ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 47 ค่ำคืนแห่งมังกรมัจฉาเริงระบำ (1)
แม้งานประชันยอดบุปผาบนทะเลสาบเสวียนอู่จะครึกครื้น แต่คนที่สนใจจำนวนมากกว่าครึ่งก็เป็นลูกหลานขุนนางและคนตระกูลร่ำรวย ส่วนงานเทศกาลโคมไฟในคืนนี้มิว่าเด็กหรือคนเฒ่าคนชราล้วนมาเที่ยวเล่นได้
ค่ำคืนนี้มิว่าขุนนางสูงศักดิ์หรือชาวบ้านธรรมดาล้วนสวมใส่อาภรณ์งดงามเดินท่องราตรี ทั่วใต้หล้าร่วมกันเฉลิมฉลอง ภายในนครเจี้ยนเย่เรืองรองแสงสว่างไสวด้วยแสงหลากสีสัน โคมไฟงดงามสารพัดรูปแบบช่วงชิงกันโดดเด่น แสงโคมกับความมืดของรัตติกาลสอดประสานขับเน้นกันและกัน บนถนนครึกครื้น รถม้าแล่นต่อกันดั่งสารธาร
คนมั่งคั่งสูงศักดิ์เค้นสมองคิดหาวิธีอวดบารมี ขันแข่งความหรูหราฟู่ฟ่า แท่นวางโคมหรูหราประดับเงินทอง กระจกแก้ว ไข่มุกเป็นประกายระยิบระยับ หลายบ้านตั้งเวทีสูงไว้หน้าประตูให้คนแสดงความสามารถต่างๆ นานาแลดูน่าตื่นตายิ่งนัก ดึงผู้คนให้แห่แหนเข้ามา ยังมีบางบ้านตั้งซุ้มสีสันสดใสไว้ด้านหน้า ข้างในแขวนปริศนาโคมเอาไว้ วางเงินทองแพรพรรณเป็นของรางวัล ชักชวนให้บุรุษสตรีนับไม่ถ้วนมาขมวดคิ้วคร่ำเคร่งขบคิด
ท่ามกลางฝูงชน ลู่อวิ๋นกับสือซิ่วจูงมือกันเดินอยู่บนถนน วันนี้ทั้งสองคนได้รับพระราชทานรางวัลจากในราชสำนัก พวกเขาล้วนได้รับแต่งตั้งตำแหน่งในกองทัพเป็นหัวหน้ากองพันขั้นหก แม้ตอนนี้เป็นเพียงตำแหน่งเปล่าๆ มิอาจให้พวกเขาไปนำกองทัพได้จริงๆ แต่อย่างไรเสียก็เป็นเกียรติยศอันหาได้ยาก
ทั้งสองคนย่อมมิทราบว่าการพระราชทานรางวัลหนนี้เป็นการกระทำชนิดขอไปทีของราชสำนัก แล้วก็เป็นการชดเชยรางวัลที่ลู่ช่านสมควรได้เท่านั้น พวกเขาจึงเปรมดิ์ปรีดานัดกันออกมาชมโคมไฟ ทั้งสองคนล้วนมีนิสัยมิกลัวฟ้ามิกลัวดิน อีกทั้งยังวรยุทธ์สูงส่ง ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้พาแม่ทัพในตระกูลมาด้วย ลอบออกจากจวนเจิ้นหย่วนกงกันมาเอง
สือซิ่วมาถึงเจี้ยนเย่หนแรก มิคุ้นเคยกับถนนหนทางของที่แห่งนี้ ลู่อวิ๋นกลัวนางจะหลงทาง คนเดินถนนก็มากเหลือเกิน ดังนั้นจึงจูงมือนางไว้ตลอด มิให้นางพลัดหลง
เดินไปได้พักหนึ่ง สือซิ่วกำลังมองมิวางตา ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของบุรุษหลายคนตามด้วยเสียงสนทนา พวกเขาบอกว่าหน้าบ้านของเศรษฐีคนหนึ่งจัดเวทีประลองยุทธ์ ได้ยินว่าของรางวัลคือโคมแก้วแปดสมบัติ หากมีผู้ใดยิงธนูถูกเหรียญทองคำก็จะมอบโคมนี้ให้ แล้วยังได้ยินว่าหากหน้าตาเหมาะสมก็ยังจะมอบบุตรสาวให้หมั้นหมายกับผู้ที่มาชิงชัยอีกด้วย บุรุษเหล่านี้ล้วนยิงธนูเป็นอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไปลองเสี่ยงโชคมา
สือซิ่วย่อมมิสนใจเรื่องหาคู่ครอง แต่เมื่อได้ยินว่ามีการยิงธนูชิงโคมไฟก็หูตั้งทันที ฟังอยู่ครู่หนึ่งนางก็เอ่ยกับลู่อวิ๋นว่า “น้องอวิ๋น พวกเราไปลองดูกันเถิด ทายปริศนาพวกเราคงไม่รอดทั้งคู่”
