ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 32 ขอถามนี่บุตรชายบ้านใด (4)
ลู่อวิ๋นถูกแววตาเจิดจ้าของนางจับจ้อง ก็เอ่ยขึ้นอย่างช่วยมิได้ “ท่านลุง อวี้จิ่นวรยุทธ์โดดเด่นปานนั้น ให้นางไปด้วยกันเถิด บนสนามรบข้าจะปกป้องนางอย่างดีแน่นอน”
ผู้ใดจะคิดว่าสือซิ่วกลับมิรับน้ำใจ เท้าลอยขึ้นมาเตะ “ผู้ใดต้องการให้เจ้าปกป้อง วรยุทธ์ข้าด้อยกว่าเจ้าหรือ”
ลู่อวิ๋นมิกล้าขยับหลบ ได้แต่ทำหน้าทุกข์ระทมยอมรับลูกเตะหนนี้แต่โดยดี
สือกวนข่มกลั้นความรู้สึกอยากหัวเราะลั่นเอาไว้ จากนั้นมองสีหน้าของสือซิ่วที่ราวกับกำลังบอกว่า หากท่านมิให้ข้าไปสนามรบ ข้าก็จะตามไปเอง ในใจจึงคิดว่า ช่างเถิด พาไปข้างกายจะวางใจกว่าอยู่บ้าง เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ก็ได้ พวกเจ้าสองคนไปด้วยกัน แต่ห้ามอยู่ห่างจากข้า”
ลู่อวิ๋นกับสือซิ่วต่างดีใจยิ่งนัก จูงมือกันไปจัดเตรียมอาชากับอาวุธอย่างเป็นธรรมชาติ มิรู้สึกว่าสมควรหลีกเลี่ยงคำครหาแม้แต่น้อย ดวงตาของสือกวนฉายแววยินดี หลังจากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึม หันไปมองกระดาษข้อความแผ่นนั้นอีกหน ‘สาม’ ถ้าเช่นนั้นอย่างน้อยก็ต้องเสียจดหมายฉบับที่ ‘หนึ่ง’ กับ ‘สอง’ ไปแล้ว การป้องกันของกองทัพต้ายงแน่นหนายิ่งนักเชียว แต่ต่อให้กระดาษตกอยู่ในมือของกองทัพต้ายงก็มิเป็นอันใด กระดาษข้อความนี้เป็นเพียงการให้สัญญาณอย่างหนึ่งเท่านั้น
วันต่อมาลู่อวิ๋นกับสือซิ่วล้วนแต่งตัวพร้อมออกศึก แต่ทั้งวันกลับมิมีเรื่องมิคาดฝันประการใดเกิดขึ้น กองทัพต้ายงกับกองทัพหนานฉู่คุ้นเคยกับกลยุทธ์การรบของอีกฝ่ายแล้ว แทบจะในทันทีที่กองทัพศัตรูขยับก็ทราบว่าจะรับมือเช่นไร แม้การฆ่าฟันจะโหดร้าย แต่มิมีสิ่งใดแปลกใหม่
ช่วงตะวันพลบ ชุยเจวี๋ยโยนกระดาษข้อความสองแผ่นที่อยู่ในมือทิ้งไปอย่างส่งๆ แล้วกล่าวว่า “สุดท้ายก็เป็นคำพูดเหลวไหลจริงๆ กองทัพหนานฉู่ต้องจงใจล่อหลอกแน่ ต่อให้ลู่ช่านใจกล้าเทียมฟ้าเพียงไร ตอนนี้ก็มิกล้าออกจากจิงโข่ว” สายลมหอบหนึ่งพัดมา แผ่นกระดาษแผ่นนั้นลอยคว้างไปตามสายลม เผยให้เห็นตราประทับสีทองด้านบน
