย ลู่อวิ๋นกลับถูกรั้งไว้ข้างกายเจียงเจ๋อ เขาอยากจะหาโอกาสขออภัยหลี่หลิน แต่หลี่หลินมิสนใจเขาสักนิด เชิดหน้าขึ้นราชรถของหลินปี้จากไป ลู่อวิ๋นจึงได้แต่หดหู่หม่นหมอง
ซูชิงกับฮูเหยียนโซ่วจากไปเป็นกลุ่มที่สอง ลู่อวิ๋นอยากจะยลโฉมท่านโหวหญิงผู้มีชื่อเสียงลือลั่นทั่วหล้าผู้นี้ยิ่งนักจึงหาโอกาสมาจนได้ เมื่อเขาได้เห็นซูชิง แม้เขาจะอายุน้อยเท่านี้ แต่ก็ตกตะลึงนิ่งอึ้งอย่างช่วยมิได้ เผชิญหิมะยิ่งงาม ผ่านเหมันต์ยิ่งตราตรึง นั่นคือเสน่ห์ของดอกเหมยเหมันต์ที่ยืนหยัดอย่างหยิ่งทะนงก้าวผ่านการทำร้ายของหิมะและน้ำแข็ง ส่วนแม่ทัพผู้นั้นข้างกายนาง มิว่ารูปลักษณ์หรือท่าทางล้วนโดดเด่นน้อยกว่าอยู่บ้าง ลู่อวิ๋นอดนึกประหลาดใจเล็กน้อยมิได้ว่าเหตุใดเติ้งโหวซูชิงจึงเลือกสามีเช่นนี้
จนกระทั่งเขาเห็นภาพซูชิงหันมาสนทนากับแม่ทัพผู้นั้นโดยบังเอิญ สีหน้าของบุรุษผู้นั้นช่างเอาใจใส่ นั่นเป็นสีหน้าราวกับทะนุถนอมสมบัติล้ำค่า ส่วนสีหน้าของซูชิงก็อ่อนโยนและผ่อนคลาย แม้มิค่อยเข้าใจนัก แต่ลู่อวิ๋นก็ทราบแล้วว่ามีเพียงบุรุษเช่นนี้จึงจะปกป้องสตรีผู้ผ่านความโศกเศร้าเจ็บปวดมาครึ่งชีวิตได้ดีที่สุด
ลู่อวิ๋นมิทันเห็นต้วนอู่ตี๋จากไป เพราะบ่ายวันนั้น เขาติดตามเจียงเจ๋อออกจากคฤหาสน์หนานซานกลับมายังจวนของเจียงเจ๋อแล้ว ลู่อวิ๋นพบแม่ทัพในตระกูลที่บิดาส่งมาอย่างลับๆ เขาฟังแม่ทัพผู้เฝ้าดูตนเองเติบใหญ่สั่งสอนอย่างถนอมน้ำใจยกหนึ่งด้วยความอับอายและละลายใจ วันต่อมาสัมภาระเดินทางของเขาก็ถูกตระเตรียมจนเรียบร้อย ก่อนออกเดินทาง นอกจากฮั่วฉงที่ยืนกรานจะมาส่งเขาที่สะพานป้าเฉียว เขาก็ไม่เห็นเงาของโหรวหลันกับหลี่หลิน
เห็นสีหน้าคาดหวังแต่ก็แฝงความละอายใจของลู่อวิ๋น ฮั่วฉงก็ยิ้มละไม หักกิ่งหยางหลิวกิ่งหนึ่งส่งให้ลู่อวิ๋นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอย่าถือสาเลย พวกเขาอายุยังน้อยจึงโมโหมากสักหน่อย ความจริงจุดสำคัญก็คือรู้สึกว่าถูกเจ้าหลอกลวง ดังนั้นจึงไม่พอใจ ความจริงพวกเขามิได้ถือโทษเจ้าหรอก”
ลู่อวิ๋นรับกิ่งหลิวมาแล้วถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นฝ่ายผิดเอง หลายวันมานี้ต้องขอบคุณพี่ใหญ่ฮั่วที่ดูแล เดิมทีข้าต้องการคืนคันศรเล่มที่จยาจวิ้นอ๋องมอบให้ข้าแก่เขาด้วยตนเอง ตอนนี้คงได้แต่ไหว้วานพี่ใหญ่ฮั่วแล้ว”
กล่าวจบ ลู่อวิ๋นก็ส่งคันศรกับลูกศรที่หลี่หลินมอบให้เขาในวันนั้นให้ฮั่วฉง ฮั่วฉงถอนหายใจ “เจ้าไยต้องทำเช่นนี้เล่า จยาจวิ้นอ๋องมิขี้เหนียวเช่นนั้นหรอก”
