ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 21 ร้องรำใต้กระโจม (2)
แต่เพื่อรอบคอบไว้ก่อน ซั่งเหวยจวินจึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้ลั่วโหลวเจิน ถึงอย่างไรระวังไว้ก่อนก็เป็นเรื่องดี อาศัยชัยภูมิที่ได้เปรียบของปากแม่น้ำไหวสุ่ยกับซื่อสุ่ย หากกองทัพต้ายงบุกไหวตงจริง การจะขวางการบุกของกองทัพต้ายงก็น่าจะมิเป็นปัญหา เขายังจงใจเตือนลั่วโหลวเจินอีกว่า หากสู้รบชนะกองทัพต้ายงก็ห้ามไล่ตามโจมตี เพื่อจะได้มิจุดโทสะให้ต้ายง หากต้ายงยกกำลังพลทั้งหมดมาจู่โจม นั่นย่อมชนะเท่ากับพ่ายแพ้แล้ว
ลั่วโหลวเจินย่อมมิทราบเจตนาที่แท้จริงของซั่งเหวยจวิน กลับกลายเป็นว่าเพราะเขารู้จักความสามารถของลู่ช่านอยู่บ้าง เมื่อรวมกับอำนาจของซั่งเหวยจวินจึงทำให้เขาเชื่อถือข่าวกองทัพต้ายงอาจบุกลงใต้ในทันที
เขาขบคิดอยู่พักใหญ่ เผยอวิ๋นผู้บัญชาการทหารไหวหนานของต้ายงดูแลสวีโจวอยู่ แต่เดิมก็อาจเพ่งเล็งมาที่ไหวตงได้มากกว่าอยู่แล้ว หากลงใต้จากสวีโจวมาตามเปี้ยนสุ่ยกับซื่อสุ่ย ค่ายใหญ่ฉู่โจวของตนย่อมรับศึกเป็นที่แรก เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “จดหมายของแม่ทัพใหญ่เล่า พวกเจ้าเอาไปทิ้งไว้ที่ใด รีบไปหยิบมาให้ข้าเร็ว”
ทหารคนสนิทรีบไปหยิบจดหมายที่แต่เดิมลั่วโหลวเจินโยนทิ้งไม่สนใจมาส่งให้ ลั่วโหลวเจินเปิดจดหมายด้วยมืออันสั่นเทา ไม่นานก็เห็นส่วนที่ตนเองสนใจที่สุด ถ้อยคำที่เดิมทีไร้ค่ากลายเป็นดั่งทองคำ
‘การป้องกันแม่น้ำต้องป้องกันแม่น้ำไหวสุ่ยเป็นอันดับแรก ไหวตงมีฉู่โจว ซื่อโจว ก่วงหลิงเป็นเมืองรอบนอกคอยปกป้องหยางโจวกับลี่หยาง หากเสียสองเมืองนี้ เจี้ยนเย่ย่อมตกอยู่ในวิกฤต ค่ายใหญ่ของท่านแม่ทัพคุ้มกันฉู่โจว ค่ายอุดรคุ้มกันซื่อโจว ค่ายทักษิณคุ้มกันก่วงหลิง ปากแม่น้ำไหวสุ่ยกับซื่อสุ่ยก็อาจไร้กังวลแล้ว
แต่ตรงด่านซื่อโข่วเป็นจุดที่แม่น้ำซื่อสุ่ยจะไหลเข้าสู่แม่น้ำไหวสุ่ย อยู่ด้านข้างของฉู่โจว หากกองทัพต้ายงบุกลงใต้ มิผ่านด่านซื่อโข่วย่อมมิอาจบุกฉู่โจว หากแม่ทัพเชื่อคำข้า จงแบ่งกำลังทหารจำนวนมากมาพิทักษ์ด่านซื่อโข่วไว้ เช่นนี้ย่อมปกป้องไหวตงให้ปลอดภัยได้สำเร็จ’
เมื่ออ่านจดหมายจบ ลั่วโหลวเจินพลันตวาดเสียงดัง “เรียกประชุม เรียกประชุมเดี๋ยวนี้ ข้าจะเคลื่อนทหาร”
องครักษ์คนสนิทตอบอย่างตื่นตระหนก “ท่านแม่ทัพ รองแม่ทัพโจว ที่ปรึกษาหวงกับผู้ช่วยแม่ทัพทั้งหลายล้วนยังเมามายหลับไม่ตื่น”
ลั่วโหลวเจินถูฝ่ามือสองข้างอย่างร้อนรนพลางก่นด่าอยู่ในใจ แต่เขาก็ทราบว่าตนเองเป็นตัวการร้ายคนสำคัญของเรื่องนี้ คิดอยู่พักใหญ่จึงเอ่ยว่า “ไปเรียกซุนติ้งมา”
