ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 56 สำเนียงบ้านเกิดยังคงเดิม (4)
ผู้เฒ่าคนนั้นแค่นเสียงหยันตอบว่า “นับว่าเขายังมีมโนธรรมอยู่บ้าง เหอะ หลังจากน้องเล็กแต่งงานกับบิดาของเจ้า พวกเขาก็รักใคร่กลมเกลียว เคารพกันและกัน เพียงแต่ว่ามินานนางก็ตั้งครรภ์เจ้า ยามนั้นนางมักจะหมดสติบ่อยครั้ง ข้าหาหมอดีๆ มารักษานาง แต่หมอผู้นั้นบอกว่ามารดาของเจ้าร่างกายไม่แข็งแรงแต่กำเนิด หากฝืนคลอดจะมีอันตรายถึงชีวิต ยามนั้นหากใช้ยาขับเด็กออกมายังมิสาย ข้าจึงเกลี้ยกล่อมบิดามารดาของเจ้าให้ยอมตกลง
หากบิดาเจ้ากังวลว่าจะไร้ทายาท อย่างมากที่สุดข้าหาอนุภรรยามาให้เขาสักสองสามคนก็ใช้ได้แล้ว ไหนเลยจะคิดว่าบิดาของเจ้ามิยอมตกลง ผลสุดท้ายน้องเล็กให้กำเนิดเจ้าสำเร็จก็เกือบตายแต่รอดมาได้ ทว่าหลายปีหลังจากนั้นนางก็ป่วยออดๆ แอดๆ หากมิเป็นเช่นนี้ นางจะได้รับผลกระทบตอนโรคระบาดจนสิ้นใจได้เช่นไร บิดาของเจ้าทำให้นางตาย วันนี้เจ้ากลับมาเซ่นไหว้ก็แล้วไปเถิด แต่หากเจ้าคิดจะนำร่างของเจียงหันชิวกลับมาฝังร่วมกัน ตราบใดที่ข้ายังมิตายก็อย่าหวังจะเป็นไปได้”
ข้าฟังจบ ความทรงจำเลือนรางในอดีตก็ค่อยๆ ย้อนกลับมา นึกถึงตอนยังเล็ก แม้เห็นบิดากับมารดาชมบุปผาร้องประสานเสียง เสียงพิณกับเจิงเคล้าคลอกันอยู่เสมอ แต่ท่านแม่ก็มักมีสีหน้าซีดขาว ร่างกายท่าทางอ่อนแรงอยู่ตลอด
จากนั้นข้าก็หวนนึกคำพูดบางคำที่ท่านพ่อเคยหลุดปากออกมา ข้าหักห้ามน้ำตาที่ไหลรินมิได้ ร่ำไห้กล่าวว่า “ท่านลุงมิเข้าใจจริงหรือว่าการตัดสินใจนี้เป็นความตั้งใจของท่านแม่ ท่านพ่อเพียงมิต้องการขัดความตั้งใจของท่านแม่เท่านั้น”
ผู้เฒ่าคนนั้นร่างกายสั่นเทา หันไปมองดวงหน้าของเจียงเจ๋อ ในใจก็ปรากฏเงาของน้องสาวที่จากไปแล้ว เขาพบว่าเค้าโครงหน้าตาของหลานชายละม้ายคล้ายน้องสาวผู้ล่วงลับ ยามนั้นน้องเล็กก็น้ำตาใสไหลรินเช่นนี้ อ้อนวอนตนเองว่าจะเก็บลูกไว้
ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงถอนหายใจกล่าวว่า “เจ้าพูดมิผิด หากมิใช่เพราะน้องเล็กยืนกราน ข้าไหนเลยจะยอม เพียงแต่ความเจ็บปวดที่ข้าสูญเสียน้องสาวยากจะบรรเทา จึงโยนโทสะใส่บิดาของเจ้า”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมาก็คล้ายกับว่าเสาความแค้นที่คอยค้ำจุนเขามานานปีพังทลายลงมา สีหน้าของเขาหม่นเศร้าลงหลายส่วน ร่างกายก็คล้ายจะอ่อนแรงลงยิ่งนัก
