ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 42 กลยุทธ์ปราบฉู่ (2)
ข้าได้ยินแล้วใจสะท้าน หวนนึกถึงการพบกันระหว่างเจ้าแผ่นดินกับขุนนางในอดีต เรื่องราวยามยอดบุรุษพบกันจุดอารมณ์ให้โหมซัดดุจเกลียวคลื่นในหัวใจ ข้ามองใบหน้าเหนื่อยล้าที่แฝงความจริงใจของหลี่จื้อ ในที่สุดก็ก้มหัวคารวะตอบว่า “ฝ่าบาทเหตุไฉนจึงตรัสเช่นนี้ ฝ่าบาทเมตตาต่อกระหม่อมอย่างที่นับแต่อดีตกาลมิเคยมี ยามนี้ต้ายงบุกลงใต้พบอุปสรรค ฝ่าบาทกลัดกลุ้มมิสบายพระทัย กระหม่อมไฉนจะจากไปใช้ชีวิตอิสระเสรีสบายใจได้ ฝ่าบาท ในใจกระหม่อมมีแผนการปราบหนานฉู่แล้ว ใช้เวลาเพียงสามปีห้าปี จะต้องรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้แน่”
หลี่จื้อฟังแล้วยินดียิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “สุยอวิ๋นมีแผนการล้ำเลิศเตรียมไว้แล้วจริงๆ เร็ว รีบบอกให้ข้าฟัง” พูดพลางก็ประคองข้าลุกขึ้นมาอีกหน
เจ้าแผ่นดินกับขุนนางสองคนยิ้มแย้มให้กัน รู้สึกประหนึ่งความบาดหมางที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้มลายหายไปจนสิ้น
ข้าเรียบเรียงความคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ความจริงแล้วหนนี้กองทัพของพวกเราพ่ายศึกเหตุเป็นเพราะดูแคลนศัตรู หากยามนั้นส่งยอดแม่ทัพบุกโจมตีไหวซี บางทีอาจมิพ่ายแพ้ย่อยยับ เพียงแต่ยามนี้สถานการณ์ต่างออกไปแล้ว อำนาจทหารของหนานฉู่ล้วนอยู่ในมือของลู่ช่าน จะบุกเข้าไปทางแนวป้องกันฝั่งเจียงไหวคงเป็นไปมิได้อีก
ต้ายงกับหนานฉู่ประจันหน้ากันอยู่ทางฝั่งเหนือใต้ แม่น้ำฉางเจียงเป็นแนวป้องกันโดยธรรมชาติ ตอนบนเชื่อมกับปาสู่ ตอนกลางติดกับจิงเซียง ทางตะวันออกเชื่อมกับอู๋เย่ว์ ตลอดสายน้ำจากตอนบนจรดตอนล่างคอยปกป้องซึ่งกันและกัน หากสูญเสียฉางเจียง การล่มสลายของหนานฉู่ย่อมเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ทว่ายามนี้แนวป้องกันฝั่งฉางเจียงตกอยู่ในการควบคุมของหนานฉู่แล้ว หนานฉู่ใช้ไหวหนานเป็นโล่กำบังให้ฉางเจียง ฝ่ายกองทัพของเรายึดครองเมืองสำคัญในไหวเป่ย ทั้งสองฝั่งต่างครอบครองชัยภูมิสำคัญของแถบเจียงไหวไว้คนละส่วน
ด้วยความสามารถของลู่ช่าน เขาต้องวางกำลังทหารที่ไหวหนานอย่างเข้มงวด คอยเฝ้าจับตามองไหวเป่ยตลอดเวลาเป็นแน่ ส่วนฝ่าบาทจำเป็นต้องใช้ทหารจำนวนมากรักษาไหวเป่ยไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เกิดเป็นสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่ในเจียงไหว
คนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า ‘อยากตั้งมั่นในอาคเนย์ต้องชิงเจียงฮั่น อยากคุมจงหยวนต้องครองไหวซื่อ มีเจียงฮั่นแต่ขาดไหวซื่อ แคว้นย่อมอ่อนแอ มีไหวซื่อแต่ขาดตอนบนของเจียงฮั่น แว่นแคว้นย่อมอันตราย’
