ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 18 ไฟสงครามลุกโชนทุกหนแห่ง (1)
ต้ายง รัชศกหลงเซิ่งปีที่เจ็ด ปีเจี่ยเซิน[1] ฤดูสารท จักรพรรดิต้ายงตำหนิหนานฉู่ที่มิส่งราชบรรณาการมานาน เรียกเจ้าแคว้นหนานฉู่มาเข้าเฝ้า เจ้าแคว้นหนานฉู่จ้าวหล่งได้ฟังข่าวก็หวาดกลัวจนมิอาจพรรณนา มิออกว่าราชการหลายวัน อ้างว่าล้มป่วย จักรพรรดิต้ายงได้ข่าวพลันพิโรธ ลั่นวาจาว่าจะกรีฑาทัพบุกลงใต้ ทหารทุกกองทัพยาตราทัพอย่างพร้อมเพรียง จับศาสตราวุธขึ้นมาอีกหน
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
รัชศกถงไท่ปีที่สิบเอ็ด กองทัพต้ายงบุกลงใต้ สุยอวิ๋นมิได้ติดตามไปด้วย
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
รัชศกหลงเซิ่งปีที่เจ็ดของต้ายง รัชศกถงไท่ปีที่สิบเอ็ดของหนานฉู่ เดือนสิบ วันที่สอง บนลานฝึกในค่ายใหญ่เจียงเซี่ยของหนานฉู่ เหล่าทหารกำลังฝึกฝนการยิงธนูบนหลังม้า เสียงโห่ร้องดุจอสนีบาตดังขึ้นเป็นระยะ
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ลูกศรสามดอกยิงถูกกลางเป้าติดกัน บนลานฝึกมีเสียงตะโกนชมดังขึ้นอีกระลอก ผู้ยิงศรผู้นั้นรูปร่างไม่สูง บนร่างสวมเกราะสีเงิน อาชาสีน้ำตาลแซมขาวที่ขี่อยู่เป็นถึงยอดอาชาที่เลือกมาจากหนึ่งในพันลี้ แม้ควบอาชาห้อตะบึงยิง ลูกศรก็ยังเข้าเป้า ทักษะการยิงธนูเช่นนี้คู่ควรให้เหล่าทหารโห่ร้องชื่นชมอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ขี่อยู่บนหลังอาชาคนนั้นก็ยังเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่ที่พวกเขาเคารพรักอีกด้วย
จวบจนกระทั่งยิงลูกศรหมดทั้งถุง เด็กหนุ่มผู้นั้นบนหลังม้าจึงหยุด ลูกศรทั้งยี่สิบสี่ดอกปักบังกลางเป้าจนมิเหลือช่องว่างแม้สักนิด เขาถอดหมวกเกราะออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ยังมีเค้าความเยาว์วัยแล้วเช็ดเม็ดเหงื่อบนศีรษะ จากนั้นควบอาชามาถึงริมลานฝึก เขากระโดดลงจากอาชาศึก ลูบอาชาแสนรักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมายิ้มกับเหล่าทหารที่ล้อมเข้ามา “เอาละ ได้ยิงธนูรอบหนึ่งสบายขึ้นมากแล้ว ท่านแม่ทัพยังมิเรียกประชุมอีกหรือ”
ทหารทั้งหลายยิ้ม “แม่ทัพน้อย วิชายิงธนูของท่านยอดเยี่ยมขึ้นทุกที แม่ทัพใหญ่เพิ่งกลับมาตอนเช้ามืด วันนี้อาจะยังไม่เรียกประชุม”
เด็กหนุ่มได้ยินพลันขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “ระยะนี้ฝั่งนั้นมีการเคลื่อนไหวบ่อยครั้ง หนนี้แม่ทัพใหญ่เดินทางไปเจี้ยนเย่ มิทราบว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร”