ในหัวใจข้าก็รู้สึกขื่นขม แม้ท่านลุงทำให้บิดาของข้าต้องระเหเร่ร่อน แต่สาเหตุก็เป็นเพราะความผูกพันลึกซึ้งระหว่างพี่น้องที่มีต่อมารดา ในป่าต้นเหมย รอยเหยียบย่ำกลายเป็นทางเดิน เห็นชัดว่าท่านลุงมาเซ่นไหว้ท่านแม่บ่อยครั้ง แต่กลับจงใจปล่อยให้ป้ายหินที่บิดาเป็นคนทำถูกตะไคร่ขึ้นปกคลุม นั่นก็เพราะความแค้นที่เขามีต่อท่านพ่อมิเคยลดลง
ยามนั้นหลังจากข้าสอบได้เป็นจ้วงหยวน คนในตระกูลจิงอยากจะคืนดีกับข้า แต่สุดท้ายก็มิเกิดขึ้น แม้เป็นเพราะข้ามิมีเจตนาด้วยส่วนหนึ่ง แต่สาเหตุมากกว่าครึ่งเป็นเพราะท่านลุงคัดค้าน นี่ก็เป็นเพราะท่านลุงพานโยนโทสะมาใส่ข้า ทว่าเมื่อสืบย้อนให้ถึงต้นตอก็เป็นเพราะเขาลืมเลือนท่านแม่มิได้ แล้วข้าไยต้องเป็นอริกับเขาอีกเล่า
เมื่อขบคิดมาถึงตรงนี้ ข้าก็ก้าวเข้าไปค้อมกายต่ำคำนับ กล่าวว่า “ท่านลุง หลังจากท่านพ่อของข้าออกจากจยาซิงก็คิดถึงท่านแม่จนล้มป่วย เพราะมิยินดีจะให้อาการป่วยของท่านพ่อแย่ลง ข้าจึงมิกล้าถามเรื่องของท่านแม่มากนัก ในเมื่อวันนี้ท่านลุงอยู่ที่นี่แล้ว ไยมิเล่าถึงความสง่างามของท่านแม่ให้หลานชายฟังสักหน่อย ให้หัวใจของเจียงเจ๋อได้มีอดีตให้หวนรำลึกเพิ่มขึ้นอีกนิด”
ผู้เฒ่าได้ยินคำพูดนั้นก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา คลี่ยิ้มเล่าว่า “มารดาของเจ้าตอนยังเล็กมีชื่อเล่นว่าเหมยเหนียง ในชีวิตนางรักดอกเหมยมากที่สุด ตอนอายุยังน้อย หากมีดอกเหมยออกดอกตูมใกล้จะบาน นางจะมิยอมนอนทั้งคืน เฝ้าคอยให้ดอกเหมยแย้มกลีบ บางครั้งมีดอกเหมยออกดอกเร็ว นางก็จะต้องวิ่งไปชมดอกเหมย แม้น้ำแข็งจะยังไม่ละลายก็มิสนใจ
เคยมีหนหนึ่งนางกำลังป่วย แต่ได้ยินว่าดอกเหมยแรกในสวนจะบานแล้วก็มิสนใจบ่าวรับใช้ที่ห้ามปราม สวมเสื้อผ้าเข้าไปในสวน เหยียบหิมะหักกิ่งเหมยมา ผลปรากฏว่าต้องลมหนาวจนล้มป่วยหนัก สะลึมสะลืออยู่หลายวัน
หลังจากนางแต่งงานกับบิดาของเจ้า ก็มักจะดีดเจิงประสานกับพิณของบิดาเจ้าแล้วร่วมกันขับขานบทเพลง นางยังเคยประพันธ์บทเพลง ‘ดอกเหมยร่วงโรย’ ฉบับดีดเจิงออกมาหนึ่งบท ถ่ายทอดความงดงามอันหยิ่งทะนงของดอกเหมยเดียวดาย เจ้าพอจะจดจำได้บ้างหรือไม่”
ข้าขุดคุ้ยความทรงจำอยู่ครู่หนึ่งก็จดจำได้ ร้องออกมาเสียงเบา “สวนงามหลากหมู่มวลแมกไม้ กลับถอนใจชื่นชมเพียงดอกเหมย ถามท่านเหตุไฉนเป็นเช่นนี้ เพราะแม้นกลางหิมะเหมยยังผลิดอก น้ำค้างแข็งห้อมล้อมยังออกผล มวลพฤกษาผู้ร่ายรำกลางลมวสันต์ ยามเหมันต์พัดมาล้วนร่วงโรย ถึงมีดอกผลิกลางหิมะมิอาจทนพ้นหนาว[1]”