ลู่อวิ๋นยืนกราน “โปรดฝากบอกจยาจวิ้นอ๋องกับท่านหญิงเจาหวาด้วย ลู่อวิ๋นมิได้ตั้งใจหลอกหลวงพวกเขา เดินทางครั้งนี้หนทางยาวไกลพันลี้ อาจมิมีวันได้พบหน้ากันอีก ความโปรดปรานของจวิ้นอ๋อง ลู่อวิ๋นมิมีสิ่งใดตอบแทน ได้แต่คืนคันศรกับลูกศรกลับไป ฝั่งท่านหญิง ฝากท่านขออภัยแทนลู่อวิ๋นด้วย”
ฮั่วฉงกำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็มีฝุ่นฟุ้งตลบมาแต่ไกล ฮั่วฉงฉุกคิดบางอย่าง จึงหันกลับไปมองแล้วก็หัวเราะ “มีคำใด เจ้าไปพูดกับพวกเขาเองเถิด”
ลู่อวิ๋นจิตใจวูบไหว เงยหน้ามอง ผู้ที่ควบอาชาวิ่งเข้ามานั่นมิใช่หลี่หลินกับโหรวหลันหรอกหรือ หัวใจเขาพลันรู้สึกอุ่นวาบ น้ำตาแทบจะร่วงลงมา อาชากำยำสองตัวหยุดอยู่นอกศาลา หลี่หลินกับโหรวหลันกระโดดลงจากอาชา สะบัดสายบังเหียนอาชาทิ้ง แล้วก้าวมาตรงหน้าลู่อวิ๋นทั้งสองคน
หลี่หลินเหลือบมองคันศรนอแรดในมือลู่อวิ๋นแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงรังเกียจเดียดฉันท์ “ของที่ข้ามอบให้แล้วเคยทวงคืนตั้งแต่เมื่อใด คันศรเน่าๆ เล่มเดียว เจ้าก็มิกล้ารับไว้หรือ”
ลู่อวิ๋นมองหลี่หลิน สุดท้ายก็ส่งคันศรให้แก่แม่ทัพในตระกูล หลังจากนั้นจึงก้าวเข้าไปค้อมกายให้พลางเอ่ยว่า “หลายวันนี้ได้รับการดูแลจากจวิ้นอ๋องมามาก ลู่อวิ๋นกลับมีหลายสิ่งปิดบัง ขอจวิ้นอ๋องโปรดอภัยด้วย”
หลี่หลินยิ้มฝืดเฝื่อน ตอบว่า “ช่างเถิด หากมิใช่เพราะมีคนช่วยเจ้า ไฉนข้าจะติดกับดักนานเช่นนี้ นี่ไม่เกี่ยวกับเจ้า ผู้ใดใช้ให้คนบางพวกช่วยผู้ร้ายทำชั่วกันเล่า” กล่าวจบเขาก็ถลึงตาใส่ฮั่วฉง หลังจากนั้นจึงหันไปมองลู่อวิ๋นอย่างเสียดายเล็กน้อย
หลี่หลินพูดต่อว่า “เหตุใดเจ้าดันต้องเป็นบุตรชายของแม่ทัพลู่ด้วยนะ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ข้าจะต้องรั้งเจ้าไว้เป็นแน่ เสด็จพี่ของข้าชื่นชมเจ้าอยู่พอสมควรทีเดียว เรื่องบางอย่าง ข้ามิพูดเจ้าก็คงรู้ มิแน่ว่าวันหน้าพวกเราอาจได้พบหน้ากันอีกบนสนามรบ ถึงยามนั้นหากเจ้าพ่ายแพ้ในมือข้า อย่าได้ปลิดชีพตนเองเชียว”
ลู่อวิ๋นยิ้มจืดเจื่อน ไยเขาจะมิทราบสถานการณ์ในตอนนี้ ทายาทชนชั้นสูงของต้ายงกระเหี้ยนกระหือรืออยู่ตรงนี้ แต่ฝั่งหนานฉู่ขุนนางบุ๋นอยู่สุขสบาย ทหารแม่ทัพเอาแต่เที่ยวสำราญ คนส่วนมากล้วนใช้ชีวิตจมอยู่กับความเพ้อฝัน แต่เขาเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลลู่ ไฉนจะยอมจำนนได้
