ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 61 หอมกลิ่นชาต้อนรับแขก (1)
ข้าเดินเข้าไปในตัวเรือ พอกวาดสายตามองก็ตกตะลึง เด็กรับใช้อาภรณ์เขียวที่นั่งอยู่ตรงมุมตัวเรือคนนั้นดูจากรูปร่างเห็นชัดว่าเป็นเสี่ยวซุ่นจื่อ แต่หน้าตากลับดูเปลี่ยนไปอย่างมาก แม้ว่าจะเปลี่ยนรูปคิ้วกับหางตาเพียงเล็กน้อย ทว่ากลับเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศรอบตัวก็ดูธรรมดายิ่งนัก ราวกับดวงจันทร์สว่างถูกเมฆดำปกคลุม คนรอบข้างคงมองมิออกอย่างแน่นอนว่าเขาคือหนึ่งในยอดฝีมือขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแห่งยุคนี้
ข้าทราบว่าเสี่ยวซุ่นจื่อใช้กำลังภายในเปลี่ยนกล้ามเนื้อบนใบหน้าเพื่อแปลงโฉม แม้จะเปลี่ยนไม่มากจึงไม่ทำให้คนเรือด้านนอกสังเกตเห็น แต่หากคนที่รู้จักเขามาเห็นเข้าคงไม่มีทางจำได้แน่นอนว่าเขาคือเงามารหลี่ซุ่น เหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้เล่า แต่พอขบคิดดู ในใจก็กระจ่าง เจ้าเด็กคนนี้มีชื่อเสียงในยุทธภพไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจมีผู้ใดจดจำเขาได้ มิเปลี่ยนโฉมหน้าอันตรายเกินไป ความคิดของเขาละเอียดอ่อนกว่าข้าอยู่เสมอ
ข้ากวาดสายตาผ่านร่างเสี่ยวซุ่นจื่อแล้วทำเหมือนว่ามองมิเห็นเขา จากนั้นนั่งลงข้างโต๊ะ ยิ้มแย้มถามว่า “ยังมิได้ถามเลยว่าทั้งสองท่านเรียกขานว่าอย่างไร”
บัณฑิตอาภรณ์ฝ้ายผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเชิงขออภัย “ผู้น้อยนามว่าติงหมิงเป็นชาวตงหยาง นี่คือสหายของข้านักพรตไผ่ระทม”
ข้าฟังจบดวงตาก็ทอประกายวูบหนึ่งทันที สองคนนี้ข้าล้วนรู้จัก ไผ่ระทมคนนั้น ข้าเคยได้ยินเสี่ยวซุนจื่อเล่าถึง คนผู้นี้แต่เดิมเป็นสายลับของหนานฉู่ ครานั้นเสี่ยวซุ่นจื่อไล่ล่าเพชฌฆาตใจทมิฬพันลี้ เคยปล่อยเขาไปหนหนึ่ง ต่อมาเขาไม่มีหน้าอยู่ที่ต้ายงอีก แต่หลังจากหวนคืนหนานฉู่ก็เงียบหายไร้ร่องรอย คิดมิถึงวันนี้กลับมาพานพบที่นี่ มิแปลกที่เสี่ยวซุ่นจื่อต้องรีบร้อนเปลี่ยนโฉมหน้าเช่นนี้ ผ่านมาหลายปีหน้าตาของเสี่ยวซุ่นจื่อมิเปลี่ยนแปลงไปมากมายเท่าใดนัก เกรงว่าคนผู้นี้มองปราดเดียวก็คงจำเขาได้