ใต้หล้าแห่งนี้ จิงเซียงกับชิงโจวเป็นปีกสองฝั่งของเจียงไหว จิงเซียงเพียงพอเป็นปราการคุ้มกันตอนบนของเจียงฮั่น ชิงโจวเพียงพอเป็นปราการปกป้องตอนบนของไหวซื่อ ยามนี้หนานฉู่ครอบครองจิงเซียงจึงปกป้องเจียงไหวได้อย่างมั่นคง แต่ชิงโจวก็อยู่ในมือพวกเรา หนานฉู่อย่าได้คิดจะขึ้นเหนือแย่งชิงจงหยวน แม้กองทัพของพวกเรามิอาจชนะ แต่ก็รับประกันได้ว่ามิพ่ายแพ้แน่นอน
มองตามหลักการนี้ หากต้ายงคิดบุกลงใต้ ฝั่งจิงเซียงเป็นกุญแจสำคัญ หากจิงเซียงยังมิเสียเมือง แม้นกองทัพเรายึดครองเจียงไหวได้ สถานการณ์ก็จะยังมิมั่นคง เพียงแต่จิงเซียงถูกปกป้องอย่างแน่นหนา และถูกกองทัพหนานฉู่ดูแลมาหลายปี ป้องกันง่ายโจมตียาก อีกทั้งยังมีเจียงหลิง เจียงเซี่ยเป็นรากฐาน คิดยึดจิงเซียงจึงยากเท่าเหยียบขึ้นฟ้า นี่จึงเป็นสาเหตุที่หลายครั้งหลายหนยามต้ายงบุกลงใต้มักจะอ้อมจิงเซียงเข้าจู่โจมฝั่งเจียงไหว
เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้คว้าชัยชนะได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ที่สุดแล้วก็มิอาจอยู่ได้นาน ยิ่งไปกว่านั้นหากจิงเซียงอยู่ในมือหนานฉู่ ยามต้ายงเหนื่อยล้า หนานฉู่ก็จะสั่งยอดแม่ทัพสักคนให้ออกจากเซียงหยางแล้วบุกตีหนานหยาง เมื่อหนานหยางตกอยู่ในมือหนานฉู่ ไหวเป่ยย่อมตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ดังนั้นสรุปได้ว่าหากต้องการปราบหนานฉู่จำเป็นต้องยึดเซียงหยาง”
พูดมาถึงตรงนี้ หลี่จื้อก็พยักหน้า แต่แล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “สิ่งที่สุยอวิ๋นกล่าวทำให้ใจข้ากระจ่างแจ้ง เพียงแต่ชัยภูมิของแถวจิงเซียงนับว่าหาได้ยากในโลก ต้ายงบุกเมืองเซียงหยางหลายหนล้วนล้มเหลวกลับมา หรงเยวียนผู้คุ้มกันเซียงหยางตอนนี้ก็เป็นลูกน้องเก่าของเต๋อชินอ๋อง คุ้นเคยกับกลศึกและชัยภูมิ มีเขาอยู่วันหนึ่ง จะบุกยึดเซียงหยางย่อมมิง่าย”
ข้าหัวเราะ “หากยึดเจียงไหว จิงเซียงมิได้ ถ้าเช่นนั้นไยมิแสวงหาอีกหนทางหนึ่ง ในตอนนั้นฝ่าบาทกับเต๋อชินอ๋องร่วมมือกันบุกตีแคว้นสู่ มิใช่เพราะแคว้นสู่ในอดีตทางเหนือครอบครองฮั่นจง ตะวันออกจรดซานปา จากทางเหนือสามารถคุกคามด่านสำคัญ จากทางตะวันออกสามารถล่องน้ำตรงมายังเจียงหลิง ยึดตะวันออกเฉียงใต้ได้หรอกหรือ
ยามนี้ต้ายงของพวกเราครอบครองฮั่นจง ด่านหยางผิงก็อยู่ในมือของพวกเรา ไยมิบุกยึดด่านจยาเหมิง จากนั้นยกทัพจากตะวันออกของปาสู่ เช่นนี้แนวป้องกันของเจียงไหวย่อมมิมีประโยชน์อีกต่อไป การที่ฝ่าบาทโจมตีปาสู่หลอกๆ ทุกครั้งอย่างในตอนนี้ ความจริงเป็นการสิ้นเปลืองโอกาสอันดียิ่ง”
หลี่จื้อขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ความสำคัญของปาสู่ ข้าก็ทราบอยู่ แต่คิดจะบุกดินแดนสู่จากฮั่นจง จากนั้นอ้อมไปยึดจิงเซียง บุกด่านจยาเหมิง ฝูเฉิง เฉิงตู ปาจวิ้น วั่นโจว ขุยโจว ไล่ลงไปทิศใต้ แต่ละแห่งล้วนเป็นอุปสรรคยากเย็น ทางเส้นนี้คงเดินมิง่าย”
