ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 41 กลยุทธ์ปราบฉู่ (1)
ปีเจี่ยเซิน[1] รัชศกถงไท่ ปีที่สิบเอ็ด กองทัพต้ายงรุกชายแดน แม่ทัพใหญ่ลู่บัญชาการกองทัพฝั่งเจียงหนาน กองทัพต้ายงพ่ายแพ้ย่อยยับกลับไป
จักรพรรดิต้ายงเสด็จมาถามกลยุทธ์ถึงสวนเหมันต์ด้วยพระองค์เอง เจียงเจ๋อซาบซึ้งในความจริงใจของจักรพรรดิจึงถวายกลยุทธ์ปราบหนานฉู่ เจ้าแผ่นดินกับขุนนางจับเข่าหารือกันตลอดทั้งคืนมิได้นอนพักผ่อน คนในยุคหลังกล่าวกันว่าการล่มสลายของหนานฉู่เริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้ เจียงเจ๋อมีความดีความชอบต่อต้ายงมากมายท่วมใต้หล้า กลับกันก็มีบาปใหญ่หลวงต่อหนานฉู่
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
ข้าส่งเซี่ยโหวหยวนเฟิงจากไปแล้วก็นั่งชมหิมะในศาลาต่อ ในเมื่อถูกเขาโน้มน้าวแล้วและตัดสินใจจะไปถวายกลยุทธ์ปราบหนานฉู่ให้ฝ่าบาทแล้ว ข้าก็สมควรคิดสักหน่อยว่าจะบอกกล่าวสิ่งที่ตริตรองอยู่เช่นไร หลายวันที่ผ่านมาเดิมทีข้ามีความคิดมากมาย เพียงแต่อดกลั้นไว้มิพูดออกไป แต่มิรู้เป็นอย่างไร เมื่อข้าใช้ความคิดไตร่ตรองทีไร กลับรู้สึกว่าจิตใจว้าวุ่นมิเป็นสุข แม้ในใจมีแผนการอยู่ก่อนแล้ว ทว่าแผนการเหล่านี้ก็เป็นเพียงการรบบนกระดาษ เมื่อคิดขึ้นมาว่าต้องส่งต่อให้คนนำไปปฏิบัติจริง นึกถึงคาวโลหิตและหายนะจากสงครามที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า หัวใจก็พลันรู้สึกโศกสลดจนยากจะทนรับไหว
ลองครุ่นคิดดูแล้ว ข้าคงจะยังอาวรณ์แคว้นบ้านเกิดดังเช่นคำเล่าลือเหล่านั้นจริง วันนั้นหลี่จื้อมิได้ใส่ร้ายข้า หากมิใช่เพราะข้ายังมีแคว้นบ้านเกิดอยู่ในใจ ข้าก็สมควรยกเหตุผลมากล่าวแย้งฝ่าบาท อธิบายว่าสถานการณ์ที่มิเป็นประโยชน์ต่อต้ายงอยู่ที่ใด อีกทั้งเสนออุบายคลี่คลายแล้ว มิใช่พูดลอยๆ ว่าต้ายงจะปราชัย นอกจากนั้นหลังต้ายงพ่ายศึก ข้ายังมิยอมคืนดีกับหลี่จื้อ มิยอมถวายกลยุทธ์ให้เขาเพราะเขาเคยสงสัยข้า นั่นมิใช่เพราะความดื้อรั้นและความโมโหที่มีอยู่เสมอของข้าแผลงฤทธิ์ แต่เพราะข้ามิยินดีให้กลยุทธ์ที่ตนเองถวายถูกนำไปทำลายบ้านเกิดเมืองนอน
นี่ข้านับเป็นอะไรกัน นกสองหัวหรือ ทรยศหันหลังให้แคว้นบ้านเกิดตั้งนานแล้ว ยามนี้ไยต้องเสแสร้งทำเป็นอาลัยอาวรณ์มาตุภูมิอีก ต้ายงดีต่อข้าเหลือเกิน แต่ข้ากลับมองดูแม่ทัพและทหารของต้ายงสูญเสียชีวิตและเกียรติยศที่หนานฉู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ อดทนมิไหวดื่มติดกันไปหลายจอก
