ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 44 ทั่วนครรุ่งเรืองสว่างไสว (2)
ในตอนที่ซั่งเหวยจวินกับคนสนิทกำลังหารือลับกันอยู่ในห้องหนังสือ พวกลู่ช่านผู้ได้รับบัญชาให้เดินทางกลับเมืองหลวงมารับบำเหน็จก็เข้าเมืองหลวงมาแล้ว พวกเขามิต้องการทำให้ประชาชนแตกตื่น ลู่ช่านจึงแต่งตัวตามปกติเข้าเมือง เขามองความสงบสุขรุ่งเรืองที่ปรากฏอยู่เต็มครรลองสายตาแล้วถอนหายใจเบาๆ แม้ว่าหนนี้จะได้ชัยชนะครั้งใหญ่จากไหวซีกับชัยชนะครั้งใหญ่จากกวาโจว แต่เขาก็ยังมิลืมว่าเมืองสำคัญทางฝั่งไหวตงอย่างฉู่โจวกับซื่อโจวตกอยู่ในกำมือของกองทัพต้ายงแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพต้ายงเคลื่อนกองทัพใหญ่ลงใต้ได้ทุกเวลา ถึงยามนั้นหนานฉู่ย่อมเผชิญแรงกดดันมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ สิ่งสำคัญก็คือต้ายงพบกับความพ่ายแพ้ย่อยยับเช่นนี้ จักรพรรดิต้ายงคงคิดจะใช้งานเจียงเจ๋อเป็นแน่ เกรงว่าเมื่อต้ายงกรีฑาทัพลงใต้อีกหน อาจารย์ของตนคงติดตามกองทัพลงใต้มาด้วย
แต่เห็นชัดว่าความกลัดกลุ้มในใจเขามิส่งผลกับคนหนุ่มสาวสองคนด้านหลัง สือซิ่วชะเง้อมองซ้ายมองขวาดูโคมไฟสองข้างทาง ดวงหน้างดงามระคนหล่อเหลาเต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจเยี่ยงเด็กน้อย ลู่อวิ๋นชี้ชวนให้นางดูสิ่งต่างๆ ข้างทางราวกับเจ้าบ้านที่กระตือรือร้นจะต้อนรับแขกให้ดีที่สุด
หนนี้ทั้งสองคนล้วนถูกเรียกตัวเข้ามารับบำเหน็จในราชสำนัก แม้สือซิ่วแต่เดิมจะเป็นหญิง ตามธรรมเนียมมิอาจได้รับปูนบำเหน็จ แต่ยามนี้ทั้งสองคนเป็นวีรบุรุษหนุ่มผู้ที่ทุกคนในหนานฉู่สรรเสริญ อีกทั้งเพราะความคลุมเครือของข่าวจากกองทัพรวมถึงความพลั้งพลาดของเจี้ยนเย่ จึงทำให้สือซิ่วได้รับคำสั่งให้เข้าเมืองหลวงมารับรางวัลด้วย
แม้สือกวนจะถวายหนังสือชี้แจงเรื่องนี้แล้ว แต่สุดท้ายเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่กองทัพ เจี้ยนเย่ก็ยังตัดสินใจปล่อยเรื่องที่ผิดแล้วให้ผิดไป มอบรางวัลให้ ‘สืออวี้จิ่น’ ต่อ เพียงแต่ว่าในราชโองการใช้ถ้อยคำคลุมเครือ มิบอกชัดว่าสืออวี้จิ่นเป็นบุรุษหรือสตรีเท่านั้น
