ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 53 สำเนียงบ้านเกิดยังคงเดิม (1)
รัชศกถงไท่ปีที่สิบสอง กองเรือตงไห่ของกองทัพต้ายงรุกรานดินแดนอู๋เย่ว์ เจียงเจ๋อติดตามมากับกองทัพ เดือนสองวั นที่สิบสอง กองทัพต้ายงเข้าสู่จยาซิง เจียงเจ๋อลักลอบเข้ามาเซ่นไหว้มารดา พบกับคนตระกูลจิง คลี่คลายความแค้นเคืองแต่เก่าก่อน ทว่าผู้คนในใต้หล้ามิล่วงรู้
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
หอเยียนอวี่แห่งเมืองจยาซิงแต่เดิมเป็นสถานที่เลื่องชื่อแห่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ บัณฑิตและนักเดินทางมาเยี่ยมเยือนมากมายนัก โดยเฉพาะต้นเดือนสอง กิ่งหลิวสีเขียวหยกพลิ้วดุจหมอกควัน คลื่นน้ำสีครามไหวกระเพื่อม เสากระโดงของเรือหาปลาทอดเงาลงบนผิวน้ำ นาวาแล่นผ่านไปมาดั่งกระสวยทอผ้า ช่างเป็นทิวทัศน์ที่ทำให้คนเพลิดเพลินใจยิ่งนัก น่าเสียดายยามนี้แม้ทิวทัศน์ยังเป็นเหมือนก่อน แต่คนในหอกลับกลัดกลุ้มขมวดคิ้วเป็นปม
หลายวันก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่ากองทัพต้ายงบุกยึดติ้งไห่ แต่ข่าวนี้มิได้ทำให้พวกเขาหวาดผวามากนัก ดินแดนอู๋เย่ว์พบภัยสงครามน้อยครั้งมาก ในความคิดของพวกเขา กองทัพต้ายงคงจะถูกกองเรืออวี๋หังขับไล่ให้ถอยไปอย่างรวดเร็ว แต่เรื่องราวกลับเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ทำให้พวกเขารับมือมิทัน แทบจะในพริบตาเดียว กองทัพต้ายงก็โหมบุกจนกวาดเกือบทั่วทั้งอู๋เย่ว์
หลายวันก่อนกองทัพต้ายงบุกตีผิงหูและไห่หนิง ข่าวที่ส่งมาจากทั้งสองเมืองบอกว่ากองทัพต้ายงมิได้เข่นฆ่าล้างเมืองอย่างเหิมเกริม เพียงกักทหารและประชาชนไว้ในเมืองมิให้เคลื่อนไหวอย่างอิสระเท่านั้น แม้จะมิเข้าใจเจตนาของกองทัพต้ายง แต่ด้วยสาเหตุนี้ ทหารและประชาชนแห่งเมืองจยาซิงจึงวางใจลงบ้าง กองทัพต้ายงบุกเย่ว์จวิ้นสำเร็จเพราะอาศัยการโจมตีอย่างมิทันตั้งตัวเท่านั้น เมื่อกองทัพหนานฉู่โต้กลับ กองทัพต้ายงต้องถูกบีบให้ถอยกลับไปในทะเลแน่นอน ขอเพียงกองทัพต้ายงมิคร่าชีวิตคน ถ้าเช่นนั้นต่อให้สูญเสียเงินทองกับเสบียงไปบ้างก็มิเป็นปัญหามากนัก
ผู้คนในหอล้วนเป็นลูกหลานรุ่นเยาว์ของตระกูลใหญ่ในจยาซิง แต่บางคนก็เป็นบัณฑิตยากจนผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือของจยาซิง ยามนี้ทัพหน้าของต้ายงยาตราทัพมาถึงชานเมืองจยาซิงแล้ว ลูกหลานรุ่นเยาว์เหล่านี้มิยินดีถูกขังอยู่ในบ้านจึงมารวมตัวกันที่หอเยียนอวี่ หวังว่าจะได้ทราบข่าวการศึกล่าสุด ก็มีแต่ชายหนุ่มวัยเยาว์ที่ยังคงมีความกล้าหาญในโลหิตเหล่านี้ถึงจะกล้ามาชุมนุมกันในเวลานี้