แม้สุรากลั่นวสันต์จะหอมหวาน แต่ฤทธิ์สุราที่ตามมาทีหลังก็แรงพอสมควร ข้าดื่มต่อกันไปสิบกว่าจอกแล้วจึงเริ่มเมามายอย่างเลี่ยงมิได้ ข้ารู้สึกมึนหัวตาลายอยู่เล็กน้อย อารมณ์ที่เดิมทีจงใจมองข้ามฉับพลันผุดพรายขึ้นในใจ หัวใจเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมจนอดกลั้นมิไหวก้าวข้ามธรณีประตูออกไป เกล็ดหิมะพัดเข้าใส่ใบหน้า กระจายร่วงไปตามเสื้อคลุมขนสัตว์ทะลุมาถึงอาภรณ์ผ้าไหม ไอเย็นเข้าจู่โจม ตัวข้าที่หวาดกลัวความหนาวเย็นมาตลอดกลับยืนนิ่งอยู่กลางหิมะ ในใจคิดว่าจากหนานฉู่มานานหลายปี ยามนี้ในที่สุดก็มีโอกาสหวนคืนบ้านเกิดแล้ว ทว่ากลับต้องเป็นศัตรู น้ำตาไหลรินอย่างมิอาจห้าม ก่อนจะถูกสายลมหนาวแปรเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งบางๆ ติดอยู่บนแก้มในทันใด ทว่าข้ากลับมิรู้สึกเหน็บหนาวสักนิด
เสี่ยวซุ่นจื่อเดิมทีเฝ้ามองดูเจียงเจ๋อร่ำสุราอยู่ด้านข้าง ยามนี้เห็นความผิดปกติจึงรีบก้าวเข้ามากึ่งประคองกึ่งอุ้มหอบเจียงเจ๋อกลับเข้ามาในศาลาหลินปัวแล้วหยิบผ้าคลุมผืนใหญ่ห่อเขาเอาไว้ เขาเห็นเจียงเจ๋อไม่ได้สติสมประดีก็อดถอนหายใจแผ่วเบามิได้ “คุณชาย ท่านจะทำเช่นนี้ไปไยเล่า หากท่านตัดสินใจจะถวายกลยุทธ์ปราบหนานฉู่แล้วก็ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด อย่าได้อาลัยอาวรณ์บ้านเกิดอีก หากท่านตัดสินใจมิถวายกลยุทธ์ให้ แล้วจะสิ้นเปลืองความคิดกับคนไร้ไมตรีไร้คุณธรรมพวกนั้นไปไย!”
ข้าตกอยู่ในความเมามายสติพร่าเลือน นั่งเอนอยู่บนเก้าอี้นอนนุ่มสบายในศาลา ปล่อยให้คำพูดของเสี่ยวซุ่นจื่อลอยผ่านหู เพียงแต่น้ำตาใสไหลรินอย่างห้ามมิได้ เรื่องบางอย่างเมื่อต้องเผชิญหน้า หัวใจกลับมิอาจเป็นดั่งก้อนศิลา แม้ข้าตัดสินใจมานานแล้วว่าจะมิอาลัยอาวรณ์บ้านเกิดอีก แต่เมื่อมาถึงเวลานี้ก็ยังควบคุมตนเองมิได้ เอาเถิด คืนนี้ปล่อยตัวตามใจอีกสักหน พรุ่งนี้ก็ต้องทุ่มกำลังความคิดทั้งหมดต่อกรกับหนานฉู่แล้ว มิรู้ว่าหากตั้งแต่แรกข้ามิเคยเข้ามาพึ่งพิงยงอ๋อง วันนี้จะดีกว่าหน่อยหรือไม่
เสี่ยวซุ่นจื่อตระหนกลนลาน อยู่ด้วยกันมาหลายปีเช่นนี้ เขามิเคยเห็นเจียงเจ๋อเสียกิริยาเช่นนี้มาก่อน เขามิเข้าใจ หนานฉู่มีสิ่งใดควรค่าอาวรณ์ หลายวันก่อนหน้าคุณชายมิได้เป็นห่วงต้ายงมากกว่าหนานฉู่อยู่หรอกหรือ เหตุไฉนหลังจากรับปากจะถวายกลยุทธ์ปราบหนานฉู่กลับเศร้าสลดเช่นนี้