ทหารนายหนึ่งได้ยินจึงตอบว่า “แม่ทัพน้อยมิสู้ไปแอบถามที่ปรึกษาหยางเป็นการส่วนตัว แม่ทัพใหญ่มิยอมบอกท่าน บางทีที่ปรึกษาหยางอาจเผยอะไรออกมาสักหน่อยก็ได้”
เด็กหนุ่มผู้นั้นตำหนิ “พูดเหลวไหล หากที่ปรึกษาหยางเปิดเผยข่าวออกมาง่ายดายเช่นนั้น แม่ทัพใหญ่ไหนเลยจะไว้ใจเขาเช่นนี้”
ทหารอีกคนหนึ่งพลันเอ่ยว่า “จริงสิ ท่านเหวยเพิ่งมาเมื่อครู่ ตอนนี้ไปพบแม่ทัพใหญ่แล้ว”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ท่านเหวย เขามาได้อย่างไร ที่ผ่านมาหากมิมีเรื่อง คนผู้นี้ก็จะมิมาเยือน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็มิมีเวลาสนใจเหงื่อไคลและฝุ่นดินทั่วร่าง รีบร้อนสั่งพวกทหาร จากนั้นวิ่งไปยังกระโจมของบิดา ไม่นานเขาก็วิ่งมาถึงกระโจมของบิดา ทหารคนสนิทที่อยู่ด้านนอกเห็นเขาก็กำลังจะส่งเสียงเรียก แต่ถูกเขาส่ายศีรษะห้ามไว้ จากนั้นลู่อวิ๋นก็ดึงคนหนึ่งมากระซิบถามว่า “แม่ทัพใหญ่กับท่านเหวยกำลังคุยกันอยู่ด้านในหรือ”
ทหารคนสนิทผู้นั้นพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ มานานแล้ว แม่ทัพใหญ่ก็จริงๆ เลย ไยต้องเกรงใจคนผู้นี้ปานนี้ด้วย”
เด็กหนุ่มถลึงตาใส่เขาแล้วว่า “เจ้าจะรู้อะไร หากไม่มีคนผู้นี้ไกล่เกลี่ยจากด้านใน แม่ทัพใหญ่กับจิ้งจอกเฒ่าคนนั้นคงทะเลาะแตกหักกันไปนานแล้ว อีกอย่างหนึ่ง ข่าวสารในต้ายงของเขาว่องไว หากไม่มีความช่วยเหลือของเขา คิดจะรอกรมกลาโหมส่งข่าวสารมา เหอะ เกรงว่ากองทัพต้ายงข้ามแม่น้ำมาหมดแล้ว ข่าวก็ยังส่งมาไม่ถึง”
ทหารคนสนิทผู้นั้นบ่นเสียงเบาออกมาอีกสองสามประโยค แม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นแม่ทัพน้อย แต่ที่ผ่านมาก็คลุกคลีอยู่กับพวกเขา ดังนั้นเขาจึงกล้าพูดความในใจกับเด็กหนุ่มผู้นี้ เขาเองก็ทราบว่าแม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะตำหนิตน แต่ก็มิได้มีเจตนาร้าย อีกทั้งยังมิมีทางนำไปพูดต่อ ดังนั้นจึงเพียงบ่นสองสามคำ ถึงอย่างไรในความคิดของเขา ท่านเหวยผู้นั้นก็ยังเป็นคนที่เคยก่อกบฏ แม้เขาจะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่มิว่าอย่างไรก็รู้สึกดูแคลน
เด็กหนุ่มเดินวนไปวนมาอยู่ตรงประตูเป็นเวลานานแต่ก็ยังมิเห็นบิดาออกมา ในที่สุดจึงอดทนรอมิไหว ขยับไปชิดประตูกระโจมแล้วเงี่ยหูฟัง องครักษ์คนสนิทเหล่านั้นมองหน้ากันแล้วคลี่ยิ้ม ยักคิ้วหลิ่วตาให้กัน แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เด็กหนุ่มผู้นั้นมิมีเวลาสนใจพวกเขา ทุ่มสมาธิทั้งหมดจับเสียงแผ่วเบาที่ลอยออกมาจากด้านในกระโจม