ทหารคนสนิทตะลึงวูบเดียว ลั่วโหลวเจินก็ยกเท้าถีบเขาออกไปจากกระโจมที่พัก แล้วตะโกนเสียงดังไล่หลัง “ยังมิรีบไปอีก” ทหารคนสนิทผู้นั้นจึงล้มลุกคลุกคลานวิ่งจากไป
ซุนติ้งผู้นั้นแต่เดิมเป็นแม่ทัพที่ค่อนข้างมีความสามารถคนหนึ่ง แต่เพราะนิสัยตรงไปตรงมา ล่วงเกินลั่วโหลวเจินหลายหน ลั่วโหลวเจินจึงลดขั้นเขาจากผู้ช่วยแม่ทัพกลายเป็นหัวหน้ากองพัน แต่ลั่วโหลวเจินสุดท้ายก็ยังพอมีสายตาเฉียบแหลมอยู่บ้าง ทราบว่าคนผู้นี้มีความสามารถ สุดท้ายจึงมิได้ขับไล่เขาออกจากกองทัพไหวตง เพียงแต่มิสนใจไยดีเขาเท่านั้น บางครั้งก็ปลอบประโลมสักสองสามคำ ยามนี้ถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว เขาย่อมนึกถึงคนผู้นี้ขึ้นมา
ผ่านไปไม่นานนัก ซุนติ้งก็เข้ามาพบ คนผู้นี้อายุเพียงสามสิบปี รูปลักษณ์องอาจผึ่งผาย มิคล้ายคนเจียงหนาน เขาอยู่ไหวตงมาหลายปีแล้ว แต่ต้องขุ่นเคืองใจกับหลายสิ่งที่มิสมดังหวัง ดังนั้นสีหน้าจึงเย็นชา เมื่อเข้ามาในกระโจม เขาก็แสร้งทำเป็นไม่ได้กลิ่นสุราและเครื่องหอมจากตัวลั่วโหลวเจิน ค้อมกายคำนับเอ่ยว่า “ซุนติ้งคารวะท่านแม่ทัพ เชิญท่านแม่ทัพโปรดสั่ง”
ลั่วโหลวเจินฝืนทำทีสุขุมกล่าวว่า “ข้าจะมอบทหารให้เจ้าห้าพันนาย เจ้าจงนำกองทัพไปยังด่านซื่อโข่วเดี๋ยวนี้ ดูแลการป้องกันของที่นั่น ป้องกันกองทัพต้ายงรุกราน”
ซุนติ้งตะลึง เขาเป็นหัวหน้ากองพัน นำทหารได้เพียงหนึ่งพันนายเท่านั้น เหตุไฉนลั่วโหลวเจินจึงมอบทหารให้เขาห้าพันนาย
ลั่วโหลวเจินเอ่ยอีกว่า “สถานการณ์เร่งด่วน ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้ช่วยแม่ทัพชั่วคราว รอหลังจากสืบความเคลื่อนไหวของกองทัพต้ายงชัดเจนแล้ว ข้าจะส่งหนังสือรายงานไปยังราชสำนักให้เจ้าได้ตำแหน่งจริงๆ”
ซุนติ้งฟังแล้วก็พลันกระจ่างใจ กองทัพต้ายงจะต้องมีความเคลื่อนไหวแน่ ข้าศึกประชิดแต่ลั่วโหลวเจินมิมีผู้ใดให้ใช้งานจึงนึกถึงตนขึ้นมา แต่เขาก็มิถือสา หากมีโอกาสสร้างความดีความชอบ ไยจะไม่รับไว้ด้วยความยินดีเล่า
ลั่วโหลวเจินผู้นี้แม้จะริษยาคนเก่ง ระแวงคนมีความสามารถ แต่ก็มีข้อดีอยู่บ้าง แม้ว่าความดีความชอบในการทำศึกของตนคงจะถูกเขาแย่งชิงไป แต่อย่างน้อยตำแหน่งผู้ช่วยแม่ทัพนี่ก็คงหนีไม่พ้นมือแล้ว
ดังนั้นซุนติ้งจึงรับบัญชาอย่างขึงขัง เดินทางออกจากค่ายพร้อมกับทหารห้าพันนาย ทหารห้าพันนายนี้มีกองหนึ่งเป็นทหารใต้บัญชาของเขา ผ่านการฝึกปรืออย่างเข้มงวดมาตลอด ส่วนอีกสี่กองล้วนแต่เป็นพวกที่พอฝืนใช้การได้ ค่ายใหญ่ฉู่โจวมิมีทหารม้า ซุนติ้งพากำลังพลห้าพันนายเดินทางไปยังด่านซื่อโข่วภายใต้แสงเดือนและแสงดาว
