ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 25 โลหิตบนนครเดียวดายยังมิทันแห้ง (2)
กู้หยวนยงตกใจจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก แม้ตู้หลิงเฟิงจะตบตีด่าทอจ่างสื่อผู้มิเคารพผู้นั้น แต่สายตาของคนที่เหลือกลับมองมาบนร่างของตนอย่างชัดเจน บ่งชัดว่ามีเจตนาเชือดไก่ให้ลิงดู เห็นขุนนางใต้บัญชาผู้มีความสามารถถูกพลทหารกองทัพต้ายงคนนั้นใช้อำนาจข่มเหง ในใจกู้หยวนยงก็เกิดความรู้สึกอดสู อยากจะด่าคนเหล่านี้ให้หนักๆ สักยก จากนั้นให้เผยอวิ๋นออกคำสั่งลากตนเองออกไปตัดหัวเสีย เช่นนั้นจะได้นับว่าจงรักภักดีต่อแว่นแคว้นถึงที่สุดแล้ว
ใบหน้าของเขาประเดี๋ยวเขียว ประเดี๋ยวแดง เผยอวิ๋นล้วนเห็นอยู่ในสายตา แต่ยามนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการข่มขวัญขุนนางหนานฉู่ ให้พวกเขามิกล้าต่อต้าน ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นมองมิเห็นสีหน้าของกู้หยวนยง ขุนนางชั้นสูงที่ไหวตงของหนานฉู่ล้วนเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางของหนานฉู่ ต่อให้ขอยอมสวามิภักดิ์แต่ก็เชื่อมิได้เต็มร้อย เผยอวิ๋นต้องรอหลังจากบุกตีก่วงหลิงเสร็จจึงจะสะสางไหวตง ทำให้มันกลายเป็นแนวหน้าของการบุกยึดหนานฉู่ของต้ายง ตอนนี้เพียงอดทนไปก่อนเท่านั้น
ผ่านไปหนึ่งวัน เผยอวิ๋นก็ทิ้งเว่ยผิงกับกำลังพลห้าพันคนไว้ดูแลฉู่โจว ส่วนตนเองนำกองทัพใหญ่ไปรวมตัวกับกำลังพลของเหออิ่งทางฝั่งก่วงหลิง ในเวลาเดียวกันนี้กองทัพของจางเหวินซิ่วก็ยึดซื่อโจวได้สำเร็จ กำลังจะไปรวมตัวที่ก่วงหลิงเช่นเดียวกัน
ก่วงหลิงเป็นประตูบานสุดท้ายสู่หยางโจว ที่แห่งนี้แต่เดิมอยู่ในการปกครองของหยางโจว สมัยก่อนหยางโจวถูกเรียกว่าก่วงหลิง ปลายสมัยตงจิ้น ที่แห่งนี้ตั้งอำเภอชื่อว่าเทียนฉางขึ้นมา ต่อมาเปลี่ยนชื่อก่วงหลิงเป็นหยางโจว เปลี่ยนเทียนฉางเป็นก่วงหลิง
จวบจนวันนี้หลายสิบปีผ่านไป ผู้คนจึงคุ้นเคยกับวิธีการเรียกเช่นนี้นานแล้ว และมองว่าก่วงหลิงเป็นปราการทางทิศเหนือของหยางโจว ยึดก่วงหลิงได้ก็ยึดหยางโจวมาครองได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นหนานฉู่จึงตั้งค่ายใหญ่ก่วงหลิงไว้ตรงที่แห่งนี้
แม้ไช่หลินรองแม่ทัพแห่งค่ายใหญ่ก่วงหลิงจะเป็นพรรคพวกของซั่งเหวยจวินเช่นเดียวกัน แต่คนผู้นี้กลับมีนิสัยซื่อตรง เขาเป็นหลานต่างแซ่ของซั่งเหวยจวิน หากมิใช่ว่าเขามิถูกกับซั่งเหวยจวิน ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งไหวตงนั่นก็คงมิตกไปอยู่กับลั่วโหลวเจิน ดังนั้นลั่วโหลวเจินจึงรักษาไมตรีและรักษาระยะห่างจากเขา มอบค่ายใหญ่ก่วงหลิงให้เขาดูแลโดยมิยุ่งเกี่ยว ไช่หลินฝึกฝนทหารได้ประสบความสำเร็จพอสมควร อีกทั้งยังคอยคุมพลทหารมิให้เกะกะระรานชาวบ้าน แล้วยังเคยช่วยเหลือยามเกิดภัยอีกหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงมีชื่อเสียงดีงามในแถบก่วงหลิงอย่างที่สุด