ภายในกระโจม ข้าวของเครื่องใช้เรียบง่ายยิ่งนัก นอกจากเตียงเรียบง่ายที่ใช้ยามเดินทัพ โต๊ะสี่เหลี่ยมหนึ่งตัวกับเก้าอี้สองตัว ส่วนที่เหลือก็แทบจะว่างเปล่า บนโต๊ะนอกจากวางม้วนเอกสารไว้สองสามม้วน กระโจมหลังนี้ก็แทบจะมิมีสิ่งใดแตกต่างจากที่พักของแม่ทัพระดับล่างธรรมดา
บุรุษวัยสามสิบต้นๆ คนหนึ่งยืนวางมือไพล่หลังอยู่ในกระโจม เขากำลังมองแผนที่ฉบับหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังกระโจมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม บุรุษผู้นี้รูปลักษณ์องอาจ ท่วงท่าสุขุม นับว่าเป็นบุคคลที่สง่างามคนหนึ่ง เพียงแต่จอนผมสองข้างเป็นสีขาวอยู่เล็กน้อย สีหน้าแฝงความเหนื่อยล้า หากมิใช่ว่าเขาสวมชุดเกราะอยู่ ผู้อื่นก็คงไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าเขาคือผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งแห่งกองทัพหนานฉู่
ส่วนบุรุษอีกคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม มองดูแล้วเหมือนจะยังอายุมิถึงสามสิบปี สีหน้าแฝงความเย้ยหยันจางๆ ดูจากรูปลักษณ์อันสง่างามของเขาแล้ว คงคิดไม่ถึงอย่างแน่นอนว่าเขาอายุสามสิบห้าปีแล้ว ในขณะที่บุรุษผู้สวมชุดเกราะคนนั้นแท้จริงแล้วอายุอ่อนกว่าเขาสามปี แต่กลับแลดูแก่ชรากว่าเขาอยู่เล็กน้อย
เห็นบุรุษผู้สวมเกราะคนนั้นเงียบงันมิพูดจา บุรุษรูปงามก็หัวเราะหยัน กล่าวว่า “ท่านยังจะดูอันใดอีก กองทัพต้ายงจักต้องมิปล่อยโอกาสหนนี้แน่ นอกจากเจ้าแคว้นของท่าน ใต้หล้ายังมีผู้ใดมิทราบบ้างว่าหนนี้ต้ายงฉวยโอกาสท้ารบ เตรียมจะควบอาชาลงใต้ เป่ยฮั่นล่มสลายมาเจ็ดปีเต็มแล้ว ต้ายงกลืนแผ่นดินและกำลังคนของเป่ยฮั่นสำเร็จแล้ว
ยามนี้อายุของหลี่จื้อมิใช่น้อยๆ เขาจะมิอยากเห็นใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งตอนยังมีชีวิตอยู่หรือ ตั่งเตียงของตนจะยอมให้ผู้อื่นมานอนสบายอยู่ได้เช่นไร ต่อให้หนานฉู่มิมีความผิดโทษฐานคิดต่อต้านแม้แต่น้อย ต้ายงก็คงมิมีทางล้มเลิกความตั้งใจจะบุกลงใต้
ช่วงก่อนหน้านี้แม่ทัพน้อยกลับมาจากทางเหนือ มิได้บอกไว้ชัดเจนยิ่งหรือว่า แม้แต่จวิ้นอ๋องเยาว์วัยคนหนึ่งของต้ายงก็ยังตั้งตารอออกศึกเข่นฆ่าศัตรู เจตนาจะรุกรานทางใต้เปิดเผยชัดเจนแล้ว ท่านยังมิรู้ตัวอีกหรือ