ด่านซื่อโข่วมีทหารเฝ้าอยู่เพียงห้าร้อยนายเพราะการละเลยของลั่วโหลวเจิน หากกองทัพต้ายงบุกมาอย่างกะทันหัน คงมิมีทางรักษาเอาไว้ได้อย่างแน่นอน ซุนติ้งคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจก็ร้อนรนดั่งเพลิงผลาญ รีบเร่งเดินทางไปยังด่านซื่อโข่ว
เมื่อเข้าใกล้ด่านซื่อโข่ว เขาก็มองเห็นตัวค่ายซึ่งเป็นที่ประจำการของกองทัพหนานฉู่ เวลานี้เป็นยามรุ่งสาง แสงสลัวมืดหม่น ซุนติ้งให้ทหารคนสนิทไปแจ้งนายกองผู้ประจำอยู่ที่ด่านซื่อโข่วก่อน เมื่อเห็นทหารคนสนิทถูกทหารที่ลาดตระเวนเฝ้ายามกลางคืนนอกค่ายขวางไว้เพื่อถามไถ่ จู่ๆ ซุนติ้งก็ขมวดคิ้ว ในใจเกิดความสงสัย
แต่เดิมหากเป็นที่ตั้งกองทหาร มีพลทหารลาดตระเวนกลางคืนก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอย่างที่สุด แต่ซุนติ้งดันทราบว่านายกองหูผู้ประจำอยู่ด่านซื่อโข่วในตอนนี้เป็นพวกรักตัวกลัวตาย วินัยในกองทหารหย่อนยานยิ่งนัก หากมิใช่ว่าย้ายมาป้องกันด่านซื่อโข่วจะเลื่อนตำแหน่งในกองทัพได้ง่าย อีกทั้งเจ็ดปีที่ผ่านมาต้ายงมิเคยเคลื่อนไหว คนผู้นี้คงมิมีทางมายังสถานที่อันตรายแห่งนี้เด็ดขาด หากเป็นค่ายของนายกองผู้นี้ ด้วยความสามารถของทหารคนสนิทผู้นี้ของตน เกรงว่าเดินไปถึงประตูค่ายแล้วก็ยังมิมีผู้ใดสังเกตเห็น
ซุนติ้งมองแม่น้ำซื่อสุ่ย แม่น้ำไหวสุ่ย แล้วมองค่ายที่เงียบสงัดมีการตรวจตราเข้มงวด ทันใดนั้นก็เกิดความคิดประหลาดประการหนึ่ง เขาถ่ายทอดคำสั่งแผ่วเบา ให้พลทหารทั้งหลายเตรียมเกราะและอาวุธให้พร้อม หลังจากนั้นตนเองจึงพาองครักษ์คนสนิทที่วรยุทธ์โดดเด่นจำนวนสิบกว่าคนเดินเชื่องช้าไปยังประตูค่ายแห่งนั้น
ยังมิทันเดินถึงประตูค่าย ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้สวมชุดหัวหมู่คนหนึ่งก็พาพลทหารห้าหกคนเดินก้าวเร็วไวเข้ามาหาแล้วเอ่ยกับซุนติ้งว่า “ท่านคือหัวหน้ากองพันซุนสินะขอรับ เมื่อวานนายกองของพวกเราเป็นหวัด ตอนนี้ยังมิอาจลุกจากเตียง ผู้น้อยเถียนเฉิง รับคำสั่งมาต้อนรับหัวหน้ากองพัน”
สายตาของซุนติ้งจับบนร่างของชายหนุ่มผู้นั้น สำเนียง เสื้อผ้า ถ้อยคำมิมีปัญหาแม้แต่น้อย ทว่าในใจเขากลับยิ่งรู้สึกหนาวสะท้าน หากใต้บัญชาของนายกองหูมีคนเก่งเช่นนี้อยู่ เขาก็คงจะดีใจอย่างยิ่ง อีกประการหนึ่ง สีหน้าบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้คือสีหน้าของความหยิ่งทะนงและมั่นใจในตนเอง มิใช่สีหน้าเฉยเมย มิรู้เรื่องรู้ราวที่เห็นได้ทั่วไปในกองทัพไหวตง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือบนร่างชายหนุ่มผู้นี้มีกลิ่นคาวโลหิตจางๆ สิ่งนี้ซุนติ้งมิมีทางมองข้ามได้อย่างแน่นอน
เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พยายามเอ่ยอย่างนิ่งสงบที่สุด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เชิญนำทาง”