เดือนสิบเอ็ด วันที่ยี่สิบเอ็ด สือกวนยังคงให้แม่ทัพและเหล่าทหารสวมเกราะพร้อมรบ เตรียมตัวออกศึกตลอดเวลา อีกทั้งยังเลือกทหารชั้นยอดมาหนึ่งกอง ให้พวกเขาสะสมกำลังเอาไว้ ทั้งสองฝั่งสู้รบกันจนถึงยามอู่ ดวงตะวันเคลื่อนมาทางท้องฟ้าฝั่งทิศใต้ วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสอย่างหาได้ยาก แม้อากาศในเหมันตฤดูจะหนาวเย็นอยู่บ้าง แต่พลทหารทั้งด้านบนและด้านล่างของกำแพงเมืองล้วนมีเหงื่อซึมจนชุ่มโชกอาภรณ์ ทั้งสองฝั่งต่างกำลังใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย อาศัยลูกฮึดต่อสู้อย่างยากลำบากด้วยกันแทบทั้งสิ้น การบุกโจมตีมิหยุดพักเป็นเวลาสิบกว่าวัน บั่นทอนกำลังกายและความมุ่งมั่นของผู้คนอย่างแท้จริง
ชุยเจวี๋ยกับต่งซานสบตากัน พวกเขาต่างเห็นความวิกตกกังวลในดวงตาของอีกฝ่าย ต่งซานเอ่ยอย่างลังเล “แม่ทัพเผยกับลู่ช่านกำลังประจันหน้ากันอยู่ที่หยางโจว ส่วนพวกเราโจมตีไหวซี นี่คือแผนการที่กำหนดไว้แต่เดิม ทว่าสถานการณ์ศึกฝั่งไหวซีกลับยากเย็นเช่นนี้ คิดมิถึงจริงๆ”
ชุยเจวี๋ยเอ่ยตอบว่า “เรื่องนั้นก็ช่วยมิได้ อย่างไรเสียโซ่วชุนก็มิมีทหารกองหนุน สุดท้ายพวกเราก็ได้เปรียบ ช่างเถิด โจมตีรุนแรงอีกสักหน อาศัยโอกาสยามเที่ยงวันที่กองทหารรักษาเมืองอ่อนล้าลงแรงเพิ่มขึ้นอีกหน่อย”
ต่งซานพยักหน้า นี่เป็นสิ่งที่ทำตามปกติ หากการโจมตีหนนี้มิสำเร็จก็จะถอยทัพไปพักจนถึงยามเว่ย หลังจากนั้นจึงลั่นกลองปลุกขวัญกำลังใจโจมตีจนกว่าตะวันจะลับฟ้า
ชุยเจวี๋ยกระตุ้นทหารในกองทัพ จากนั้นจึงเริ่มบุกตีเมือง ทหารผู้เหนื่อยล้าที่ถูกผลัดเปลี่ยนออกมาแทบจะล้มลงหลับบนพื้น ความเหนื่อยล้าที่สั่งสมติดกันมาหลายวันมิได้อยู่ที่ร่างกายเพียงเท่านั้น แต่ยังอยู่ในจิตใจด้วย ชุยเจวี๋ยเห็นสภาพนั้นพลันขยับริมฝีปาก แต่สุดท้ายก็มิได้ออกคำสั่งให้พลทหารเหล่านั้นคอยระวังศัตรู
การบุกหนนี้เหมือนจะได้ผลมิเลวนัก การป้องกันของโซ่วชุนอ่อนกำลังลงบ้างแล้ว มีเค้าลางว่าจะพังทลายลงภายใต้การโหมโจมตีที่ทุ่มเต็มกำลังของกองทัพต้ายง ชุยเจวี๋ยกับต่งซานต่างยินดีอยู่ในใจ พวกเขาส่งสายตาให้กันแล้วส่งหน่วยกล้าตายฝีมือเยี่ยมที่สุดออกมา เตรียมตัวจะโจมตีเผด็จศึกกองทหารรักษาเมืองโซ่วชุน บางทีวันนี้อาจตีเมืองโซ่วชุนแตกก็เป็นได้
นี่มิใช่เพียงความคิดของแม่ทัพทั้งสองคนเท่านั้น แต่ทหารทั้งหลายที่บุกตีเมืองอยู่ก็สัมผัสได้ถึงเรี่ยวแรงที่เหือดหายของกองทหารรักษาเมืองบนกำแพงเช่นกัน พวกเขาต่างบุกโจมตีสุดชีวิต