หากมิใช่เห็นว่าท่านยังมีความกล้าหาญอยู่บ้าง เมื่อเจ็ดปีก่อนกล้าลอบยึดด่านจยาเหมิงลับหลังเจ้าแผ่นดินและขุนนางหนานฉู่ ข้าไฉนเลยจะทุ่มเทกำลังเพื่อท่าน ตอนนี้เจ้าตำหนักเยี่ยนแห่งตำหนักเฟิ่งอู่กับเจ้าตำหนักจี้แห่งตำหนักอี๋หวงร่วมมือกับจิ้งจอกเฒ่าซั่งเหวยจวินผู้นั้นอย่างสมัครสมานสามัคคียิ่ง แม้มิสะดวกก้าวเข้าไปในราชสำนักอย่างเปิดเผย แต่ก็ค่อยๆ ครอบงำอำนาจในราชสำนักไว้แล้ว หากมิใช่ว่าซั่งเหวยจวินยังมีความระแวงเหลืออยู่นิดหนึ่ง ทั้งยังมีตำหนักเฉินของข้าคอยสอดส่องแทนท่าน น่ากลัวว่าตำแหน่งแม่ทัพใหญ่นี่ของท่านคงยากจะรักษาไว้ได้”
บุรุษผู้สวมเกราะถอนหายใจ “ไมตรีมากมายของพี่เหวย ลู่ช่านรู้แก่ใจดี หากมิมีท่านไกล่เกลี่ย เกรงว่าคงมิอาจอยู่ร่วมราชสำนักกับคนเหล่านั้นได้ หลายวันก่อนพวกนางเสนอเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แต่ถูกข้าปฏิเสธ หลังจากนั้นอัครมหาเสนาบดีซั่งก็จงใจถ่วงเวลาส่งเสบียงกับเบี้ยหวัด หากมิได้พี่เหวยช่วยเหลือ น่ากลัวว่าด่านนี้ ข้าคงผ่านมามิได้”
บุรุษรูปงามผู้นั้นได้ยินก็ถอนหายใจ “ความจริงเรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกับข้า ท่านควบคุมกำลังทหารมากกว่าเจ็ดส่วนของหนานฉู่เอาไว้ อัครมหาเสนาบดีซั่งจะมิทราบได้อย่างไร ข้าเพียงหาบันไดให้พวกเขาลงก็เท่านั้น ความจริงท่านมิยอมให้แม่ทัพน้อยแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับพวกนางก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว สิ่งที่พวกนางทำในต้ายงผู้ใดมิทราบบ้าง แม้แต่ข้ายังทนมองไม่ได้ สู้ศึกนอกเละเทะไม่เป็นท่า แต่ก่อศึกในกลับเก่งกาจนัก
ท่านบอกว่าข้าช่วยท่าน แต่ความจริงหากไม่มีการสนับสนุนของท่าน ตำหนักเฉินของข้าก็คงถูกพวกนางกดลงไปนานแล้ว ถึงอย่างไรเศรษฐกิจกับอำนาจข้างมากก็ถูกพวกนางคุมเอาไว้ พวกเราก็เพียงมีผลประโยชน์ต่อกันและกันเท่านั้น แม่ทัพใหญ่ลู่ หากท่านยอมนำทหารก่อกบฏ กำจัดคนเลวข้างกายเจ้าแผ่นดิน ข้าก็จะช่วยท่านอีกแรง”
บุรุษผู้สวมชุดเกราะยิ้มขมขื่นกล่าวขึ้นว่า “พี่เหวย หากกล่าวต่อไป น่ากลัวว่าข้าคงทำได้เพียงส่งแขกแล้ว”
บุรุษรูปงามผู้นั้นหัวเราะเสียงดัง กล่าวว่า “รู้อยู่แล้วว่าท่านจะมิตกลง หากท่านใจเหี้ยมโหดได้ครึ่งหนึ่งของเจียงเจ๋อ คงมิถูกซั่งเหวยจวินบีบให้ออกมาจากเจี้ยนเย่”
บุรุษสวมชุดเกราะผู้นั้นยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “หลายปีนี้ความแค้นที่พี่เหวยมีต่อท่านอาจารย์เหมือนจะน้อยลงมาก ยามเอ่ยถึงเขาก็เลิกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว”