ข้าตอบอย่างสุขุม “แม้ปาสู่จะมีด่านที่บุกยากลำบากอยู่ทั่วทุกแห่ง แต่หากบุกจากตะวันตกไปยังตะวันออกหายากเย็นไม่ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังดึงกำลังหลักของกองทัพศัตรูไว้ทางตะวันออกเฉียงใต้ให้ปาสู่ว่างเปล่าได้อีก ฝ่าบาทไยไม่ออกคำสั่งให้กองเรือตงไห่ล่องลงใต้ สร้างค่ายกองทัพเรือตรงปากอ่าวที่แม่น้ำฉางเจียงไหลลงทะเลเช่น ติ้งไห่ ไต้ซาน ผู่ถัว คอยจับจ้องอ่าวหังโจวตลอดเวลา พอฝ่ายหนานฉู่หย่อนยานแม้เพียงเล็กน้อยก็ยกทัพล่องเข้าฉางเจียงรุกรานแผ่นดิน
เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของเมืองต่างๆ ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ หนานฉู่ต้องวางกำลังทหารจำนวนมากและทัพเรือไว้ที่แถบอู๋เย่ว์ เมื่อเป็นเช่นนี้ กำลังทหารขอหนานฉู่ล้วนจะรวมกันอยู่ที่อู๋เย่ว์กับเจียงไหว ปาสู่ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกย่อมกลวงเปล่า กองทัพเราก็จะฉวยโอกาสยามพวกเขาไร้กำลังบุกเข้าไป”
หลี่จื้อฟังถึงตรงนี้ก็ลุกขึ้นอย่างมิรู้ตัว วางมือไพล่หลังเดินวนไปมาอยู่ภายในห้อง แล้วเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น “เยี่ยม แผนการยอดเยี่ยม เหตุไฉนข้าจึงคิดมิถึงการใช้กองเรือเช่นนี้ แต่เดิมข้าคิดว่าหลังจากยึดครองจิงเซียงกับไหวหนานได้แล้วจะเคลื่อนกองเรือทั้งหมดของต้ายงข้ามแม่น้ำทำศึก แต่กลับมิเคยคิดจะใช้กองเรือตงไห่รั้งกำลังทหารของหนานฉู่เลย หากเป็นเช่นนี้ ฝั่งเรารวมกำลังพลแต่ศัตรูกระจัดกระจาย มิว่าหนานฉู่เผยจุดอ่อนที่สู่จง จิงเซียง ไหวหนาน หรืออู๋เย่ว์ กองทัพเราก็ล้วนฉวยโอกาสบุกเข้าไปยามศัตรูขาดแคลนกำลังพลได้”
ข้าลุกขึ้นยืนตามแล้วเอ่ยว่า “แม้เป็นเช่นนี้ แต่อย่างไรเสียแนวป้องกันของเจียงหนานก็แข็งแกร่ง หากลู่ช่านเลือกจุดสำคัญสองสามตำแหน่งปักหลักป้องกัน ไม่ว่ากองทัพเราจะบุกเร็วหรือช้าก็ทำได้ยาก ดังนั้นจำเป็นต้องใช้อุบายอีก มิว่าแนวป้องกันแข็งแกร่งอีกเท่าใด หากคนที่ป้องกันมีจุดอ่อนย่อมเป็นโอกาสให้ฉกฉวย
อวี๋เหมี่ยนแห่งปาสู่ ป้องกันเมืองได้เก่งกาจ แต่บุกโจมตีมิเก่งพอ เขายอมรับอำนาจของตระกูลลู่เท่านั้นจึงมิมีค่าให้หวาดกลัว เมื่อราชสำนักหนานฉู่เกิดการเปลี่ยนแปลง ปาสู่ต้องมีช่องโหว่ วางแผนยึดครองได้ง่ายแน่นอน
หรงเยวียนแห่งเซียงฝาน แม้เก่งกาจมีความรู้ แต่น่าเสียดายจิตใจคับแคบ หนนี้ลู่ช่านสร้างความดีความชอบใหญ่หลวง แต่เขากลับได้แต่ปักหลักเฝ้าเซียงฝาน ในใจต้องเกิดความไม่พอใจเป็นแน่ หากให้คนฉวยโอกาสเสี้ยมให้พวกเขาแตกคอ ทำให้เขาเกิดความเคืองแค้นคิดแย่งชิงความดีความชอบ เซียงฝานก็มีโอกาสให้ฉกฉวยได้เช่นกัน แม้มิอาจบุกหนเดียวยึดครองเซียงฝาน แต่ก็ทำลายกำลังหลักของเซียงฝานให้หรงเยวียนมิมีกำลังช่วยเหลือเจียงไหวอีกต่อไปได้