ในตอนนี้เอง ด้านหลังผืนป่าบนเนินเขาที่อยู่ห่างออกไปสองสามลี้ ดวงตาคู่หนึ่งฉายแววเหี้ยมเกรียม เขายกมือขึ้นเบาๆ ด้านหลังมีเสียงลมหายใจแฝงความตึงเครียดเล็กน้อยกับเสียงหายใจฟืดฟาดเบาๆ ของอาชาศึกดังขึ้น หลังจากนั้นคนผู้นั้นก็โบกมืออย่างเด็ดขาดแล้วควบอาชาลุยเดี่ยวนำหน้าอ้อมหลังเนินเตี้ยเป็นวงโค้ง พุ่งเข้าไปหาทัพหลังของกองทัพต้ายง
“ฆ่า!” เสียงตะโกนดังก้องถึงชั้นเมฆ เสียงกีบเท้าอาชาย่ำสะเทือนเลือนลั่นกับเสียงกลองศึกกระหึ่มดังกังวานทั่วท้องนภาในเวลาเดียวกัน ชุยเจวี๋ยกับต่งซานต่างตกตะลึง หันหน้าไปมองก็เห็นฝุ่นฟุ้งตลบมาแต่ไกล ทหารม้ากองหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาจู่โจม ชั่วขณะนั้นมองมิเห็นว่าจำนวนคนเท่าใด แต่อย่างไรเสียก็มากกว่าห้าพันนาย ทหารม้าเหล่านั้นล้วนสวมเกราะเสีเงิน ชุดเกราสะท้อนแสงตะวันวาววับทำให้คนแทบมิอาจลืมตามอง
เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้ ในใจของทั้งสองคนตะลึงงันจนพูดมิออก หนานฉู่โดดเด่นด้านกองเรือ มิได้ให้ความสำคัญกับกองทหารม้ามากนัก จากที่พวกเขาทราบมา ยามนี้นอกจากกองทหารม้าเก้าพันนายของเซียงหยางกับกองทหารม้าสามพันนายของค่ายใหญ่เจียงเซี่ย ทั่วทั้งหนานฉู่ก็แทบจะหากองทหารม้าที่มีกำลังรบเพียงพอออกมามิได้อีกแล้ว กองทหารม้าเหล่านั้นมากกว่าครึ่งล้วนเป็นรากฐานที่เต๋อชินอ๋องสร้างขึ้นมาในอดีต แต่ทหารม้ากองนี้มาจากที่ใดกัน ความคิดนับพันหมื่นไหลผ่านในชั่วพริบตา ทั้งสองคนตะโกนลั่นพร้อมกัน “ถอย ถอยทัพ”
ทว่าเวลานี้ทหารม้าเกราะเงินกองนั้นพุ่งเข้ามาในทัพหลังของกองทัพต้ายงแล้ว กองทัพต้ายงแต่เดิมก็เหนื่อยล้าอย่างยิ่งอยู่แล้ว อีกทั้งยังมิทันระวังตัว เมื่อถูกจู่โจม กองทัพต้ายงจึงตกอยู่ในความโกลาหลและพังทลายลงทันที ทหารม้ากองนั้นพุ่งเข้ามาสังหารอย่างเหิมเกริม ประหนึ่งคมดาบสะบั้นกองทัพต้ายงออกเป็นชิ้นๆ