ลู่อวิ๋นได้ยินแล้วก็รู้สึกสนใจพอสมควร จึงพาสือซิ่วเดินไปตามทิศทางที่คนพวกนั้นพูดถึง เดินไปมิถึงหนึ่งก้านธูปก็เห็นเวทีประลองธนูจริงๆ
จวนหลังนั้นเป็นของตระกูลมั่งคั่ง กำแพงสูงใหญ่ จวนหลังใหญ่โต หน้าประตูจัดลานว่างเอาไว้ ห่างจากประตูใหญ่ร้อยก้าวมีเสาธงตั้งอยู่หนึ่งเสา บนเสาธงแขวนโคมสีแดง ใต้โคมห้อยเหรียญทองที่กำลังแกว่งไกวตามสายลมอยู่หนึ่งเหรียญ ด้านข้างประตูใหญ่มีซุ้มตั้งอยู่ ผืนผ้าแพรกั้นด้านนอกกับด้านในออกจากกัน
ด้านนอกบุรุษวัยกลางคนผู้สวมอาภรณ์งดงามท่าทางมิธรรมดาคนหนึ่งกำลังเป็นพิธีกร ด้านในซุ้มวางโต๊ะสี่เหลี่ยมไว้ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีลูกศรขนนกกับคันศรแกะสลักวางอยู่ โคมแก้วแปดสมบัติที่เป็นของรางวัลห้อยอยู่ตรงประตูบานใหญ่ มันเป็นโคมแปดเหลี่ยมเช่นโคมในวังหลวง ตัวโคมประกอบขึ้นมาจากแก้วใสหกสิบสี่ชิ้นร้อยเชื่อมด้วยไหมเงินไหมทอง ประดับประดาด้วยไข่มุกและหยกงาม ยามเทียนสีแดงเปล่งแสงวูบไหว ยิ่งแลดูเป็นประกายระยิบระยิบ เพียงไข่มุกแวววาวขนาดเท่าไข่นกกระทาเม็ดนั้นที่อยู่บนยอดโคมก็มีค่าครองเมืองแล้ว มิแปลกที่ผู้คนมากมายจะลูบหมัดถูฝ่ามืออยู่ด้านข้าง
แม้หนานฉู่จะยกย่องเชิดชูบัณฑิตดูแคลนแม่ทัพ แต่การยิงธนูเป็นหนึ่งในหกศาสตร์ของคนเป็นบัณฑิตเช่นกัน จึงมีคนมากมายกล้าก้าวเข้ามาลองยิง ทว่าก่อนจะลองยิงต้องจ่ายเงินสิบตำลึงเสียก่อน นี่จึงทำให้คนมากมายหยุดฝีเท้าไว้
ลู่อวิ๋นคาดว่าเสาธงต้นนั้นคงจะเตรียมการมาเป็นพิเศษ มันสูงสิบจั้ง ส่วนเหรียญทองเหรียญนั้นก็เล็กจิ๋วและน้ำหนักเบา ผูกห้อยอยู่ใต้โคมไฟด้วยด้ายสีแดงเพียงเท่านั้น มันพัดไปมาตามสายลมหนาวบนที่สูง หากจะยิงธนูจากด้านล่างไปด้านบนด้วยระยะเท่านี้กับเป้าเท่านี้นับว่ายากเย็นอย่างยิ่งจริงๆ แม้แต่ตนเองก็มิกล้ารับประกันว่าจะยิงถูกเหรียญทองคำหรือไม่ แต่ป้ายประกาศบนซุ้มเขียนไว้ว่าลูกศรสามดอกมีหนึ่งดอกยิงถูกเหรียญทองก็ใช้ได้แล้ว ถ้าเช่นนั้นตนก็มั่นใจเจ็ดถึงแปดส่วน
เวลานี้เองสือซิ่วก็ถามพร้อมกับดวงตาเป็นประกาย “น้องอวิ๋น เจ้าพกเงินมาหรือไม่”
ลู่อวิ๋นกำลังจะกล่อมให้สือซิ่วอย่าทำตัวโดดเด่น แต่เมื่อดวงตาสี่ข้างสบประสาน ประกายเจิดจ้าในดวงตาสุกใสคู่นั้นของสือซิ่วกลับทำให้ลู่อวิ๋นใจอ่อน จึงตอบว่า “เจ้าลองดูก่อน หากมิสำเร็จข้าค่อยลองอีกหน จะต้องชิงเอาโคมแก้วมาได้แน่”
สือซิ่วกลอกตาใส่เขาแล้วตอบว่า “หากข้ายิงมิถูก เจ้าจะยิงถูกหรือ”
ลู่อวิ๋นพูดมิออกในทันใด ทักษะยิงธนูของทั้งสองคนสูสีคู่คี่ สือซิ่วกล่าวเช่นนี้ก็มิผิดนัก ดังนั้นเขาจึงหัวเราะฝืดๆ หนหนึ่งแล้ววางก้อนเงินหนึ่งก้อนลงบนมือของสือซิ่ว
สือซิ่วรับก้อนเงินมาแล้วเดินไปที่ซุ้ม ผู้คนที่ล้อมมุงดูอยู่ล้วนดวงตาเป็นประกาย สือซิ่วสวมอาภรณ์สีขาว ดวงหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา ใบหน้าแฝงความมั่นใจ ชายหนุ่มท่าทางห้าวหาญเช่นนี้ หากมิใช่ว่านางดูอายุน้อย น่ากลัวว่าคุณหนูตระกูลดังผู้ยากจะออกจากบ้านสักหนเหล่านั้นเห็นเข้าคงหวั่นไหวใจระทวย