ชายหนุ่มผู้นั้นหันหลังกลับ กำลังจะก้าวเท้าเดิน ทันใดนั้นซุนติ้งก็ชักดาบฟัน หนึ่งดาบนี้รวดเร็วดั่งห่านป่าผวาบิน ทั้งยังเป็นการลอบจู่โจมจากเบื้องหลัง แต่เดิมชายหนุ่มผู้นั้นยากจะหนีพ้น แต่คิดมิถึงชายหนุ่มผู้นั้นคล้ายเตรียมป้องกันอยู่ก่อนแล้ว ร่างกายจึงเอนล้มมาด้านหลังอย่างรวดเร็วมิธรรมดา ขณะที่แผ่นหลังห่างจากพื้นดินไม่ถึงหนึ่งฉื่อ ทันใดนั้นร่างกายก็หยุดประหนึ่งเสียบปักเอนอยู่บนพื้น
ซุนติ้งวาดดาบลงเบื้องล่าง ร่างกายของชายหนุ่มผู้นั้นพลันขยับขึ้นตั้งตรง ในเวลาเดียวกันก็ชักดาบโจมตีสวน
‘เคร้ง’ เสียงดาบดังกังวาน ซุนติ้งถูกกระแทกถอยหลังหนึ่งก้าว ส่วนชายหนุ่มผู้นั้นหนีรอดออกไปจากระยะดาบของเขา พลทหารหลายคนที่เหลือกระจายตัวออกเล็กน้อย ล้อมซุนติ้งกับองครักษ์คนสนิทสองสามคนไว้กลายๆ
ซุนติ้งถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “ช่างเป็นกระบวนท่าสะพานเหล็กที่ยอดเยี่ยม นี่เป็นวิชาลับที่สืบทอดกันในสำนักเส้าหลิน ท่านคือลูกน้องใต้บัญชาคนใดของแม่ทัพเผยเผยอวิ๋นผู้บัญชาการทหารแห่งไหวหนาน”
ชายหนุ่มผู้นั้นเลิกคิ้ว ตอบเสียงดังชัดเจน “ในเมื่อถูกท่านมองอกแล้ว มิสู้ข้าบอกกล่าวตามตรง ข้าคือตู้หลิงเฟิงแห่งค่ายไป๋อี แม่ทัพเผยคืออาจารย์อาของข้า”
แม้ซุนติ้งจะคาดไว้อยู่แล้ว แต่สีหน้าของเขาก็ยังย่ำแย่ ค่ายไป๋อีคือค่ายที่เผยอวิ๋นก่อตั้งขึ้นมากับมือ คนในยุทธภพมักจะดื้อรั้นมิเชื่อฟัง มิค่อยคุ้นเคยกับกฎกองทัพหรือกฎของแว่นแคว้น เผยอวิ๋นจึงก่อตั้งค่ายไป๋อีแล้วรับสมัครผู้มีความสามารถ ผู้ที่เข้ามาอยู่ในค่ายแห่งนี้จะมีกฎผูกมัดน้อยยิ่งนัก เพียงบอกเผยอวิ๋นคำเดียวก็ถอดเกราะหวนคืนบ้านเกิดได้ หากมีความคิดจะสร้างความดีความชอบก็เข้าร่วมกองทัพอย่างเป็นทางการได้เช่นกัน
คนที่อยู่ในค่ายแห่งนี้ฝีมือล้วนเหนือกว่าจอมยุทธ์ชั้นหนึ่ง ยามที่มีคนมากที่สุดมีมิเกินสิบแปดคน เนื่องจากฐานะของเผยอวิ๋น สมาชิกมากกว่าครึ่งจึงเป็นลูกศิษย์ฝีมือเยี่ยมจากเส้าหลินหรือสำนักฝ่ายธรรมะชื่อดังแห่งอื่น หากพวกเขาปรากฏตัวย่อมบ่งบอกว่าเผยอวิ๋นหมายมั่นจะยึดด่านซื่อโข่วให้จงได้ คนเหล่านี้ต้องได้รับคำสั่งจากเผยอวิ๋น ลอบมากำจัดทหารที่คุ้มกันด่านซื่อโข่ว เตรียมตัวรอรับกองทัพต้ายงที่จะบุกลงใต้แน่นอน หัวใจของซุนติ้งรู้สึกขมฝาดอย่างยิ่ง
แต่ไม่ว่าอย่างไรซุนติ้งก็เป็นทหารผู้มีฝีมือโดดเด่น เขาคิดเรื่องหนึ่งออกในทันที ในเมื่อตู้หลิงเฟิงตั้งใจจะล่อตนเข้าไปในค่าย ถ้าเช่นนั้นย่อมหมายความว่ากองทัพต้ายงในที่แห่งนี้มีกำลังพลมิพอ ดังนั้นตนเองยังมีโอกาสยึดด่านซื่อโข่วกลับมาได้อยู่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซุนติ้งจึงชูแขนตะโกนลั่น “สังหาร!”