ส่วนติงหมิงผู้นี้ ข้าก็รู้จักมาก่อน ยุทธภพของเจียงหนานมีอันดับหนึ่งอยู่สี่คน มือสังหารอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนานคุณชายไร้รัก คนลึกลับอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าเจ้าหอกลไกสวรรค์ ยอดฝีมือแห่งการใช้พิษอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าเซินหรูฮุ่ย อันดับหนึ่งคนสุดท้ายก็คือมือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งอู๋เย่ว์ติงหมิง เคยมีคนกล่าวว่าวิชากระบี่ของเขาเพียงพอขนานนามว่าอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน เพียงแต่เขาถ่อมตัวจึงมิกล้ารับ
คิดมาคิดไป ในอันดับหนึ่งทั้งสี่คนนี้กลับมีสองคนเกี่ยวข้องกับข้า คุณชายไร้รักคืออวี๋หลุนที่ออกจากค่ายลับไปแล้ว มิรู้ว่าตอนนี้เขายังมีความสามารถพอเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งอีกหรือไม่ ส่วนเจ้าหอกลไกสวรรค์มิใช่ตัวข้าเองหรอกหรือ
ติงหมิง มือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งอู๋เย่ว์คนนี้เคยขัดขวางการเคลื่อนไหวของสายลับต้ายงที่พยายามจะเข้าควบคุมยุทธภพของเจียงหนานหลายหน เขาจึงเป็นบุคคลที่กองการข่าวขึ้นรายชื่อเอาไว้ แม้สำนักเฟิงอี้ย้ายมาเจียงหนานแล้ว แต่เนื่องจากในอดีตเคยมีความขัดแย้งกับยุทธภพเจียงหนาน ทั้งยังสูญเสียฟ่านฮุ่ยเหยาไปแล้ว ยอดฝีมือเช่นเหวินจื่อเยียนก็ชื่อเสียงย่อยยับ การจะตั้งตัวในยุทธภพเจียงหนานจึงยากลำบากยิ่งนัก สุดท้ายพวกนางจึงอาศัยวรยุทธ์กับหญิงงามควบคุมยอดฝีมือฝ่ายอธรรมส่วนหนึ่งเอาไว้จนฟื้นฟูกำลังส่วนหนึ่งขึ้นมาได้ ไม่ต้องพูดถึงยุทธภพของต้ายงที่มีแต่จอมยุทธ์ชั้นยอด ในฝ่ายธรรมะของเจียงหนาน คงมีเพียงคนผู้นี้จึงจะเรียกว่าจอมยุทธ์ชั้นยอดได้
บังเอิญเหลือเกินจริงๆ ที่บุคคลเช่นนี้สองคนขึ้นมาอยู่บนเรือของข้า ข้าแสดงสีหน้าเป็นมิตรออกมา พลางประสานมือกล่าวขึ้นว่า “พบพานคือมีวาสนา ทั้งสองท่านล้วนเป็นยอดคนเช่นจูจยา[1] กัวเจี่ย[2] วันนี้ได้พานพบ เป็นบุญวาสนาที่สั่งสมมาสามชาติ หลี่เอ้อร์ ไปนำน้ำพุเขาฮุ่ยซานไหนั้นที่เถ้าแก่โจวเพิ่งมอบให้มา แล้วนำใบชาใหม่ห่อนั้นมาด้วย ญาติผู้นี้ของข้ารสนิยมในการดื่มชายอดเยี่ยมยิ่งนัก อีกทั้งนี่ยังเป็นใบชาเซี่ยซาเหรินเซียงที่เพิ่งเก็บมาใหม่ จึงกล้าเชิญทั้งสองท่านให้ลองลิ้ม”
ติงหมิงอมยิ้มกล่าวว่า “เซี่ยซาเหรินเซียงที่มาจากทะเลสาบเจิ้นเจ๋อเป็นชาดีอยู่แล้ว แล้วยังมีน้ำจากน้ำพุอันดับสองในใต้หล้า เพียงฟังก็ทำให้คนรู้สึกเพลิดเพลินใจแล้ว พี่อวิ๋นช่างใช้ชีวิตได้อิสระเสรีนัก ส่วนตัวข้าบอกว่าตนเองเป็นอิสระได้เพียงลมปาก แต่กลับยึดติดเรื่องทางโลก มิอาจปล่อยวาง”