ลู่อวิ๋นมองแสงโคมสว่างไสวสองข้างทาง ในใจวิตกกังวลเล็กน้อย ตอนแรกเขาออกจากเจี้ยนเย่เดินทางไปนครหลวงแห่งต้ายงโดยมิบอกกล่าว หลังกลับจากฉางอันก็ถูกบิดาส่งไปเจียงเซี่ย หลังจากนั้นก็เดินทางไปสนามรบที่ไหวซี นับดูก็ออกจากบ้านไปเกือบสิบเดือนแล้ว คิดว่าท่านแม่คงเป็นห่วงเขาจนใจแทบขาด หนนี้คงถูกท่านแม่ต่อว่าอย่างหนักแน่ แม้การลงโทษให้คุกเข่าบนไม้กระดานจะไม่นับเป็นอะไร แต่หากน้องชายน้องสาวมาเห็นคงขายหน้าเกินไปแล้ว
ทันใดนั้นความคิดเขาก็โลดแล่น มิสู้คิดหาวิธีให้น้องชายกับน้องสาวทั้งหลายช่วยขอความเมตตาแทนตนต่อหน้าท่านแม่ดีกว่า แต่เรื่องนี้ต้องมีสินบนไปให้เจ้าตัวน้อยพวกนั้นก่อน ลู่อวิ๋นขบคิด น้องรองชอบขี่ม้ายิงธนูเหมือนกัน เขามอบคันศรนอแรดที่จยาจวิ้นอ๋องมอบให้ตนแก่น้องรองก็แล้วกัน คันศรและลูกศรของต้ายงทำขึ้นด้วยฝีมืออันประณีต นับว่าเป็นของชั้นเลิศ ยิ่งไปกว่านั้นตนเองก็รู้สึกมิสบายใจหากจะใช้คันศรล้ำค่าที่หลี่หลินมอบให้ตนไปเข่นฆ่าทหารของต้ายง
ส่วนน้องชายคนเล็กอายุยังน้อย ซื้อขนมแป้งปั้น ตุ๊กตาหุ่นริมทางให้เขาก็ใช้ได้แล้ว ส่วนน้องสาวคนเล็ก ลู่อวิ๋นหัวใจกระตุกวูบหนึ่ง นึกถึงรัดเกล้าทองชิ้นนั้นในอกเสื้อ หลังจากนั้นเขาก็หวนนึกถึงดวงหน้างดงามกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งของท่านหญิงเจาหวา ภาพของดรุณีน้อยงามเจิดจ้าที่เลือนรางไปแล้วคนนั้นกลับมาแจ่มชัดอีกหน
เวลานี้เอง สือซิ่วก็เรียกเสียงดังอย่างรำคาญ “น้องอวิ๋น เจ้าเหม่ออะไรอยู่ นั่นโคมไฟอะไร สวยนักเชียว”
ลู่อวิ๋นได้สติกลับมาทันที เขาหน้าแดงก่ำหันไปมองสือซิ่ว ก็เห็นเด็กสาวผู้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับตนผู้นี้กำลังเปล่งประกายอย่างงดงาม ดวงหน้าที่ถูกสายลมหนาวเป่าจนแดนระเรื่องามสะคราญชวนให้ผู้คนหวั่นไหว เวลานี้เขาพลันตระหนักขึ้นมาว่าคนที่อยู่ข้างกายตนแท้จริงแล้วเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทันใดนั้นหัวใจก็วูบไหว หยิบรัดเกล้าทองในอกเสื้อยื่นให้สือซิ่ว “พี่ซิ่ว สิ่งนี้มอบให้เจ้า”
เดิมทีสือซิ่วรู้สึกโมโห คิดจะแก้คำเรียกขานของลู่อวิ๋น แต่เมื่อเห็นรัดเกล้าทองลายกิ่งบุปผาขดล้อมชิ้นนั้น มิว่าอย่างไรสุดท้ายนางก็เป็นดรุณีผู้หนึ่ง ดวงตากลมโตทอประกายวิบวับหยีโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว พอรับรัดเกล้าทองมาก็ชอบอกชอบใจจนวางมิลง