ผู้เฒ่าหลับตาฟัง สิ้นเสียงเพลงก็กล่าวขึ้นว่า “ปีนั้นจยาซิงเผชิญกับโรคระบาด มารดาของเจ้าแต่เดิมก็ร่างกายอ่อนแอจึงโชคร้ายติดโรค ก่อนจากไปนางบอกข้ากับบิดาเจ้าว่าแม้นางมิยินยอมจากไป แต่จนปัญญาที่สุดท้ายแล้วมิอาจขัดขืนโชคชะตา ถึงเจ้ายังเล็กแต่มีบิดาของเจ้าคอยดูแล คงมิมีปัญหาประการใด ทว่ามิอาจเห็นดอกเหมยกลางม่านหิมะอีกสักหน ตายไปช่างน่าเสียดายนัก
ดังนั้นหลังจากมารดาของเจ้าสิ้นใจ ข้าจึงเลือกป่าต้นเหมยแห่งนี้เป็นสถานที่ให้นางพักผ่อนอย่างสงบ ให้กลิ่นหอมและเงาของต้นเหมยอยู่เคียงข้างดวงวิญญาณของนาง”
ข้าหวนนึกถึงตอนท่านแม่จากไป ข้ายังเล็กอยู่ ทั้งยังถูกส่งไปอาศัยอยู่ที่อื่นเพราะโรคระบาด จึงมิได้พบหน้ามารดาเป็นหนสุดท้าย ข้าอดกลั้นมิไหว หลั่งน้ำตาออกมา กล่าวว่า “ความจริงท่านลุงมิจำเป็นต้องเศร้าเสียใจแทนท่านแม่ ตอนยังเล็กท่านแม่มีท่านลุงดูแล หลังแต่งงานได้ครองรักกับบิดาของข้าอย่างหวานชื่น ถึงจะโชคร้ายจากไปเร็ว แต่ท่านแม่ในยามนั้นจะต้องรู้สึกสงบและเป็นสุขแน่ เพราะท่านลุงกับท่านพ่อรักนางปานนี้ แม้นตายก็มิรู้สึกว่าชีวิตนี้ว่างเปล่า”
มิรู้ว่าเวลาใดแล้ว อาทิตย์อัสดงจมสู่ประจิม เมฆสีแดงทอแสงอาบป่าต้นเหมย ย้อมหมอกบางที่ลอยอ้อยอิ่งให้กลายเป็นสีแดงอ่อน เคียงข้างกลิ่นหอมดอกเหมยเลือนราง ภายในป่าต้นเหมยประหนึ่งสรวงสวรรค์ ผู้ที่หลับใหลอยู่ในสุสานก็คือผู้ที่พวกเราสองคนรักที่สุด
ป่าต้นเหมยเงียบสงบ อากาศอบอวลด้วยกลิ่นอายมงคลและความสงบสุข ทำให้พวกเราสองคนต่างมิอยากเอ่ยคำใด ผู้เฒ่าคนนั้นคล้ายจมลงสู่ห้วงความทรงจำ ใบหน้าปรากฏสีหน้าอ่อนโยนและคะนึงหา
ผ่านไปเนิ่นนาน แสงสุดท้ายของอาทิตย์อัสดงค่อยๆ หม่นแสง ผู้เฒ่าได้สติกลับมา เอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าเดินทางมาหนนี้ เตรียมจะจัดการกับตระกูลขุนนางในจยาซิงเช่นไร แล้วเตรียมจะจัดการตระกูลจิงเช่นไร”
ข้าถอนหายใจแผ่วเบา ในที่สุดก็กลับเข้าประเด็นหลักแล้ว ความแค้นเคืองกับความอยู่รอดของตระกูล เมื่อเทียบกับแล้วสิ่งใดหนักสิ่งใดเบา ในใจท่านลุงย่อมเข้าใจดี ยิ่งไปกว่านั้น ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นญาติใกล้ชิด ข้าเงยหน้า ยิ้มละไมตอบว่า “ท่านลุงเหตุใดจึงเอ่ยเช่นนี้ หนนี้เจียงเจ๋อเพียงอาศัยโอกาสที่กองทัพของข้าบุกยึดจยาซิงเดินทางมาเซ่นไหว้มารดาก็เท่านั้น ส่วนเรื่องในกองทัพ ข้ามิสะดวกสอดมือเข้ายุ่ง”