ขณะที่เสี่ยวซุ่นจื่อทำอันใดมิถูกอยู่นั่นเอง เสียงฝีเท้าก็พลันดังขึ้นมาจากไกลๆ เสี่ยวซุ่นจื่อตกใจ เขาคุ้นเคยกับเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนยิ่งนัก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหลี่จื้อนำองครักษ์เดินมาด้านนี้จริงดังคาด สภาพเช่นนี้ของคุณชายมิอาจให้ผู้คนพบเห็นได้ เสี่ยวซุ่นจื่อกำลังคิดจะประคองเจียงเจ๋อหลบไปก่อน ทว่าสายตากลับเหลือบเห็นข้างกายหลี่จื้อมีเหลิ่งชวนกับต้วนหลิงเซียวตามมาด้วยสองคน หากเป็นผู้อื่นก็แล้วไปเถิด แต่ตนมิมีทางแบกเจียงเจ๋อหลบซ่อนหูตาของสองคนนี้ได้อย่างแน่นอน
เขาลังเลอยู่ครู่เดียว หลี่จื้อก็แย้มยิ้มเดินเข้ามาในศาลาหลินปัวแล้ว “สุยอวิ๋นอยู่หรือไม่ ข้ารอมิไหวแล้ว” เพิ่งเอ่ยถึงตรงนี้ เสียงพูดของเขาก็หยุดลงเพราะเขาเห็นเจียงเจ๋อนอนอยู่บนเก้าอี้นอนคล้ายกับเมามายจนหลับใหล อีกทั้งปากยังงึมงำเบาๆ อยู่ จึงลดเสียงเบาลงอย่างมิรู้ตัว
เสี่ยวซุ่นจื่อข่มความกังวลในใจแล้วตอบว่า “คุณชายดื่มมากไปหลายจอกจึงเมาเสียแล้ว มิทราบว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาเยือน ขอทรงอภัยด้วย”
หลี่จื้อหัวเราะ “ข้าร้อนใจเกินไปเอง มิใช่ความผิดของสุยอวิ๋น ช่างเถิด คืนนี้ข้าจะค้างที่สวนเหมันต์สักคืน” กล่าวจบ เขาก็นั่งลงข้างกายเจียงเจ๋อ ขณะที่กำลังอยากจะแอบดูสภาพยามเมามายของเจียงเจ๋อสักหน่อย ก็พลันเหลือบสายตาไปเห็นหยาดน้ำตาแวววาวตรงหางตาของเจียงเจ๋อ หลังจากนั้นหูก็ได้ยินถ้อยคำที่เจียงเจ๋อพึมพำยามเมามาย เพียงฟังได้สองประโยค สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หัวใจสั่นไหว เงยหน้าหันไปมองเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างมิรู้ตัว แล้วก็พบว่าเสี่ยวซุ่นจื่อกำสองหมัดแน่น ดวงตาทอประกายเป็นกังวล
เขาครุ่นคิดร้อยพันตลบ สุดท้ายก็ยิ้มละไม กล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวซุ่นจื่อ คืนนี้ข้าจะนอนค้างกับสุยอวิ๋น เจ้าจัดการสักหน่อย”
เสี่ยวซุ่นจื่อเงยหน้าขึ้นทันใด เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
ภายในสวนเหมันต์ คืนนี้การป้องกันเข้มงวดนัก เสี่ยวซุ่นจื่อมองแสงโคมไฟมืดสลัวด้านในห้องนอน แล้วเดินไปมาอยู่ภายในห้องอย่างห้ามตนเองไม่ได้ หากมิใช่เพราะหลี่จื้อยืนกราน ส่วนเจียงเจ๋อก็เมามายหลับมิตื่น มิว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด เขาก็ต้องหลบเลี่ยงมิให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นให้จงได้ เขากังวลยิ่งนักว่าเจียงเจ๋อจะเอ่ยถ้อยคำมิสมควรอันใดออกมาอีกจนทำให้หลี่จื้อบันดาลโทสะ เวลานี้เองก็มีคนเคาะประตูด้านนอก เสี่ยวซุ่นจื่อมิได้เดินไปเปิดประตู เพียงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “คุณชายใหญ่ต้วนหรือ เชิญเข้ามา”