ข้าย่อมรู้ความนัยที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำของติงหมิง จึงยิ้มกว้างตอบว่า “พี่ติงค่อนแคะข้าเสียแล้ว ผู้ใดมิทราบว่าชีวิตมนุษย์ดั่งห้วงฝัน หากดึงดันจะใช้ชีวิตด้วยสติแจ่มชัดเสมอคงเจ็บปวดยากทนรับไหว เมื่อครู่ท่านนักพรตตำหนิข้าว่ามิห่วงบ้านเกิดที่ประสบภัย แต่มิทราบว่าข้าเจ็บปวดแทบขาดใจแล้วมีประโยชน์อันใดเล่า ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งคือสิ่งที่ต้องเกิด ขาดก็แต่มิทราบว่าใต้จะรวมเหนือ หรือเหนือจะรวมใต้เท่านั้น มิว่าผู้ใดขึ้นเป็นจักรพรรดิสูงสุด ผู้ที่ทุกข์ทนก็ยังเป็นประชาชนธรรมดาเช่นพวกเรา
ต่อให้หลู่จ้งเหลียน[3]แห่งสมัยจั้นกั๋ว[4]ฟื้นกลับมาก็มิอาจโน้มน้าวจักรพรรดิต้ายงให้ถอดใจจากการบุกลงใต้ ยิ่งไม่มีทางเกลี้ยกล่อมให้เจ้าแผ่นดินและขุนนางหนานฉู่ยอมจำนน มิว่าอย่างไรสงครามก็ยากหลีกเลี่ยง
ข้ามิใช่นักปราชญ์ยอดคน ทำได้เพียงลอยจมตามกระแสคลื่น ไร้กำลังต่อต้านคลื่นที่ซัดถาโถมในโลกมนุษย์ หนนี้กองทัพต้ายงมิใช้โลหิตอาบจยาซิงก็เป็นโชคดีใหญ่หลวงท่ามกลางความโชคร้ายแล้ว คงเป็นเพราะสหายร่วมบ้านเกิดที่ยังอาลัยมาตุภูมิคนนั้นของข้า มิเช่นนั้นน่ากลัวว่าดินแดนอู๋เย่ว์อันรุ่งเรืองคงกลายเป็นทะเลโลหิตอสุรภูมิ”
นักพรตผู้นั้นฟังแล้วพลันแสดงสีหน้าเหยียดหยัน ว่าเสียงเกรี้ยวกราด “ทั้งหมดเป็นเพราะลูกหลานตระกูลขุนนาง ตระกูลเศรษฐีอย่างพวกท่าน สนใจแต่ตระกูล มิไยดีแว่นแคว้น หากมิใช่เช่นนั้นหนานฉู่ของพวกเราครอบครองแผ่นดินครึ่งหนึ่ง มีสู่จง จิงเซียง เจียงไหวเป็นชัยภูมิสำคัญ ทั้งยังมีค่ายกองเรือใหญ่สองแห่งอย่างหนิงไห่กับติ้งไห่ ไฉนจะมีจุดจบถูกศัตรูล้อมสี่ทิศเช่นวันนี้
คุณชายอวิ๋นทราบหรือไม่ว่ากองเรือหนานฉู่ของพวกเรากับต้ายงทำศึกใหญ่ที่อ่าวหังโจวสองหนแล้ว แต่ทั้งสองหนล้วนมิอาจตัดสินแพ้ชนะ ส่วนสถานการณ์ฝั่งจิงเซียงก็ตึงเครียดยิ่งนัก กองทัพหนานหยางล้อมบุกเซียงหยางอีกหน กองทัพต้ายงในสู่จงก็ทำท่าจะเคลื่อนไหว ทว่าตระกูลขุนนางในหนานฉู่ของพวกเรายังจมอยู่ในฝันหวาน วันเทศกาลหยวนเซียวหอกลไกสวรรค์จัดงานประมูลสมบัติที่เจี้ยนเย่ กำแพงมังกรแก้วถูกขายออกไปราคาสองล้านตำลึง เจ้าแผ่นดินและขุนนางทั้งหลายต่างหรูหราฟุ้งเฟ้อจนชินชา นิ่งดูดายความทุกข์ยากของชาวบ้าน หากหนานฉู่ล่มสลายล้วนเป็นความผิดของพวกท่าน”