หลังจากค่ายใหญ่ฉู่โจวกับค่ายใหญ่ซื่อโจวแตกพ่าย ก็มีทหารแตกทัพมิน้อยหนีมาถึงก่วงหลิง ถูกเขารับเข้ามาในค่าย หลังจากจัดระเบียบแล้วมีอยู่สามหมื่นกว่าคน หลังจากเขาแจ้งข่าวการศึกให้ทางเจี้ยนเย่แล้ว จึงนำทหารเข้าไปประจำการในเมืองก่วงหลิง
ในใจเขารู้ดีว่าหากคิดจะต่อต้านกองทหารต้ายงซึ่งหน้าย่อมมีแต่พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ ดังนั้นเขาจึงเตรียมจะอาศัยเมืองก่วงหลิงต้านการโจมตีของทัพต้ายงไว้ เขารู้ตัวดีว่าตนเองรบชนะเผยอวิ๋นมิได้ จึงหวังเพียงว่าจะปกป้องเมืองไว้ได้จนกองหนุนของหนานฉู่มาถึง
เดือนสิบ วันที่เก้า กองทัพใหญ่ของเผยอวิ๋นเดินทางมาถึงก่วงหลิง กองทัพต้ายงแสนนายยกทัพมาประชิดเมืองก่วงหลิง ทอดสายตามองไปเห็นไพร่พลมากมายแน่นขนัด กองทัพของต้ายงตั้งแถวเรียงราย แลดูน่าหวั่นกลัว เพียงมองก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกว่ามิอาจเอาชนะได้
ไช่หลินชี้กองทัพใหญ่ของต้ายงแล้วเอ่ยว่า “หากเสียก่วงหลิง กองทัพต้ายงก็จะบุกตรงเข้าไปที่หยางโจว เป็นภัยต่อจิงโข่วกับเจี้ยนเย่ หากพวกเจ้ามิร่วมแรงทำศึก ชื่อเสียงของกองทัพไหวตงคงมิเหลือ ข้าส่งหนังสือไปยังเจี้ยนเย่ ขอกำลังเสริมจากอัครมหาเสนาบดีซั่งกับแม่ทัพใหญ่ลู่แล้ว พวกเราเพียงต้องป้องกันไว้สิบวันครึ่งเดือน กองหนุนก็จะมาถึงแล้ว ทุกท่านยอมสู้จนตัวตายหรือไม่”
แม่ทัพและทหารในค่ายใหญ่ก่วงหลิงได้รับน้ำใจจากไช่หลินมามากมาย ได้ยินดังนั้นจึงล้วนตะโกนเสียงดังว่า “ยินดีสู้จนตัวตายเพื่อท่านแม่ทัพ”
เสียงตะโกนลอยออกไปไกล กองทัพต้ายงที่อยู่นอกกำแพงได้ยินชัดเจน เผยอวิ๋นขมวดคิ้ว เอ่ยกับเหออิ่ง จางเหวินซิ่วที่อยู่ด้านหลังว่า “ดูท่าเมืองก่วงหลิงจะบุกตีมิง่าย!”
จางเหวินซิ่วเป็นแม่ทัพหนุ่มผู้มีหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง เขาหัวเราะเสียงกังวานเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพไยต้องกังวล แม้ก่วงหลิงจะบุกตียาก แต่จะต้านทานทหารม้าเหล็กของพวกเราต้ายงได้หรือ”
แม่ทัพและทหารทั้งลายต่างตะโกนเสียงดัง “ขอท่านแม่ทัพออกคำสั่งบุกตีเมือง หากยึดก่วงหลิงมิได้ สาบานมิขอเป็นคน”
เผยอวิ๋นได้ยินจึงสะบัดแส้ชี้เมืองก่วงหลิงแล้วว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหออิ่ง หนนี้เจ้ายังมิได้สร้างความดีความชอบ ให้เจ้าบุกก่อนเป็นเช่นไร”
เหออิ่งดีใจยิ่งนัก ตลอดทางที่ผ่านมาเผยอวิ๋นชิงเป็นทัพหน้าเสียหมด เขาจึงได้แต่นำไพล่พลส่วนมากตามมาด้านหลัง ใจกระหายอยากลงสมรภูมิตั้งนานแล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ เขาพลันรับบัญชาอย่างขึงขัง ควบอาชาไปหน้ากองทัพ มินานเสียงแตรสัญญาณก็ดังขึ้น การบุกตีเมืองระลอกแรกของกองทัพต้ายงเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ผู้ใดก็คาดคิดมิถึงว่า การบุกตีหนนี้กลับยาวนานถึงครึ่งเดือนเต็มๆ