บุรุษรูปงามผู้นั้นตอบอย่างเย็นชา “ชิ่งอ๋องถูกกำจัด เป่ยฮั่นล่มสลาย แม้ต้ายงมีทหารและแม่ทัพมากมาย ทั้งหลี่จื้อยังครองใจผู้คน หลี่เสี่ยนแกล้วกล้าชำนาญศึก แต่หากมิมีคนผู้นี้วางแผนการอยู่หลังม่าน ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนี้
ข้าตระหนักแล้วว่าข้าเทียบเขามิได้ คิดดูแล้วคงมีหนทางเดียวที่จะแก้แค้น เขามิได้ทรยศหนานฉู่ไปเข้ากับต้ายงหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะหันมาเข้ากับหนานฉู่ เขามิใช่ต้องการช่วยหลี่จื้อรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะทำให้หนานฉู่ยึดครองแผ่นดินมาครึ่งหนึ่ง แม้มิอาจเอาชีวิตเขาด้วยตนเอง แต่ก็จะทำให้เขามิอาจอยู่อย่างสงบสุข
หากมิใช่เพื่อการนี้ ไยข้าต้องร่วมมือกับท่าน แค่ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับเขา ข้าก็สมควรสร้างความลำบากให้ท่านจึงจะถูก เพียงแต่หนานฉู่มิมีผู้ใดแทนที่ท่านได้แล้ว ข้าจึงได้แต่ฝืนจำทน”
บุรุษผู้สวมเกราะมิถือเป็นโทสะ เขาเพียงคลี่ยิ้มละไม คนตรงหน้าผู้นี้คงมีเพียงตนเองที่กล้าใช้งานเขา ในเมื่อมีเป้าหมายเดียวกัน ถ้าเช่นนั้นคนผู้นี้ย่อมเชื่อถือได้ แม้นิสัยของเขาจะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่เพื่อสถานการณ์ภาพรวมของหนานฉู่ เขามิอาจถือสา
อาจเพราะบุรุษรูปงามระบายอารมณ์ออกมาพักหนึ่งแล้วจึงผ่อนคลายลงมาก เขาเอ่ยอีกว่า “หนนี้ต้ายงส่งทูตมาตำหนิ บอกว่าหนานฉู่มิส่งราชบรรณาการมาสามปี ข้าตรวจสอบแล้ว พูดไปแล้วก็หัวเราะมิได้ร้องไห้มิออกจริงๆ
ฝูอวี้หลุนช่างขวัญกล้าเทียมฟ้าโดยแท้ รัชศกถงไท่ปีที่เก้าเขารับบัญชาให้เดินทางไปถวายเครื่องบรรณาการที่นครหลวงต้ายง ระหว่างทางถูกโจรดักปล้น โจรเหล่านั้นแย่งชิงเครื่องบรรณาการไป แต่กลับมอบราชสาสน์ตอบกลับปลอมให้เขาพร้อมกับสินบนครึ่งหนึ่ง คนผู้นี้หวาดกลัวจะมีโทษจึงปิดบังเรื่องนี้ไว้
สองปีหลังเขาได้ลิ้มลองรสชาติอันโอชะแล้วจึงสมคบกับโจรกลุ่มนั้นร่วมมือจากด้านในกับด้านนอก แบ่งเครื่องราชบรรณาการแล้วปลอมราชสาสน์ของแคว้น ฝ่ายต้ายงสามปีที่ผ่านมาก็มิเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ในสาสน์ที่ติดต่อกัน แต่กลับมาโวยวายในปีนี้ ต้องการให้เจ้าแคว้นไปขอขมาที่นครหลวงต้ายง หากเรื่องนี้มิมีแผนการร้ายซ่อนอยู่ ข้ามิเชื่อเป็นอันขาด”
[1]เจี่ยเซิน ปีลิง ปีที่ 21 ในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า