ติงหมิงขมวดคิ้ว เขาทราบว่านับตั้งแต่ไผ่ระทมหวนกลับมายังหนานฉู่ก็ถูกปลดออกจากกองทัพ ต้องเร่ร่อนในยุทธภพ ความคิดเห็นรุนแรงขึ้นมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยามปกติก็แล้วไปเถิด แต่เวลานี้กลับไม่เหมาะสมนัก คุณชายอวิ๋นผู้ลึกลับคนนี้คิดว่าคงจะมีอิทธิพลซ่อนเร้นอยู่ในอู๋โจว หากล่วงเกินเขา การรับบริจาคที่อู๋โจวคงล้มไม่เป็นท่า เขาจึงขยับเท้าเตะไผ่ระทมเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างขออภัยว่า “พี่อวิ๋นมองสถานการณ์ทะลุปรุโปร่ง ความคิดก็เปิดกว้างยิ่งนัก สำหรับคุณชายแล้ว การแย่งชิงใต้หล้าหนนี้คงเป็นเรื่องที่จะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่พวกเราล้วนเป็นคนธรรมดาสามัญ ทนเห็นทหารม้าเหล็กของกองทัพต้ายงเหยียบย่ำแผ่นดินเจียงหนานมิได้จริงๆ
ยามนี้สองแคว้นเหนือใต้ประจันหน้า หากกล่าวถึงกำลังทหาร หนานฉู่ด้อยกว่าต้ายงอยู่ไกลนัก แต่หากกล่าวถึงผืนแผ่นดินและกำลังทรัพย์ หนานฉู่มิด้อยกว่าต้ายง หากหยุดศึกไว้ที่ฉางเจียงได้ย่อมเป็นโชคดี นอกจากนั้นแม้ภายในแคว้นหนานฉู่ของพวกเราจะอ่อนแอ แต่ยังมีแม่ทัพใหญ่ผู้เป็นเสาหลักค้ำนภาอยู่ ศึกที่ไหวซีกับหยางโจวสองหนทำให้กองทัพต้ายงเสียหายหนัก แม้วันนี้กองทัพต้ายงเริ่มสงครามอีกหน แต่หากมีแม่ทัพใหญ่ชูธงแม่ทัพ ทหารและประชาชนหนานฉู่ร่วมแรงช่วยเหลือเขา ชัยชนะก็เป็นสิ่งที่วาดหวังได้
คุณชายตั้งใจจะบริจาคทรัพย์ให้กองกำลังอาสาก็เพราะมีใจเป็นห่วงแว่นแคว้นเหมือนกันมิใช่หรือ ไผ่ระทม คุณชายอวิ๋นมิใช่คนที่จะเอาไปเทียบกับคนธรรมดาสามัญเหล่านั้นได้ ยังมิขออภัยอีก”
ไผ่ระทมฟังจบก็ทำได้เพียงลุกขึ้นกล่าวขออภัย ข้าเองก็ลุกขึ้นคำนับกลับแล้วหัวเราะกล่าวว่า “ท่านนักพรตกล่าวมาไม่ผิดนัก กำแพงมังกรแก้วยาวสองฉื่อ กว้างสูงล้วนหนึ่งฉื่อ ด้านบนสลักมังกรหนึ่งร้อยแปดตัว หากตั้งอยู่ใต้แสงโคมไฟจะเปล่งประกายระยิบระยับจับตา ฝูงมังกรประหนึ่งมีชีวิตจิตวิญญาณราวกับจะทะยานออกมาจากกำแพง แล้วยังมีรายละเอียดประณีตบนกำแพงแก้วคล้ายเป็นเมฆมงคลซ้อนหลายชั้น กำแพงมังกรนี้เป็นสมบัติอันประมาณค่ามิได้ ข้าเคยได้ชื่นชมอยู่หนหนึ่ง ตัดใจยากยิ่งนัก แต่น่าเสียดายยามนี้ถูกคนซื้อไปแล้ว นับจากวันนี้คงถูกเก็บลงกลอนแน่นหนาอยู่ในหอมิอาจได้เห็นแสงตะวันอีก น่าเสียดายชวนถอนหายใจจริงๆ”
ข้าขบขันไผ่ระทมพลางชื่นชมความสามารถของติงหมิงผู้นี้ เริ่มแรกตำหนิที่ข้ามิสนใจไยดีความล่มจมของแคว้นอย่างอ้อมๆ จากนั้นลอบบอกไผ่ระทมว่าข้ามีทีท่าที่ดีต่อการบริจาคทรัพย์ให้กองกำลังอาสา ตะล่อมได้ครบทุกด้านจริงๆ หนานฉู่มีคนเก่งกล้ามากมายดุจหมู่ดาวทอแสง น่าเสียดายกลับถูกกลุ่มเมฆบดบัง หากราชสำนักหนานฉู่ปกครองอย่างขาวสะอาดก็คงโค่นมิได้จริงๆ