ในหมู่ชายหนุ่มเหล่านี้มีอยู่คนหนึ่งสีหน้าแตกต่างจากผู้อื่นอยู่บ้าง เขาเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบปี สวมใส่อาภรณ์บัณฑิตสีเขียว หน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา ท่าทางสุขุมลุ่มลึก เขานั่งมองทิวทัศน์ทะเลสาบหนานหูอยู่ริมหน้าต่าง คล้ายตั้งใจจะแยกตัวออกจากกลุ่มคน ผู้คนทั้งหมดในหอก็เหมือนจะหลบเลี่ยงเขาอยู่กลายๆ แต่ขณะเดียวกันก็ลอบใช้สายตาจับสังเกตสีหน้าของเขา ชายหนุ่มผู้นี้มีนามว่าจิงซิ่น เขาคือหลานชายคนโตของตระกูลจิง บุตรชายของจิงฉางชิง
จยาซิงแตกต่างจากสถานที่อื่นที่ต่อว่าโจมตีคุณธรรมของเจียงเจ๋อ ตระกูลใหญ่ในเมืองจยาซิงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เพื่อไว้หน้าตระกูลจิง ผู้คนมากกว่าครึ่งจึงล้วนปิดปากมิพูด มิหนำซ้ำลึกๆ ในใจตระกูลใหญ่เหล่านี้กลับลอบอิจฉาตระกูลจิงที่มีบุคคลเช่นเจียงเจ๋ออยู่ในวงศ์สาแหรกของตระกูล
ระหว่างตระกูล แว่นแคว้นและใต้หล้า ในสายตาตระกูลใหญ่เหล่านี้ เกียรติยศของตระกูลสำคัญที่สุด แม้พวกเขามองว่าทหารกล้าแห่งต้ายงเป็นคนป่าเถื่อน คิดว่าพวกเขาสง่างามเทียบบทกวีของชาวใต้มิได้ แต่อำนาจน่าเกรงขามของต้ายงก็ยังทำให้พวกเขาหวาดหวั่นอยู่ในใจ ดังนั้นแม้จะเป็นการทำเพื่อเหลือทางรอดให้ตนเอง แต่ตระกูลใหญ่ในจยาซิงก็มิกล้าหยามหมิ่นตระกูลจิง นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ซั่งเหวยจวินต้องการขุดรากถอนโคนตระกูลจิงแต่มิอาจทำได้ราบรื่น
แน่นอนมิใช่ว่าตระกูลจิงจะมิได้รับผลกระทบอย่างสิ้นเชิง ตระกูลใหญ่ในจยาซิงจำต้องไว้หน้าราชสำนัก ดังนั้นฉากหน้าก็ยังเย็นชากับตระกูลจิงอยู่เล็กน้อย จิงซิ่นในฐานะผู้สืบทอดตระกูลจิงย่อมสัมผัสสถานการณ์เช่นนี้มาอย่างลึกซึ้ง หากต้ายงเปิดศึกกับแคว้นอื่น ยามชายหนุ่มทั้งหลายถกเรื่องสงครามมักจะล้อมเขาไว้ตรงกลาง แต่หากต้ายงกับหนานฉู่เปิดศึกกัน ทุกคนกลับปล่อยให้เขาโดดเดี่ยวอยู่กลายๆ แน่นอนว่าพวกเขามิถึงกับแสร้งทำมองมิเห็นเขา ตรงกันข้ามกลับยิ่งสนใจความคิดเห็นของเขามากกว่าเดิม นานวันเข้าจิงซิ่นก็คุ้นชินกับการปฏิบัติเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงจงใจรักษาระยะห่างกับคนทั้งหลายประมาณหนึ่ง