ในตอนนี้เอง ประตูเมืองที่เดิมทีถูกปิดไว้จากด้านในก็เปิดออก สิ่งนี้เดิมทีเป็นสิ่งที่กองทัพต้ายงปรารถนา แต่ยามนี้กลับกลายเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แม่ทัพที่นั่งอยู่สูงบนหลังม้าหน้าประตูเมืองก็คือสือกวน ฝั่งซ้ายขวาของเขามีแม่ทัพหนุ่มชุดเกราะสีขาวอาภรณ์สีขาวสองคนปกป้องอยู่ฝั่งละหนึ่งคน ในมือทั้งสองคนล้วนถือหอกสีเงินเล่มหนึ่ง บนแผ่นหลังสะพายคันศรแกะสลัก บนหลังม้าห้อยถุงลูกศรเอาไว้ แม้แต่อาชาศึกของทั้งสองคนก็ล้วนเป็นอาชาสีขาวหน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก หน้ากากบนหมวกเกราะล้วนปิดลงมาทำให้มองมิเห็นหน้าตาของทั้งสองคน แม้ว่ารูปร่างจะต่างกันเล็กน้อย แต่เมื่อมีชุดเกราะสวมทับก็มองมิออก ทั้งสองคนนี้ราวกับพี่น้องร่วมอุทร ในใจของทหารต้ายงมากมายที่มองเห็นล้วนคิดขึ้นมาว่า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ กันถ้วนหน้า ในสมองปรากฏภาพของทหารหนุ่มผู้กล้าที่โลดแล่นอยู่บนกำแพงเมืองโซ่วชุนหลายวันนี้
เพียงแต่มิทันไรทหารต้ายงเหล่านี้ก็มองเห็นแม่ทัพผู้นั้นเหวี่ยงดาบชี้มาด้านหน้า ทหารห้าพันนายในเมืองที่ยังมีเรี่ยวแรงบุกเข้ามาหาทัพหน้าของกองทัพต้ายง กองทหารรักษาเมืองโซ่วชุนมิเคยก่อตั้งกองทหารม้า นอกจากองครักษ์คนสนิทราวร้อยคนที่อยู่ข้างกายสือกวนก็มิมีอาชาศึกอีก แต่กำลังรบของพวกเขาก็มิอ่อนแอ การที่พวกเขาบุกออกมาสู้ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพต้ายงถูกเล่นงานครั้งใหญ่มิแพ้กองทหารม้าที่ทะลวงกระบวนทัพมาจากด้านหลัง นกกระจอกที่เดิมทีติดอยู่ในตาข่ายกลับแหวกตาข่ายออกมา ความรู้สึกของนายพรานในยามนั้นจินตนาการดูก็คงทราบ
กองทัพต้ายงหกหมื่นนายที่ถูกกองทัพหนานฉู่กระหนาบโจมตีสองฝั่งตกอยู่ในอันตราย การบุกตีเมืองผลาญกำลังพลของพวกเขามากเกินไป ชุยเจวี๋ยกับต่งซานสบตากัน ชั่วขณะที่สายตาสบประสานเกิดการโต้เถียงนับครั้งมิถ้วน หลังจากนั้นต่งซานก็ชูหมัด ตะโกนเสียงดัง “ตามข้ามา” แล้วมุ่งไปประจันหน้ากับกองทัพหนานฉู่
ดวงตาของชุยเจวี๋ยฉายแววโศกเศร้า ตะโกนเสียงดังบ้าง “ตามข้ามา” หลังจากนั้นจึงพุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อทั้งสองคนแยกกันเคลื่อนไหว ทหารของกองทัพสวีโจวก็ติดตามต่งซานคอยคุมท้ายกองทัพตามสัญชาตญาณ ส่วนกองทัพหนานหยางติดตามชุยเจวี๋ยฝ่าวงล้อม