ไช่หลินกล่าวได้ว่าครองใจประชาชนในก่วงหลิงมากมายนัก เขามิเหมือนลั่วโหลวเจินที่ไร้ความสามารถและเกียจคร้าน หลายปีที่ผ่านมาเขาเตรียมพร้อมทำสงครามอย่างเต็มที่ เสบียงและอาวุธในเมืองก่วงหลิงพรั่งพร้อมยิ่งนัก ภายใต้การนำของเขา เมืองก่วงหลิงยืนหยัดมิสั่นคลอนได้ถึงครึ่งเดือน
กำแพงเมืองตั้งแต่บนจดล่างล้วนมีสภาพเละเทะ เครื่องยิงหิน หอธนูของกองทัพต้ายงมิรู้เสียหายไปเท่าใด กองทัพหนานฉู่มิรู้ยิงศรออกมาแล้วกี่ดอก ราดน้ำมันเดือดกับน้ำปฏิกูลไปแล้วมิรู้เท่าใด โยนหินกลิ้งท่อนไม้ก็นับมิถ้วน จนต่อมาบ้านและอาคารที่อยู่ใกล้กำแพงเมืองก็ถูกรื้อ นำก้อนหินกับไม้มาใช้ปกป้องเมืองด้วยแล้ว กองทัพต้ายงส่งหน่วยกล้าตายบุกขึ้นกำแพงเมืองหลายหนล้วนมิสำเร็จ
หนที่ใกล้สำเร็จมากที่สุดคือเมื่อเดือนสิบ วันที่สิบเก้า เผยอวิ๋นส่งองครักษ์ค่ายไป๋อีทั้งหมดออกไป คนทั้งหมดสิบหกคนนำทหารกล้าผู้กล้าพลีชีพจำนวนสามร้อยนายปีนขึ้นกำแพง ไช่หลินนำองครักษ์คนสนิทมารับศึกด้วยตนเอง ต่อสู้อย่างยากลำบากอยู่ครึ่งวัน หากมิใช่ว่ากองหนุนจากเกาโหยวที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของก่วงหลินมาเสริมกำลังกะทันหัน เกรงว่าเมืองก่วงหลิงคงแตกแล้ว
การต่อสู้อันเลวร้ายหนนี้ คนของค่ายไป๋อีสิ้นชีพไปสองคน ทหารกล้าสามร้อยนายมิมีผู้ใดรอดกลับมา องครักษ์ข้างกายไช่หลินก็ล้วนบาดเจ็บล้มตายหมดสิ้น ทว่ายามแสงสุดท้ายของดวงตะวันฉายส่อง กำแพงเมืองก่วงหลิงที่อาบด้วยโลหิตก็ยังคงตั้งตระหง่านมิล้ม
เผยอวิ๋นสีหน้าเย็นยะเยือกเล็กน้อย แม้มิได้คิดว่าจะบุกตีก่วงหลิงได้ภายในเวลาไม่กี่วัน แต่สถานการณ์ตอนนี้มิราบรื่นมากเกินไป เขาต้องจบศึกนี้ให้ได้ตามเวลาที่ต้องการจึงจะใช้ได้
ตู้หลิงเฟิงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า แม้เขาอายุน้อย แต่วรยุทธ์ก็นับว่าเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองในค่ายไป๋อี แล้วทั้งสองคนยังมีความสัมพันธ์เป็นอาจารยอากับศิษย์หลาน ดังนั้นเผยอวิ๋นจึงเป็นห่วงเขาอย่างยิ่ง เห็นเขาอาบเลือดไปทั้งตัว เผยอวิ๋นก็ขมวดคิ้วถามว่า “เป็นเช่นไร เจ็บหนักหรือไม่”
ตู้หลิงเฟิงตอบว่า “ข้าถูกดาบฟันสองหนเท่านั้น มิได้เจ็บลึกถึงเส้นเอ็นหรือกระดูก น่าเสียดายก็แต่พี่น้องเหล่านี้ องครักษ์คนสนิทข้างกายไช่หลินวรยุทธ์สูงส่งยิ่งนัก หากตอนแรกองครักษ์คนสนิทข้างกายลั่วโหลวเจินฝีมือสูงส่งเช่นนี้ น่ากลัวว่าอาจารย์อากับข้าคงตายอยู่ในค่ายใหญ่ฉู่โจวแล้ว”