ในใจลู่อวิ๋นรู้สึกหวั่นๆ สือซิ่วเป็นเหมือนพี่น้องของตน มอบรัดเกล้าทองคำให้นางก็พอมีเหตุผลอยู่กระมัง แม้ตอนแรกท่านหญิงเจาหวาจะบอกให้มอบให้น้องสาวของตนก็เถอะ ตอนนี้เองสือซิ่วก็ส่งรัดเกล้าทองคำคืนมาให้อย่างอาลัยอาวรณ์แล้วบอกเสียงเบาว่า “สิ่งนี้ล้ำค่าเกินไป เจ้ารับกลับไปเถิด”
แม้ปกติสือซิ่วจะไม่ใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้ แต่รัดเกล้าทองชิ้นนี้งดงามประณีตปานนี้ พันตำลึงทองก็คงยากจะซื้อ นางจะรับของขวัญล้ำค่าเช่นนี้ได้อย่างไร
ดวงตาของลู่อวิ๋นทอประกายวูบหนึ่งแล้วบอกเสียงเบาว่า “สิ่งนี้เป็นของที่สหายมอบให้ข้า เจ้าเก็บรักษาไว้แทนข้าเถิด”
สือซิ่วเดิมทีคิดจะปฏิเสธ แต่มิรู้เหตุใดจึงเอ่ยมิออก เพียงก้มหน้าขยับรัดเกล้าทองคำชิ้นนั้นเล่น สายตาเหลือบมองอย่างมิตั้งใจก็เห็นว่ากลางเกสรดอกเหมยตรงที่รัดเกล้าทองเชื่อมต่อกันมีตัวอักษรเล็กเท่าเมล็ดข้าวสองตัวเขียนอยู่ สือซิ่วเพ่งมองก็เห็นคำว่า ‘เจาหวา’ สองคำ หัวใจพลันกระตุกวูบหนึ่ง แล้วแย้มรอยยิ้มตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ ข้าจะเก็บรักษาแทนเจ้าก่อน”
ลู่อวิ๋นรู้สึกราวกับได้วางก้อนหินก้อนใหญ่ในใจลง คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “รอถึงวันที่สิบห้า ข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟดีหรือไม่ ตอนนี้เป็นเพียงการขี่ม้าชมเมืองเท่านั้น มีสถานที่น่าสนุกมากมายที่เจ้ายังมิเคยเห็น”
สือซิ่วฟังจบ ดวงตาพลันเป็นประกาย “เอาสิ ได้ยินว่าแม่น้ำฉินไหวน่าเที่ยวยิ่งนัก เหนือแม่น้ำล้วนมีโคมดอกบัว แล้วยังมีกายกรรมกับขับร้องระบำให้ดูด้วย”
ลู่อวิ๋นพยักหน้ารับซ้ำๆ ใบหน้าของสือซิ่วปรากฏรอยยิ้มหวาน ทั้งสองคนขยับเข้าไปใกล้กระซิบกระซาบกันอยู่บนหลังม้า หารือกันว่าจะไปเที่ยวเล่นอย่างไร เวลานี้ทั้งสองคนมิใช่วีรบุรุษหนุ่มผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วเจียงหนาน แต่เป็นเพียงเด็กน้อยที่ยังมิโตคู่หนึ่งเท่านั้น
ถ้อยคำที่เด็กน้อยทั้งสองกระซิบกระซาบกัน ลู่ช่านได้ยินอย่างชัดเจน ความกลัดกลุ้มในใจเขามลายหายไปบางส่วน นึกถึงสือกวนที่ลอบแสดงเจตนาจะจับคู่ให้บุตรสาวอยู่รางๆ ก็ยิ้มละไมอย่างห้ามมิได้ เมื่อนึกถึงภรรยากับบุตรชายบุตรสาวที่มิได้พบหน้ากันปีกว่า ในใจก็เกิดความรู้สึกอ่อนโยนท่วมท้น หวดแส้หนึ่งที เร่งความเร็วอาชามุ่งไปข้างหน้า