นางก้าวเข้าไปรับคันศรแกะสลักกับลูกศรขนนกสามดอก จากนั้นโยนเงินตำลึงให้ แล้วก้าวไปยังเส้นสีขาว นางหรี่ตาเพ่งมองเหรียญทองที่กำลังเต้นระบำอยู่ท่ามกลางสายลม คันศรโค้งดั่งจันทร์เต็มดวง สมาธิจดจ่อเล็งลูกศร ผู้คนที่มุงดูอยู่ล้วนกลั้นลมหายใจชม อยากดูว่าเด็กหนุ่มดวงหน้าหล่อเหลาหมดจดจะยิงธนูถูกเหรียญทองหรือไม่
ผ่านไปครู่หนึ่ง สือซิ่วก็ยังมิปล่อยลูกศร มีบางคนในฝูงชนเริ่มกระซิบกระซาบ เลิกตื่นเต้น พวกเขาต่างคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้เพียงแกล้งวางท่าเท่านั้น
ในตอนนั้นเอง สายธนูก็ดีดผึง ลูกศรดอกที่หนึ่งหายลับปานสายฟ้า เสียงแผ่วเบาดังขึ้นหนึ่งหน ลูกศรลอดผ่านช่องสี่เหลี่ยมกลางเหรียญทองคำ ผู้คนยังมิทันตอบสนอง ลูกศรดอกที่สองก็วาดผ่านท้องนภา ด้ายแดงขาดสะบั้นขาด เหรียญทองคำร่วงหล่นลงมายังพื้นดิน ทว่าในตอนนี้เอง ลูกศรดอกที่สามก็แหวกอากาศ พุ่งเสียบเหรียญทองคำคาอยู่กับหัวลูกศร ก่อนจะพาแรงส่งที่ยังมิหมดสิ้น พุ่งไปปักกับเสาธงที่อยู่ด้านหลังของมัน
รอบด้านเงียบกริบ ในค่ำคืนแห่งเทศกาลหยวนเซียว ความเงียบงันเช่นนี้แลดูประหลาดยิ่งนัก สือซิ่วยิ้มละไมเก็บคันศรกับลูกศร ใบหน้าแดงระเรื่อเผยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างลำพอง ทันใดนั้นรอบด้านก็มีเสียงร้องชมดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน สือซิ่วโค้งกายเป็นวงกลมให้คนทั้งหลาย จากนั้นหมุนตัวกลับไปมองบุรุษวัยกลางคนที่ค้างอยู่ในท่าลูบหนวดผู้นั้น นางยิ้มแย้มเอ่ยว่า “โคมแก้วแปดสมบัติดวงนี้สมควรเป็นของข้าแล้วกระมัง”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นในใจขมขื่นพูดลำบาก ขณะที่เขาลังเลอยู่นั่นเอง เสียงปานกระดิ่งเงินก็ดังออกมาจากม่านด้านหลัง “หัวหน้าองครักษ์เกา ในเมื่อคุณชายท่านนี้ยิงเหรียญทองคำได้ย่อมสมควรมอบโคมแก้วให้”
สือซิ่วตกตะลึงเล็กน้อย แม้จะเห็นอยู่ก่อนแล้วว่าเบื้องหลังม่านมีเงาคนเลือนรางอยู่หลายคน แต่คิดมิถึงว่าผู้ที่เอ่ยปากจะเป็นสตรีนางหนึ่ง ว่าแล้วก็หวนนึกถึงถ้อยคำในบทสนทนาที่ได้ยินก่อนหน้านี้
ครอบครัวนี้จัดงานประลองยิงธนู จุดประสงค์ก็เพื่อหาคู่ครอง เมื่อคิดว่าคนที่อยู่หลังม่านคงเป็นคุณหนูของบ้านหลังนี้ นางก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย แม้นางแต่งกายเป็นบุรุษและมิเคยมองตนเองเป็นสตรี แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นเด็กสาวปกติธรรมดาคนหนึ่ง นางหันกลับไปมองลู่อวิ๋นอย่างห้ามมิได้
ฝั่งลู่อวิ๋นกำลังลอบชื่นชมฝีมือยิงธนูของสือซิ่วอยู่ หลายวันที่ผ่านมาพวกเขาประลองฝีมือกันมามิน้อย แต่วันนี้เพิ่งได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของสือซิ่ว พอเห็นสายตาขอความช่วยเหลือของสือซิ่ว เขาก็คลี่ยิ้มก้าวเข้าไปบอกว่า “ในเมื่อนายเอ่ยเช่นนี้แล้ว หัวหน้าองครักษ์ท่านนี้เหตุไฉนจึงยังไม่ไปหยิบโคมมาอีกเล่า”