ประตูเปิดออก ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นต้วนหลิงเซียวจริงๆ เขาคลี่ยิ้มกล่าวว่า “เงามารหลี่ซุ่นก็มีเวลาที่เยือกเย็นมิลงเช่นนี้ด้วย ช่างหาได้ยากจริงๆ”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างเย็นชา “ก็เช่นเดียวกับที่ข้าคิดมิถึงว่าคุณชายใหญ่ต้วนจะตามเสด็จมาด้วย”
ต้วนหลิงเซียวมิถือสา เอ่ยขึ้นว่า “ผู้แซ่ต้วนรั้งอยู่ในนครหลวงต้ายงเป็นตัวประกัน นี่คือความจริง ผู้แซ่ต้วนมิจำเป็นต้องปิดบัง แต่วันนี้ผู้แซ่ต้วนเดินทางมาก็เพราะอยากจะมาชมสักหน่อยว่าฉู่โหวจะวางกลยุทธ์ปราบหนานฉู่ ล่มมาตุภูมิเช่นไร คิดมิถึงกลับได้เห็นเขาอาศัยเหล้าคลายความทุกข์ เท่านี้ก็รู้สึกว่ามามิเสียเที่ยวแล้ว เพียงแต่มิทราบว่าฝ่าบาทจะจัดการเช่นไร นี่คงเป็นสาเหตุที่เจ้ามิอาจสงบใจเช่นนี้กระมัง”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างเย็นชา “มิใช่เรื่องของเจ้า”
ต้วนหลิงเซียวยิ้ม “ย่อมมิใช่เรื่องของข้า แต่น้องสี่ส่งจดหมายมาถามไถ่ ข้าจึงมาดูแทนเขาก็เท่านั้น”
ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อฉายแววกลัดกลุ้มวูบหนึ่งแล้วมองไปยังแสงโคมสลัวในห้องนอนอีกหน ขบคิดว่าจะจัดการกับพายุโหมกระหน่ำที่กำลังจะมาเยือนเช่นไร
ภายในห้องนอน ข้าครวญครางออกมาคำหนึ่ง แม้สุรากลั่นวสันต์จะไม่ทำให้คนปวดหัวหลังจากเมามายหลับไป แต่ข้าก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่เล็กน้อย ดื่มมากเกินไปแล้วจริงๆ ข้าเรียกหาด้วยความเคยชิน “เสี่ยวซุ่นจื่อ รินชาให้ข้าสักถ้วย”
หูได้ยินเสียงคนก้าวเดิน หลังจากนั้นก็มีคนถือถ้วยชามา ข้าดื่มทั้งที่หลับตาอยู่คำหนึ่งก็รู้สึกสบายขึ้นมาก จึงพลิกตัวเตรียมจะหลับต่อ แต่แล้วท่ามกลางความสะลึมสะลือ ข้าก็พลันรู้สึกถึงความผิดปกติเล็กๆ ท่าทางยามส่งน้ำชามาให้ของคนผู้นั้นดูมิค่อยจะคุ้นชิน อีกทั้งเสียงฝีเท้ายังแข็งกร้าวมีพลัง คนผู้นี้มิใช่เสี่ยวซุ่นจื่ออย่างแน่นอน
ข้าตกใจจนเหงื่อแตกพลั่กทั่วร่าง ผุดลุกขึ้นมาถามทันที “ผู้ใดอยู่ตรงนั้น”
ท่ามกลางแสงโคมสลัว ข้าเห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนมือไพล่หลังอยู่ เมื่อข้าเห็นหน้าตาของคนผู้นั้นก็ตกใจจนความเมามายสลายสิ้นในทันใด ข้าคลานลุกขึ้นมา มิทันสนใจว่าบนร่างสวมเพียงอาภรณ์ชั้นกลาง ลงจากเตียงได้ก็ทรุดลงไปคุกเข่าคารวะ “กระหม่อมเจียงเจ๋อถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระราชทานอภัยที่กระหม่อมเสียมารยาท”
หลี่จื้อก้าวเข้ามาก้าวหนึ่งประคองข้าให้ลุกขึ้นแล้วถอนหายใจ “ข้าผิดไปแล้ว หากท่านมิปรารถนาจะเข้าร่วมการยกทัพลงใต้ ข้าก็จะมิทำให้ท่านลำบากใจ”