สือกวนแห่งไหวซี หนนี้สร้างความชอบครั้งใหญ่ ย่อมต้องถูกมองว่าเป็นพวกเดียวกับตระกูลลู่ หากตระกูลลู่พ่ายแพ้ คนผู้นี้ย่อมต้องถูกลากลงไปด้วย ยามนี้แม้ลู่ช่านกุมอำนาจทหารอยู่ แต่ราชสำนักยังคงอยู่ในมือซั่งเหวยจวิน อีกทั้งเจ้าแคว้นหนานฉู่กำลังจะขึ้นปกครองด้วยตนเอง ได้ยินมาว่าจ้าวหล่งมีความสามารถในระดับธรรมดาเท่านั้น เขาย่อมถูกตระกูลซั่งหลอกใช้มาจัดการลู่ช่าน
แม้ลู่ช่านเป็นคนจงรักภักดี แต่ความคิดมิได้คร่ำครึ เพื่อปกป้องกำลังรบของหนานฉู่ให้ปลอดภัย เขาย่อมต้องทำสิ่งที่ทำให้จ้าวหล่งกับตระกูลซั่งไม่พอใจหลายอย่าง ฝ่ายปกครองกับกองทัพมิลงรอย เจ้าแผ่นดินกับขุนนางหวาดระแวงกัน การล่มสลายของหนานฉู่ย่อมอยู่ใกล้เพียงชั่วหันมอง เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ที่พลิกผันในระหว่างนั้นจำต้องจัดการอย่างระมัดระวังเท่านั้น”
หลี่จื้อพยักหน้า “สุยอวิ๋นวางแผนก่อนค่อยลงมือทำเสมอ รายละเอียดในแผนการมิจำเป็นต้องอธิบายละเอียด ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งกองบัญชาการศึกเจียงหนาน ให้ฉีอ๋องเป็นแม่ทัพใหญ่ บัญชาการกองทัพบุกลงใต้ สุยอวิ๋นติดตามกองทัพเป็นที่ปรึกษา มิทราบว่าท่านคิดเห็นเช่นไร”
ข้าตอบอย่างตรงไปตรงมา “มิกล้าขัดบัญชา เพียงแต่ฝ่าบาทมิสู้ให้รัชทายาทเป็นรองแม่ทัพใหญ่ ควบคุมทุกเรื่องเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์และเสบียง ประการแรกได้แบ่งเบาภระของฉีอ๋อง ประการที่สองได้ฝึกฝนรัชทายาทด้วย”
ดวงตาของหลี่จื้อทอประกายเจิดจ้าวูบหนึ่ง ความกังวลในใจได้เจียงเจ๋อช่วยคลี่คลายแล้วจึงหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ก็ดี เมื่อก่อนข้ากับน้องหกล้วนเข้าร่วมกองทัพแต่เยาว์วัย จวิ้นเอ๋อร์ปีนี้อายุสิบหกปีแล้วก็สมควรฝึกปรือสักหน่อย มิสู้ให้หลินเอ๋อร์ติดตามกองทัพออกรบด้วย ผ่านไปอีกสองสามปี ราชสำนักจะได้มียอดแม่ทัพเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง
ได้ยินว่าลู่อวิ๋นกับสืออวี้จิ่นแห่งหนานฉู่ล้วนเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปีแต่กลับสังหารแม่ทัพผู้ห้าวหาญของข้าได้ เป็นวีรบุรุษรุ่นเยาว์อย่างแท้จริง คิดว่าจวิ้นเอ๋อร์กับหลินเอ๋อร์ก็คงมิด้อยกว่าพวกเขา”
สีหน้าข้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย โค้งคำนับกล่าวขึ้นว่า “กระหม่อมมีโทษสมควรตาย กระหม่อมปล่อยลู่อวิ๋นไปตามอำเภอใจ ขอฝ่าบาทลงโทษ”
หลี่จื้อส่ายศีรษะบอกว่า “นี่มิใช่เรื่องใหญ่อันใด จวิ้นเอ๋อร์เล่าให้ข้าฟังแล้ว ต้ายงของข้ามีแม่ทัพกล้าแกร่งมากมายดุจมวลเมฆ ยังต้องหวาดกลัวเด็กน้อยเพียงคนเดียวหรือไร ต่อให้วันหน้าปราบหนานฉู่สำเร็จแล้ว หากท่านต้องการปกป้องผู้ใดก็บอกข้าได้เต็มที่”