ใต้หล้าเต็มไปด้วยเสียงเข่นฆ่าดังสะเทือนแก้วหู กองทัพหนานฉู่สองกองทัพคล้ายกำปั้นเหล็กสองข้าง สอดรับประสานเข่นฆ่ากองทัพต้ายง ฝ่ายกองทัพต้ายงมิว่าอย่างไรก็เป็นยอดทหารผู้ผ่านศึกมานับร้อย ต่งซานสกัดศัตรูท้ายขบวนสุดชีวิต จนในที่สุดชุยเจวี๋ยก็พาทหารสามหมื่นกว่าคนบุกฝ่าออกไปได้สำเร็จ จากนั้นเลี้ยวมุ่งไปทางทิศเหนือ กองทัพหนานฉู่มิไล่ตามโจมตี แต่มุ่งมั่นกับการกำจัดกำลังพลของต่งซาน
แม้ว่ากองทัพสวีโจวหนึ่งหมื่นเจ็ดพันคนที่อยู่สกัดท้ายกับกองทัพหนานหยางหนึ่งหมื่นกว่าคนที่หนีมิทันจะต่อสู้อย่างมิคิดชีวิต แต่ทหารชั้นยอดที่สั่งสมกำลงมาอย่างพรั่งพร้อมต่อกรกับทหารเหนื่อยล้าที่เพิ่งสู้รบมาเป็นเวลานาน อีกทั้งฝ่ายแรกยังชิงโอกาสได้ก่อน แพ้ชนะย่อมถูกตัดสินแน่นอนแล้ว
เมื่อดวงตะวันคล้อยมาทางทิศตะวันตก บนสนามรบก็เหลือทหารอยู่เพียงไม่กี่พันคน ส่วนกองทัพหนานฉู่ยิ่งสู้กลับยิ่งมีคนมากขึ้น เพราะกองทัพไหวซีที่พักผ่อนในเมืองเรียบร้อยแล้วเข้ามาเสริมกำลังในสมรภูมิ กองทัพไหวซีสองหมื่นกว่าคนผนวกกับกองทหารม้าเก้าพันคนที่มาช่วยเสริมกำลังล้อมกองทัพต้ายงไว้ในวงล้อม
ต่งซานรู้สึกว่าโลหิตไหลลงมาปิดดวงตาจึงยกแขนเสื้อขึ้นเช็ด จากนั้นเพ่งสายตามอง แม้ทหารม้าของกองทัพหนานฉู่จะมีทักษะขี่ม้ายิงธนูโดดเด่น วรยุทธ์สูงส่ง แต่ก็ยังเห็นความมิชำนาญอยู่เล็กน้อย นี่เป็นกองทหารที่ฝึกฝนมาอย่างดี แต่มิเคยเข้าสู่สนามรบจริงๆ เพียงแต่ว่าหลังจากวันนี้ย่อมมิเหมือนเดิมอีกต่อไป ชัยชนะในศึกหนนี้จะทำให้พวกเขากลายเป็นทหารกล้าอย่างแท้จริง
ในหูได้ยินเสียงครวญครางแผ่วเบากับเสียงก่นด่าสาปแช่งแผ่วต่ำของสหายร่วมรบ สายตาของต่งซานเคลื่อนไปจับบนร่างแม่ทัพหนุ่มที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่สองคน หอกสีเงินในมือพวกเขาตวัดบนตวัดล่าง เล่มหนึ่งแข็ง เล่มหนึ่งอ่อน สอดประสานกันมิมีช่องว่าง เล่มหนึ่งประหนึ่งมังกรเหาะขึ้นจากมหาสมุทร เล่มหนึ่งประดุจเสกดอกสาลี่ดอกแล้วดอกเล่า ทิ้งทะเลโลหิตผืนหนึ่งไว้เบื้องหลังพวกเขา
เวลานี้เอง ข้างใต้ธงแม่ทัพที่เขียนอักษรคำว่า ‘สือ’ ใจกลางกองทัพหนานฉู่ก็มีแม่ทัพวัยกลางคนผู้หนึ่งตะโกนเสียงดัง “ต่งซาน พวกเจ้ามาถึงที่ตายแล้ว ไยมิทิ้งอาวุธยอมจำนนอีก” พร้อมกับเสียงตะโกนของเขา กองทัพหนานฉู่ก็เริ่มผ่อนการโจมตี แต่กลับล้อมไว้แน่นหนากว่าเดิม
ต่งซานออกคำสั่งให้กองทัพต้ายงกระชับกระบวนทัพเข้ามาหาตนเอง จากนั้นตอบเสียงดัง “บุรุษต้ายง ไฉนจะยอมจำนน”