เขาเชิดหน้าขึ้นอย่างองอาจ กล่าวว่า “คำพูดนี้ท่านอ๋องกล่าวผิดแล้ว แม้หนานฉู่ของข้าจะอ่อนแอ ทว่าก็ยังครอบครองแผ่นดินครึ่งหนึ่ง หากกองทัพม้าเหล็กของต้ายงกล้าบุกลงใต้ ตัวข้าลู่อวิ๋นย่อมต้องสวมเกราะออกศึก แม้นต้องตายก็มิยอมอยู่มองแผ่นดินล่มสลาย แม้ลู่อวิ๋นรู้สึกผิดต่อความเมตตาของจวิ้นอ๋อง แต่วันหน้าหากพบพานกันบนสมรภูมิ ย่อมมิมีเหตุผลให้ออมมือ”
ใบหน้าของหลี่หลินมีสีหน้าโมโหกับนับถือปะปนกัน ขณะที่กำลังจะเอ่ยอะไรอีก เวลานี้โหรวหลันก็ชิงก้าวเข้ามาผลักหลี่หลินออก แล้วยื่นมือขวาออกมา นางยิ้มจนเห็นลักยิ้มแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องที่ยังมิทันเห็นแม้แต่เงาก็เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ลู่อวิ๋น รัดเกล้าทองของข้าหายไป คิดมาคิดไปคงถูกเจ้าเก็บเอาไว้ วันนี้เจ้าจะกลับไปแล้ว อย่างไรก็คืนให้ข้าเถิด”
ลู่อวิ๋นหน้าแดง เหลือบมองหลี่หลินที่ได้ยินแล้วแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวทันทีกับฮั่วฉงผู้ยิ้มเหมือนรู้ทัน จากนั้นจึงหยิบรัดเกล้าทองออกมาจากอกเสื้ออย่างอาลัยอาวรณ์ รัดเกล้าทองที่ยังคงมีไออุ่นจากร่างกายของเขาชิ้นนั้นส่องประกายใต้แสงตะวันระยิบระยับแสบตา
ลู่อวิ๋นตัดใจ วางรัดเกล้าทองลงบนมือขาวผ่องเรียวงามข้างนั้น โหรวหลันรับรัดเกล้าทองมา แต่แล้วจู่ๆ นางก็หัวเราะออกมาดังพรืด เสียงหัวเราะหนนี้ทำให้ลู่อวิ๋นลืมเลือนอย่างฉับพลันว่าตนเองยืนอยู่ที่ใด
ตอนนี้เองโหรวหลันก็ยัดรัดเกล้าทองลงในมือของเขาอีกหน แล้วว่า “ช่างเถิด รัดเกล้าทองชิ้นเดียวเท่านั้น ได้ยินว่าเจ้ายังมีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง ปีนี้ก็อายุเจ็ดขวบแล้ว รัดเกล้าทองชิ้นนี้ฝากเจ้ามอบให้นางแทนข้าก็แล้วกัน”
ลู่อวิ๋นรับรัดเกล้าทองกลับมา มิทราบว่าสมควรกล่าวอะไรดี เวลานี้เอง แม่ทัพในตระกูลก็เอ่ยเร่ง “คุณชาย พวกเราต้องรีบออกเดินทางแล้วขอรับ”
ลู่อวิ๋นหัวใจสั่นไหว ยัดรัดเกล้าทองเข้าไปในอกเสื้อ ประสานหมัดคำนับทั้งสามคนแล้วกล่าวว่า “ทุกท่านรักษาตัวด้วย ลู่อวิ๋นขอลา” กล่าวจบก็หันหลังกลับ ขึ้นอาชาร่างกำยำหวดแส้ควบอาชาจากไปโดยมิมองสีหน้าของทั้งสามคนอีก
เสียงลมดังอื้ออึ้งอยู่ในหู ลู่อวิ๋นรู้สึกว่าดวงตาทั้งสองข้างที่ต้องลมพร่าลายไปวูบหนึ่ง เขาข่มกลั้นความโศกเศร้าในหัวใจ คิดในใจว่า ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว กลับมาปกป้องบ้านเมืองด้วยกันกับท่าน แม้นตายก็มิเสียใจ