จิงซิ่นมองน้ำในทะเลสาบนอกหน้าต่าง ทว่าในหัวใจกลับมิได้สงบดังที่แสดงออกภายนอก เขามิเคยพบท่านอาต่างแซ่นามเจียงเจ๋อผู้นั้น แล้วก็ไม่มีความทรงจำแต่อย่างใด ทว่าเขากลับพอรู้จักเจียงหันชิวบิดาของเจียงเจ๋อได้อยู่บ้าง ในอดีตตอนเจียงหันชิวไปจากจยาซิง เขานำตำราทั้งหมดของตนเองไปด้วย แต่ภายในห้องหนังสือของตระกูลจิงมีบันทึกเหลืออยู่สองสามเล่ม ในนั้นบันทึกข้อคิดที่เขาได้จากการอ่านตำรา
นับตั้งแต่เจียงซิ่นทราบเรื่องของเจียงเจ๋อ เขาก็ตั้งใจไปอ่านบันทึกทั้งหลายเหล่านั้น แม้เจียงหันชิวมิมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่บันทึกของเขาเรียกได้ว่าเนื้อหาอัดแน่น มีมุมมองลึกซึ้งยิ่งนัก ทุกครั้งที่จิงซิ่นอ่านล้วนได้ความคิดใหม่ๆ เขาถอนหายใจอย่างอดมิอยู่ มีบิดาเช่นนี้ มิน่าเจียงเจ๋อจึงสร้างชื่อสะเทือนใต้หล้า
ภายในตระกูลจิง ความเห็นเกี่ยวกับเจียงเจ๋อแบ่งออกเป็นสองฝ่าย มีคนอย่างเช่นจิงซุ่นชิงที่เดินทางไปต้ายง อาศัยการสนับสนุนของเจียงเจ๋อก่อร่างสร้างตัว แล้วก็มีคนอย่างจิงฉางชิงที่ขุ่นเคือง มองเขาเป็นขุนนางเลวคนทรยศ
ในใจจิงซิ่นเข้าใจดีว่าหลายปีที่ผ่านมาท่านปู่ค่อยๆ เอนเอียงไปทางฝั่งอารอง คนในตระกูลบางคนถึงขั้นเริ่มไม่พอใจบิดาของตน อยากจะให้อารองมารับช่วงต่อเจ้าตระกูล แต่ติดที่การค้าของอารองในต้ายงมิสะดวกเปิดเผย
ในความคิดของจิงซิ่น เขาย่อมมิเห็นด้วยที่บิดาดื้อดึงจนมิเห็นแก่ความสัมพันธ์ของครอบครัวเช่นนี้ แต่หากจะให้อาศัยเจียงเจ๋อไปเข้าข้างต้ายง เขาก็มิใคร่จะยินดีนักเช่นกัน เหตุใดตระกูลจิงจะต้องพึ่งพิงคนนอกเพื่อหยัดยืนด้วยเล่า นี่เป็นความคิดในใจของเขา
เวลานี้เอง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งขึ้นมาบนหอ ตะโกนลั่นว่า “แย่แล้ว กองทหารรักษาเมืองจยาซิงมิกล้าออกจากเมืองไปสู้กับศัตรู แตกทัพหนีกันไปแล้ว กองทัพต้ายงเข้าเมืองแล้ว กำลังบังคับใช้คำสั่งควบคุมเมืองไล่มาตามทาง มิอนุญาตให้ชาวบ้านออกมาเดินตามถนน อีกครู่หนึ่งก็จะมาถึงหอเยียนอวี่”
ชายหนุ่มเหล่านี้โหวกเหวกเสียงดัง ในใจเกิดความหวาดกลัว แม้ยังมิเคยได้ข่าวว่ากองทัพต้ายงฆ่าล้างเมือง แต่สถานการณ์ที่ผู้อื่นถือมีดกับเขียงส่วนตนเองกลายเป็นเนื้อย่อมมิรู้สึกดีนัก