ข้าตกตะลึงอยู่ในใจ ยามเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าบนใบหน้าของหลี่จื้อมิมีสีหน้าโกรธเคือง ยิ่งไปกว่านั้นบนร่างของเขาก็สวมเพียงอาภรณ์ตัวกลางสีเหลืองสว่าง เหมือนจะปล่อยตัวตามสบายยิ่งนัก ชั่วขณะนั้นข้ามิทราบว่าสมควรพูดสิ่งใด หลี่จื้อจูงข้ามานั่งบนตั่งนุ่ม ส่วนตนเองนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับข้าแล้วถอนหายใจ “นึกถึงในอดีตที่ข้าบังคับพาตัวท่านกลับมายังนครหลวงต้ายง ในจวนหลังนี้ ข้าขบคิดสารพัดวิธีจะโน้มน้าวท่านมาทำงานให้ตนเอง เรื่องราวในวันวานยังจำได้กระจ่างชัดประหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน”
ยามนี้ข้าสงบลงแล้ว คิดว่าอาการเสียกิริยาของข้าคงถูกหลี่จื้อเห็นหมดแล้ว มิว่าต่อไปจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าก็ทำใจเอาไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเพียงเอ่ยอย่างสุขุม “กระหม่อมก็จดจำได้ เหตุการณ์ยามชมหิมะร่ายกวีที่ศาลาหลินปัว ความทรงจำยังชัดเจนเหมือนใหม่ ในจวนยงอ๋องแห่งนี้ กระหม่อมเนรคุณความเมตตาของฝ่าบาทหลายครั้งหลายหน บีบให้ฝ่าบาทจะเลือกซ้ายหรือขวาก็ลำบากพระทัย”
หลี่จื้อถอนหายใจยาว “มิใช่เพียงลำบากใจ ข้าเกิดความคิดร้าย เตรียมจะใช้ยาพิษสังหารท่านยามท่านบอกลาแล้ว”
ร่างกายข้าสะท้านเฮือก เรื่องนี้แม้พวกเรานายบ่าวสองคนจะทราบดีอยู่แก่ใจ แต่ผู้ใดก็มิเคยพูดออกมาชัดๆ คิดมิถึงว่าวันนี้หลี่จื้อกลับพูดออกมา ข้ารู้สึกหลังศีรษะเย็บวาบเล็กน้อย หรือว่าหลี่จื้อเตรียมจะคิดบัญชีกับข้าแล้วหรือ ข้าหวนคิดถึงว่าเรื่องที่ตนเคยทำมาในช่วงหลายปีนี้มีเรื่องใดนับว่ามีความผิดฐานปิดบังนายบ้าง เพียงพริบตาเดียวก็เผยสีหน้าละอายออกมาอย่างห้ามมิได้
หลี่จื้อเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความวิตกของข้า จึงคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “แต่สุดท้ายข้าก็ยั้งม้าหยุดริมผาได้ทัน มิได้ทำผิดมหันต์ รั้งยอดบัณฑิตแห่งแว่นแคว้นคนนี้เช่นท่านเอาไว้ได้ หลายปีที่ผ่านมา หากมิมีท่านออกอุบายวางแผนการ ข้าไฉนเลยจะมีวันนี้ ความจริงข้าก็เคยตั้งใจว่าจะมิสร้างความลำบากใจให้ท่านเพราะเรื่องการปราบหนานฉู่ แต่ถึงที่สุดแล้วข้าก็ยังทำให้ท่านลำบากใจ สุยอวิ๋น หากท่านมิต้องการทำจริงๆ ข้าขอรับปากท่าน นับจากนี้จะปล่อยให้ท่านใช้ชีวิตอย่างสงบ หากท่านมิต้องการอยู่ในนครหลวงต้ายงแล้ว ข้าก็จะมิขัดขวางหากท่านอยากจะกลับตงไห่”
[1] เจี่ยเซิน ปีลิง ปีที่ 21 ในรอบ 60 ปีของแผนภูมิฟ้า