จวนเจิ้นหย่วนกงตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองเจี้ยนเย่ ตัวจวนเคร่งขรึมน่าเกรงขาม แต่วันนี้ประตูใหญ่เปิดกว้าง หน้าประตูประดับโคมและผ้าสีสันสดใส เจ้าตระกูลรบชนะกลับมา คนทั้งครอบครัวมิว่าสูงหรือต่ำล้วนออกมาต้อนรับ
ผู้ที่อยู่หน้าสุดคือสตรีวัยกลางคนหน้าตาสะสวยกิริยาสง่างาม นางก็คือภรรยาของลู่ช่าน ด้านหลังของนางฝั่งซ้ายและฝั่งขวามีเด็กน้อยยืนอยู่สองคน เด็กผู้ชายฝั่งซ้ายอายุราวสิบขวบ เขาหน้าตาคล้ายลู่อวิ๋น เพียงแต่ดูนุ่มนวลกว่าเล็กน้อย เขาคือลู่เฟิงบุตรชายคนรองของลู่ช่าน เด็กผู้หญิงทางขวาอายุราวเจ็ดถึงแปดปีเท่านั้น แม้อายุน้อยแต่กลับงามผุดผ่องประหนึ่งไข่มุกและหยาดน้ำค้าง เวลานี้นางกำลังเอนซบมารดาแอบมองสำรวจผู้คนทั้งหลายอยู่ นางคือบุตรีเพียงคนเดียวของลู่ช่านนามว่าลู่เหมย ด้านหลังของทั้งสามคนยังมีสตรีวัยกลางคนอีกคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กชายตัวน้อยอายุสองถึงสามขวบคนหนึ่งอยู่ เด็กผู้ชายตัวน้อยคนนี้หน้าซื่อตาใสน่ารักน่าชังยิ่งนัก เขาก็คือบุตรชายคนเล็กของลู่ช่านนามว่าลู่ถิง
สือซิ่วยืนอยู่ข้างลู่อวิ๋น มิรู้เหตุใดนางจึงใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ นางทราบมาก่อนแล้วว่าลู่ฮูหยินมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลดัง นางย่อมมีสี่คุณธรรมเพียบพร้อม แต่ฝ่ายนางกลับเหมือนเป็นเด็กหนุ่มกำมะลอ สองปีนี้ท่านแม่สั่งสอนตนมามิน้อย หากลู่ฮูหยินขี้บ่นเช่นนั้นด้วยจะทำเช่นไรเล่า
เวลานี้เอง ลู่ฮูหยินก็พาทุกคนคารวะลู่ช่านจนเสร็จ ลู่อวิ๋นก้าวเข้ามาคารวะมารดาอย่างหวาดๆ ลู่ฮูหยินเห็นบุตรชายคนโต ดวงตาก็พลันพร่ามัว ดึงบุตรรักเข้ามามองสำรวจบนล่างอยู่เนิ่นนาน เมื่อแน่ใจแล้วว่าบุตรรักปลอดภัยดีมิมีส่วนใดบุบสลายจึงวางใจ ยามนี้ผลัดถึงตาสือซิ่วก้าวเข้ามาคารวะบ้าง สือซิ่วลอบมองลู่อวิ๋นแวบหนึ่งก่อนจะก้าวเข้าไปคารวะ
ลู่ฮูหยินได้รับจดหมายจากสามีมาก่อนแล้ว นางทราบเรื่องของสือซิ่วแล้ว ทั้งยังทราบว่าสามีตั้งใจจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ยิ่งทราบว่าเด็กหญิงที่แต่งกายเป็นเด็กชายผู้นี้องอาจกล้าหาญยิ่งนัก ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่สังหารศัตรูกับบุตรชายในสนามรบ ในใจก็รู้สึกดีด้วยมาตั้งแต่ก่อนหน้า นางก้าวเข้าไปประคองเด็กสาว กอดนางเข้ามาในอ้อมแขนแผ่วเบาแล้วบอกว่า “เจ้าคือซิ่วเอ๋อร์สินะ เด็กดี ขอบคุณเจ้ามาก หากมิได้เจ้าสู้แลกชีวิต อวิ๋นเอ๋อร์ของข้าเกรงว่าคงจะมิมีชีวิตรอดแล้ว”