พร้อมกับเสียงตะโกนของเขา ทหารหนานฉู่ก็บุกเข้าหาตัวค่าย ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้นั้นสกัดศัตรูอยู่ท้ายขบวนด้วยตนเองแล้วถอยกลับไปยังค่าย คนหลายร้อยคนแห่ออกมาจากตัวค่าย ตั้งกระบวนแถวต้านรับ กองทัพฝ่ายศัตรูมีตั้งห้าพันนายยังจะกล้าตั้งกระบวนทัพ ซุนติ้งนับถืออยู่ในใจ แต่หากพวกเขามิออกมาจากค่ายย่อมดียิ่งกว่า ถ้าเช่นนั้นตนเองเพียงล้อมค่ายไว้แล้วใช้ไฟโจมตีก็คงคว้าชัยมาได้
ท่ามกลางเสียงตะโกนโห่ร้อง สองกองทัพเริ่มห้ำหั่นนองเลือด ความสำคัญของด่านซื่อโข่ว ทั้งสองฝ่ายต่างรู้แจ้งแก่ใจ มิว่าผู้ใดก็ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย การประจัญบานหนนี้ ซุนติ้งกังวลมากกว่าอย่างช่วยมิได้ ฝั่งเขานอกจากพลทหารหนึ่งพันนายของตนเอง ทหารสี่พันนายที่เหลือแทบจะมิชำนาญกระบวนทัพ ฝีมือเชิงยุทธ์ก็มิเจนจัด ยากจะใช้ประโยชน์อันใดได้ แม้จำนวนคนจะมากมาย แต่กลับมิอาจบีบกระบวนทัพของศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฝ่ายกองทัพศัตรูแม้จำนวนคนน้อย ทว่าแต่ละคนแกล้วกล้าชำนาญศึก ยิ่งมีตู้หลิงเฟิงผู้มีวรยุทธ์และความกล้าเหนือธรรมดา สังหารทหารกล้าของหนานฉู่ไปหลายนาย เพียงชั่วครู่เดียวสถานการณ์ของการสู้รบก็ตกอยู่ในสภาพยืดเยื้อ ซุนติ้งกังวลว่ากองหนุนของทัพต้ายงจะมาถึงจึงขมวดคิ้วอย่างช่วยมิได้ แต่เดิมคิดจะรีบสู้รีบตัดสิน คิดมิถึงกลับถูกถ่วงเวลาเอาไว้
เขาครุ่นคิดแล้วแยกพลทหารในค่ายของตนจำนวนสองร้อยคนออกมา ให้พวกเขายิงธนูจากวงนอก พลทหารเหล่านี้ล้วนฝึกฝนการรบทางน้ำมาอย่างชำนาญ ทักษะการยิงธนูย่อมมิอ่อนด้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพต้ายงจึงค่อยๆ อ่อนแรงลงทุกที
ในตอนที่ซุนติ้งกระตุ้นพลทหารทั้งหลาย เตรียมจะกำจัดทัพต้ายงกองนี้นั่นเอง กองทัพต้ายงที่ถูกล้อมอยู่จู่ๆ ก็ตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดี เสียงตะโกนนั่นดังขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าดังมาจากด้านที่อยู่ไกลออกไป ซุนติ้งตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมอง ท้องฟ้าเริ่มทอแสงสีขาว เขาหันไปมองแม่น้ำซื่อสุ่ยด้วยสัญชาตญาณ จากนั้นจึงเห็นธงปลิวสะบัด กองเรือล่องเต็มแม่น้ำ บนผืนธงที่ปลิวไสวอยู่บนหัวเรือคือตัวอักษรขนาดใหญ่คำว่า ‘เผย’