เผยอวิ๋นถอนหายใจ “ตระกูลไช่แห่งเจี้ยนเย่เป็นตระกูลขุนนางชื่อดังของหนานฉู่ ย่อมมีองครักษ์ฝีมือดีอยู่บ้าง อีกทั้งไช่หลินยังเป็นหลานสายตรงของตระกูลไช่ ก็มิแปลกที่จะเป็นเช่นนี้”
ตู้หลิงเฟิงเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพ กองทหารรักษาเมืองของเกาโหยวดันใจกล้าเดินทางมาช่วยก่วงหลิง กองหนุนของหนานฉู่จะใช่เตรียมตัวข้ามแม่น้ำมาแล้วหรือไม่”
เผยอวิ๋นส่ายหน้าตอบว่า “ข่าวที่กองการข่าวส่งมาบอกว่าตอนนี้ลู่ช่านกำลังขอรับช่วงอำนาจทหารไหวตงอยู่ในเจี้ยนเย่ แต่ซั่งเหวยจวินยังผัดผ่อนมิยอม”
ตู้หลิงเฟิงตกตะลึง “ซั่งเหวยจวินมิทราบหรือว่าตอนนี้ไหวตงกำลังตกอยู่ในวิกฤต”
เผยอวิ๋นหัวเราะ “เรื่องนี้มีลับลมคมในเล็กน้อย เหมือนจะมีคนตัดการส่งข่าวสารระหว่างไหวตงกับเจี้ยนเย่ หนังสือขอกองหนุนของก่วงหลิงจึงไปมิถึงเจี้ยนเย่ตั้งแต่แรก”
ตู้หลิงเฟิงมึนงง แต่มินานเขาก็โยนเรื่องนี้ทิ้งออกไปจากสมองแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์อา ถ้าเช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไร กองทหารรักษาเมืองของเกาโหยวดันกล้าออกมาจากเมืองมาทำศึก”
เผยอวิ๋นกำลังจะตอบเขา ทหารสอดแนมคนหนึ่งก็เข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ สืบชัดแล้ว คนเหล่านั้นมิใช่กองทหารรักษาเมืองเกาโหยว แต่เป็นกลุ่มโจรสลัดแห่งทะเลสาบเกาโหยว หัวหน้ามีนามว่ากวนเฟิง คนผู้นี้ต่อสู้บนน้ำเก่งกาจเหนือผู้ใด ฝีมือเป็นอันดับหนึ่งของเกาโหยว แต่เพราะต่อต้านลั่วโหลวเจินที่มาขูดรีดเสบียงกับเงินทองจึงถูกบีบให้กลายเป็นโจรสลัด ยามปกติปล้นคนรวยช่วยคนจน ครองใจประชาชนในเกาโหยวยิ่งนัก
เขากับไช่หลินแห่งค่ายใหญ่ก่วงหลินเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย หากมิใช่เพราะไช่หลินขอไว้ น่ากลัวว่าลั่วโหลวเจินคงยกกองเรือมากำจัดโจรสลัดทะเลสาบเกาโหยวตั้งนานแล้ว ยามนี้เขาก็เป็นคนนำพรรคพวกมาช่วยก่วงหลิง”
เผยอวิ๋นคลี่ยิ้ม “คนผู้นี้ช่างมีคุณธรรมน้ำมิตร น่าเสียดายเป็นได้เพียงตั๊กแตนขวางรถม้า เหออิ่ง วันพรุ่งเจ้าจงเดินทางไปตีเกาโหยว หลิงเฟิงไปฉู่โจวถ่ายทอดคำสั่งของข้า เคลื่อนกองเรือกองหนึ่งไปรอคำสั่งที่เกาโหยว ถึงเวลาให้กองเรือปกป้องปีกด้านข้าง เหออิ่งล่องน้ำมาลอบจู่โจมฝั่งตะวันออกของก่วงหลิง เมื่อมิทันป้องกัน ก่วงหลิงต้องแตกโดยไวแน่”
แม่ทัพทั้งหลายรับคำสั่งเสียงดังกึกก้อง
เดือนสิบ วันที่สิบสอง เหออิ่งบุกตีเกาโหยวสายฟ้าแลบ
เดือนสิบ วันที่ยี่สิบเอ็ด กองเรืองหนึ่งกองมาถึงทะเลสาบเกาโหยว เดิมทีก่อนการบุกตีหยางโจวมิได้เตรียมจะใช้กองเรือ ดังนั้นกองเรือจึงอยู่ที่ทะเลสาบหงเจ๋อในฉู่โจวรอคำสั่ง ยามนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว จึงได้แต่เคลื่อนกองเรือกองหนึ่งมายังทะเลสาบเกาโหยวรับมือกับกลุ่มโจรสลัด