สือซิ่วได้ยินก็หน้าแดงก่ำ นางทราบว่าลู่ฮูหยินหมายถึงเรื่องที่ตนแกล้งตายเพื่อสังหารต่งซานในสมรภูมิ แม้ผลลัพธ์จะเป็นการช่วยชีวิตลู่อวิ๋นไว้ แต่ความจริงนั่นเป็นความดีความชอบจากที่ทั้งสองคนร่วมมือกัน นางกำลังจะอธิบายก็เห็นลู่ช่านส่งสายตาให้นาง จึงปิดปากมิพูด
ลู่ฮูหยินเห็นเด็กสาวคนนี้ทำท่าทางมิสบายใจ ในใจก็ยิ่งชมชอบ จูงมือนางแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามิต้องเกร็ง อยู่ที่นี่ให้เหมือนอยู่บ้าน ข้าจะปฏิบัติกับเจ้าเฉกเช่นเดียวกับอวิ๋นเอ๋อร์” นางกุมมือเด็กสาว ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงกำลังแข็งกร้าวในมือเรียวบางข้างนั้นกับผิวหนังที่หยาบกระด้างเล็กน้อย เห็นชัดว่าเป็นร่องรอยที่การฝึกวรยุทธ์เป็นประจำทิ้งเอาไว้ ในใจเกิดความรักและเวทนา พอหันไปเห็นสีหน้าประหม่าของลู่อวิ๋นก็พลันรู้สึกว่าลูกสะใภ้เช่นนี้มิเลว ความลังเลเสี้ยวหนึ่งที่เคยมีสลายไปอย่างไร้ร่องรอย นางอมยิ้มจูงมือสือซิ่วเดินเข้าไปด้านใน
ลู่อวิ๋นรู้สึกโล่งใจ เขาตบหน้าอกตนเองเบาๆ รู้สึกว่าไม่ประหม่าเท่าเดิมแล้ว หลังจากนั้นเขาก็เห็นดวงตาเป็นประกายของน้องรองลู่เฟิงกับน้องสาวคนเล็กลู่เหมย ทั้งสองคนจับมือซ้ายมือขวาของเขาไว้ ลู่เฟิงเอ่ยอย่างชิงชัง “พี่ใหญ่ ท่านหลอกข้าให้ขโมยเงินแทนท่าน สุดท้ายข้าถูกท่านแม่ลงโทษให้คุกเข่า” ลู่เหมยกลับน้ำตาคลอเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ หลังจากนี้พาเหมยเอ๋อร์แอบหนีออกจากบ้านด้วยดีหรือไม่”
ลู่อวิ๋นพลันรู้สึกว่ากระแสธารอุ่นสายหนึ่งไหลเข้ามาในหัวใจ เขาเอื้อมมือสองข้างออกมากอดน้องชายกับน้องสาว ความรู้สึกยินดีปรีดาของการหวนพบหน้าหลังพลัดพรากจากกันมานานทำให้เขาแทบจะพูดคำใดมิออก
ขณะที่ประตูใหญ่ของจวนเจิ้นหย่วนกงปิดลงอย่างอบอุ่น บนเหลาสุราหลังหนึ่งฝั่งตรงข้ามถนน ภายในห้องส่วนตัวที่ติดถนน ชายหนุ่มผู้หนึ่งยิ้มน้อยๆ ดื่มสุราหนึ่งจอก มองมายังประตูใหญ่สีแดงที่ปิดสนิท ดวงตาทอประกายเย็นเยือก