ดวงตาของผู้เฒ่าทอประกายเย็นยะเยือกในชั่วพริบตา กล่าวขึ้นว่า “ฐานะฉู่จวิ้นโหวของเจ้า เหตุใดจะเดินทามาจยาซิงได้ง่ายๆ แม้เจ้ามิกลัวอันตราย แต่จักรพรรดิต้ายงมิแน่ว่าจะวางใจ ยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้ามาเซ่นไหว้มารดาผู้ล่วงลับเท่านั้น ไยต้องส่งคนนำเทียบเชิญไปให้ตระกูลจิงอย่างลับๆ หนนี้เจ้าคงต้องการจบเรื่องกับตระกูลจิงแล้ว หากวันนี้ข้ามิมา ตระกูลจิงก็คงมลายหายดั่งหมอกควัน หลายวันก่อน ราชสำนักออกหนังสือตัดสินโทษประหารจิงฉางชิง เจ้าก็คงจะทราบแล้ว”
ข้ากลอกตาแล้วตอบว่า “เรื่องนี้ข้าทราบอยู่จริงๆ หนนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว หลังจากกองทัพต้ายงถอยทัพ จะมิมีผู้ใดปกป้องตระกูลจิงได้อีก ท่านลุงมิคิดถึงความปลอดภัยของคนในตระกูลหรือไร อีกประการหนึ่ง นับจากวันนี้เป็นต้นไปอู๋เย่ว์จะกลายเป็นสนามรบ ตระกูลจิงเองก็ยากจะอยู่อย่างสงบสุขในจยาซิง”
ผู้เฒ่าถอนหายใจตอบว่า “การพรากจากบ้านเกิดย่อมยากเย็น แต่ข้าก็ทราบว่ามิมีทางเลือก จากเรื่องหนนี้ฉางชิงก็คงหมดใจแล้วเช่นกัน การเกลี้ยกล่อมเขาคงมิยากแล้ว”
ข้าคาดมาก่อนแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ ศึกใหญ่ของสองแคว้นกำลังจะมาถึง ข้ามิต้องการให้มีจุดอ่อนของข้าเหลืออยู่ในหนานฉู่ ในเมื่อข้ายากจะลืมเลือนตระกูลจิงอย่างสิ้นเชิง ก็ได้แต่บีบบังคับพวกเขาให้สวามิภักดิ์ต่อต้ายง
ข้าคำนับท่านลุงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ท่านลุงเข้าใจเหตุผลเช่นนี้ เจียงเจ๋อรู้สึกนับถือ วันพรุ่งนี้กองทัพต้ายงจะกวาดล้างจยาซิง ชายหนุ่มหญิงสาว บัณฑิตและช่างฝีมือทุกคนล้วนจะถูกกวาดต้อนเป็นเชลย ข้าไหว้วานแม่ทัพผู้รับผิดชอบแล้ว เขาจะดูแลตระกูลจิงเป็นพิเศษ เมื่อสบโอกาสเหมาะ ท่านลุงก็ขึ้นเรือไปลงหลักปักฐานที่ต้ายงได้”
ผู้เฒ่าตัวสั่นเทา ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยขึ้นว่า “ช่างเป็นแผนการที่โหดเหี้ยม ปล้นชิงเสบียงและผู้คนจากอู๋เย่ว์ ทลายกำลังของศัตรูเปลี่ยนมาเป็นของตน แม้เป็นวิธีการเยี่ยงโจรสลัด แต่กลับได้ผลมากมายยิ่งนัก แม้นข้ามิรับปากจะสวามิภักดิ์ เจ้าก็คงให้คนกวาดต้อนตระกูลจิงไปยังติ้งไห่อยู่ดีใช่หรือไม่”
เห็นท่านลุงมองทะลุความตั้งใจของข้าในปราดเดียว ข้ากลับรู้สึกนับถือชื่นชมอยู่ในใจแต่มิสะดวกพูดอะไร จึงเพียงค้อมกายต่ำคำนับหนึ่งหน