ข้าตอบอย่างหม่นหมอง “น้ำพระทัยกว้างขวางของฝ่าบาท ใจกระหม่อมรับรู้แล้ว เพียงแต่ตระกูลลู่ภักดี กระหม่อมทราบดีอยู่แก่ใจ เกรงว่าคงยากจะปกป้องไว้ได้”
หลี่จื้อก็ถอนหายใจยาวเช่นกัน นอกหน้าต่างยังคงมืดสนิท ข้ากับหลี่จื้อหารือแผนการต่างๆ นานาในการปราบหนานฉู่อย่างละเอียดใต้แสงโคม มิรับรู้เวลาที่เคลื่อนคล้อยแม้สักนิด เกล็ดหิมะกลายเป็นแอ่งน้ำเจิ่งนองบนพื้นนอกหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ อากาศเย็นเฉียบปกคลุมทั่วหล้า
ข้ากับหลี่จื้อคุยกันมิรู้จบอย่างเพลิดเพลินโดยมิทราบว่าเวลาใดแล้ว นอกหน้าต่างมีแสงสีขาวโผล่ขึ้นมาทางตะวันออก ซ่งหว่านเข้ามาเร่งหลี่จื้อกลับวัง หลี่จื้อสวมอาภรณ์พลางคลี่ยิ้ม “สุยอวิ๋น จำวันนั้นที่ชมหิมะร่ายกวีได้หรือไม่ สุยอวิ๋นมากความสามารถ ทำให้เราทั้งสี่ตกตะลึง ยามนี้เกล็ดหิมะโปรยปรายมิขาดสายนอกหน้าต่าง ท่านไยมิร่ายบทกวีสักบท ถ่ายทอดความรู้สึกในใจ”
ยามนี้จิตใจของข้าปลอดโปร่งเปิดกว้าง รู้สึกเพียงว่าเกล็ดหิมะที่โปรยปรายเป็นสายแฝงกลิ่นอายวสันต์อยู่เจือจาง อารมณ์กวีพวยพุ่ง เปิดหน้าต่างออก มองเกล็ดหิมะที่โปรยปรายทั่วสวนแล้วขับขานบทกวีเสียงดัง “หิมะพร่างพรมอาบหล้าขาวสะอาด พลันนึกถึงหาดทรายขาวใต้ธารใส ราตรีสดับเสียงเดี๋ยวถี่เดี๋ยวห่าง ฟ้าสางยลหิมะเดี๋ยวตรงเดี๋ยวเฉ ลมหวนหิมะหมุนคว้างเริงระบำ ดั่งมาลีแย้มกลีบเหนือทิฆัมพร จงโปรยปรายแม้นเหน็บหนาวเข้ากระดูก เพื่อสุขสราญยามผลิดอกออกผล[1]”
หลี่จื้อปรบมือชมว่า “วรรคมที่ว่า ‘ราตรีสดับเสียงเดี๋ยวถี่เดี๋ยวห่าง ฟ้าสางยลหิมะเดี๋ยวตรงเดี๋ยวเฉ’ ช่างยอดเยี่ยม ข้าเองก็มีบทกวีชมหิมะบทหนึ่งเช่นกัน” กล่าวจบก็เปิดประตูห้อง เดินออกไปในสวน ขับบทกวีเสียงดังวาน “ห้าผู้กล้าจับกระบี่ห้ำหั่นเหนือริ้วรุ้ง หมายมุ่งยึดนครจักรพรรดิเหนือธาราสวรรค์ มังกรหยกแลทัพสวรรค์สามล้านเข้าโรมรัน แผ่นเกล็ดเศษเกราะโปรยปรายทั่วท้องนภา[2]”
ข้าฟังจบก็อดใจมิไหวกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาท บทกวีนี้องอาจห้าวหาญ เหนือกว่ากระหม่อมร้อยเท่า”
หลี่จื้อหัวเราะเสียงดังกังวาน ย่ำหิมะจากไป องครักษ์กับขันทีที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านนอกล้วนไล่ตามไปอย่างรีบร้อน เหลือเพียงต้วนหลิงเซียวยังคงยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองเงาแผ่นหลังของหลี่จื้อแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หากมิใช่ยอดคนระดับนี้ ไหนเลยจะใช้งานยอดอัจฉริยะเช่นเจียงสุยอวิ๋นได้ วันนี้ผู้แซ่ต้วนเพิ่งทราบว่าความพ่ายแพ้ของพวกเราเป็นเรื่องแน่นอน”
ด้านหลังร่างของเขา เสี่ยวซุ่นจื่อแค่นเสียงหยันเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไปรับใช้เจียงเจ๋อ
[1] บทกวี ‘ขับขานหิมะ (咏雪诗)’ ของ หวงถิงเจียน (黄庭坚)
[2] บทกวี ‘หิมะ (雪)’ ของ จางหยวน (张元)