ชายหนุ่มนิสัยห้าวหาญคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “ล้วนเป็นเพราะคนชั่วซั่งเหวยจวินนั่นรู้จักแต่กวาดปล้นเงินทอง ขุนนางบุ๋นบู๊แถบอู๋เย่ว์แห่งนี้ล้วนเป็นพวกที่ติดสินบนซื้อตำแหน่งมาจากเขา ขุนนางดีมีฝีมือได้ตำแหน่งเล็กๆ ส่วนพวกไร้ความสามารถกลับได้อยู่อย่างโอ่อ่า หากมิใช่เช่นนั้น เหตุไฉนจะถูกกองทัพต้ายงบุกทะลวงเข้ามาในแผ่นดินอู๋เย่ว์ได้”
ชายหนุ่มทั้งหลายได้ยินพลันตะโกนรับอย่างพร้อมเพรียง ยามปกติติดขัดที่อำนาจในราชสำนักของซั่งเหวยจวิน แม้นมิพอใจแต่ก็ทำได้เพียงวิพากษ์วิจารณ์ในที่ลับสองสามประโยค วันนี้ชายหนุ่มผู้นี้ต่อว่าออกมาต่อหน้าธารกำนัล ขณะที่จยาซิงก็พบกับเหตุการณ์วุ่นวาย ทุกคนต่างรู้สึกว่าสาแก่ใจนัก แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็มิมีประโยชน์ต่อสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ทุกคนถอนหายใจอย่างหม่นหมอง
ชายหนุ่มอ้วนเตี้ยคนหนึ่งมองไปยังจิงซิ่น เห็นเขาสีหน้านิ่งสงบก็อดมิไหวเอ่ยเสียดสีว่า “พี่จิงคงจะมิต้องกังวลกลัดกลุ้ม แม้นกองทัพต้ายงจะฆ่าล้างเมืองจยาซิงก็มิมีทางสร้างความลำบากให้ตระกูลจิง ระหว่างสงครามอันโกลาหล บิดาของท่านยังกลับจากไหวตงมาอย่างปลอดภัยได้ นับประสาอะไรกับยามนี้เล่า”
จิงซิ่นแต่เดิมเป็นคนสุขุม แต่เมื่อได้ยินคำนี้ฉับพลันก็โกรธจัดอย่างห้ามมิได้ ตอนจิงฉางชิงพบอันตรายที่ฉู่โจว โชคดีมีคนลอบให้ความช่วยเหลือจึงส่งจิงฉางชิงกับครอบครัวกลับมายังจยาซิงได้ หากจิงซิ่นมิได้อยู่ที่บ้านเกิดคอยดูแลท่านปู่ เขาก็คงพบภัยหนนี้ด้วยอย่างแน่นอน
คนที่มาส่งผู้นั้นมิเปิดเผยโฉมหน้า ไปมาไร้ร่องอรย แต่ลองคิดดูก็ทราบว่าคนที่ช่วยจิงฉางชิงออกมาจากท่ามกลางสงครามอันโกลาหลที่ไหวตงได้คงมิใช่คนธรรมดา แต่เดิมตระกูลจิงมิต้องการป่าวประกาศเรื่องนี้ แต่คิดมิถึงกลับถูกคนที่กุมอำนาจในราชสำนักออกคำสั่งให้สืบสาวราวเรื่อง จับจิงฉางชิงไปเข้าคุกสอบสวนจนถึงขั้นออกหนังสือประหารแล้ว
แต่ในเวลานี้เองก็มีข่าวกองทัพต้ายงบุกยึดติ้งไห่ แม้ว่าขุนนางจยาซิงจะใจกล้ามากเพียงใดก็มิกล้าตัดหัวจิงฉางชิงในเวลานี้ ตรงกันข้าม พวกเขากลับซ่อนหนังสือคำสั่งไว้แล้วปล่อยจิงฉางชิงออกจากคุก
เรื่องนี้แม้ผู้อื่นมิทราบ แต่ตระกูลใหญ่ทั้งหลายในจยาซิงล้วนทราบ เรื่องนี้เป็นทั้งความลับของตระกูลจิงและเป็นเรื่องต้องห้ามในใจจิงซิ่น ชายหนุ่มอ้วนเตี้ยผู้นี้เอ่ยจบก็ตระหนักว่าตนพลั้งปากเสียแล้ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าถมึงทึงของจิงซิ่น เขาก็รู้สึกตนเองพูดไม่ผิดจึงเผยสีหน้าดื้อดึงออกมา