ผู้เฒ่าถอนหายใจแผ่วเบา ก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก ใจข้าหมองเศร้า หันหลังให้ด้วยมิยินดีจะเห็นภาพยามแก่ชราของเขา ทว่าสายลมกลับพัดน้ำเสียงแก่ชราแต่แข็งแรงของเขาลอยมา “เจ๋อเอ๋อร์มิต้องลำบากใจ เจ้าทำเพื่อตระกูลจิงจนถึงที่สุดแล้ว ขอบใจเจ้าที่ช่วยเหลือฉางชิงกับซุ่นชิง”
ได้ยินคำนี้ ในใจข้าก็โล่งอก ปล่อยวางก้อนหินใหญ่ในหัวใจ ในที่สุดก็จัดการเรื่องของตระกูลจิงได้อย่างเหมาะสม ข้าจากไปอย่างวางใจได้แล้ว ข้าโขกศีรษะคำนับสุสานของมารดาอีกหน อ้อยอิ่งอยู่นาน ในที่สุดก็จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
หนนี้ข้าสิ้นเปลืองความคิดเกลี้ยกล่อมเจียงไห่เทาให้เขายอมปล่อยข้าเดินทางมาจยาซิงด้วยตนเอง นอกจากต้องการเซ่นไหว้มารดาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการคืนดีกับตระกูลจิง อย่างไรเสียตระกูลจิงแห่งจยาซิงก็เป็นตระกูลมารดาข้า ข้าย่อมทำเพื่อพวกเขาด้วยสัญชาตญาณ
หนนี้ข้าเสนอกลยุทธ์บุกยึดอู๋เย่ว์ กวาดต้อนคนตระกูลขุนนางกับชาวบ้านไปยังติ้งไห่ก็เพื่อบั่นทอนกำลังของหนานฉู่ แต่ข้ามิได้คิดจะทำร้ายประชาชนอู๋เย่ว์จริงๆ ประการแรกนั่นมิเข้ากับนิสัยของข้า อีกทั้งเรื่องไร้ประโยชน์ข้าย่อมมิทำ ประการที่สองมันเป็นการทำลายเกียรติยศของต้ายง ประการที่สามวันหน้าหลังจากรวมเจียงหนานเป็นหนึ่งแล้ว แผ่นดินอู๋เย่ว์ย่อมมิยอมสวามิภักดิ์อีกเนิ่นนานเพราะเรื่องนี้
ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดก็คือเลือกคนจำนวนหนึ่งจากประชาชนชาวอู๋เย่ว์ที่ถูกต้อนมาเป็นเชลย แล้วใช้พวกเขาควบคุมดูแลเชลย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเกิดสภาพภายนอกเคร่งครัด ภายในหละหลวม ประชาชนอู๋เย่ว์ผู้มีนิสัยโอนอ่อนอดกลั้นย่อมมิก่อความลำบากให้การปกครองของต้ายง
การเลือกคนเหล่านี้มิใช่เรื่องง่าย พวกเขาต้องมีความสามารถในการปกครองดูแลคนข้างใน ดังนั้นตระกูลขุนนางแห่งจยาซิงจึงกลายเป็นตัวเลือกของข้า ผู้ใดมิมีความเห็นแก่ตัวกันบ้างเล่า ข้าก็มิใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่ว่ายามนั้นข้าบอกเหตุผลกับเจียงไห่เทาเพียงครึ่งเดียว การมาเยือนจยาซิงของข้ายังมีเหตุผลประการอื่นอีก หวังแต่ว่าหลังจากเขาทราบข่าวแล้วคงมิตีอกชกหัวตนเองกระมัง
[1] บทกวีดอกเหมยร่วงโรย (梅花落) ของซ่งเป้าจ้าว (宋鲍照) สมัยราชวงศ์ใต้