ไผ่ระทมฟังแล้วก็หดหู่ครู่หนึ่ง แต่ก็มิคิดจะเอ่ยถ้อยคำล่วงเกินอันใดอีก ส่วนติงหมิงกลับแววตาเป็นประกาย ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานประมูลสมบัติของหอกลไกสวรรค์ย่อมต้องเป็นคนสำคัญของตระกูลขุนนางหรือเศรษฐีผู้โด่งดังในหนานฉู่
เวลานี้เอง เสี่ยวซุ่นจื่อก็นำป้านน้ำชาดินเผา ใบชาสองห่อ กับน้ำพุที่ถูกปิดผนึกไว้ในไหออกมา ข้าเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ลิ้มรสชาดีมิอาจไร้เสียงดนตรี ในเมื่อวันนี้มีแขกผู้ทรงเกียรติมา ให้ข้าบรรรเลงพิณสักเพลงเสริมความสุนทรีย์เป็นเช่นไร”
ติงหมิงกำลังคิดจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอยู่พอดีจึงตอบว่า “กำลังอยากฟังเสียงพิณของท่านอยู่พอดี ขอท่านชี้แนะด้วย”
ตั้งแต่ตอนที่เข้ามา เขาก็มองเห็นแท่นวางพิณด้านในลำเรือแล้ว เขาเองก็เป็นผู้ชำนาญศาสตร์ดนตรี ย่อมทราบว่าเสียงดนตรีคือเสียงจากหัวใจ เขารู้สึกมาตั้งแต่แรกว่าเจ้าของเรือลำนี้ลึกลับยากหยั่ง ดังนั้นจึงมีความคิดอยากจะหยั่งเชิงเขาเล็กน้อย
แม้ข้าทราบเจตนาของเขาแต่กลับมิกังวล เดินไปนั่งข้างแท่นวางพิณแล้วโยนความคิดว้าวุ่นทิ้ง จิตใจนึกถึงเพียงสายน้ำไหลริน สิบนิ้วไล้แผ่วเบา เสียงพิณดังขึ้น ติงหมิงฟังอย่างตั้งใจ ฉับพลันก็รู้สึกว่าเสียงพิณนั่นคล้ายหยาดฝนพร่างพรมลงมาจากแผ่นฟ้า ไหลลงสู่ธารน้ำใส เคลื่อนเอื่อยเฉื่อยผ่านหินผา ไหลผ่านต้นหญ้าหมู่มวลพฤกษา จากนั้นลำธารอันเหมือนเส้นไหมก็รวมกันกลายเป็นแม่น้ำ แม่น้ำรวมกันกลายเป็นทะเลสาบ เสียงพิณสอดประสานกับเกลียวคลื่นบนผิวทะเลสาบนอกลำเรือ กลายเป็นหนึ่งเดียวมิอาจแบ่งแยก ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดั่งเป็นท่วงทำนองแห่งธรรมชาติ มิคล้ายเสียงสายพิณ ในเสียงพิณสื่อถึงความเป็นอิสระไร้สิ่งผูกมัด เพียงได้สดับฟังก็ทราบถึงจิตใจอันอิสระเสรี
[1] จูจยา จอมยุทธ์พเนจรในสมัยฉินฮั่นผู้ชอบช่วยเหลือผู้คน แม้จะเคยช่วยชีวิตผู้คนไว้มากมาย แต่มิเคยโอ้อวด ต่อให้คนที่เขาช่วยเหลือภายหลังได้ดิบได้ดีก็ไม่เคยคิดแสดงตัวทวงบุญคุณ
[2] กัวเจี่ย จอมยุทธ์พเนจรสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ตอนยังเล็กนิสัยไม่ดีทำชั่วช้าต่างๆ นานา เมื่ออายุมากขึ้นเปลี่ยนนิสัยชอบช่วยเหลือผู้คนจนมีคนนับถือ แต่คนที่นับถือชื่นชมเขามีมากเกินไป สุดท้ายจึงถูกประหารเพราะว่าคนที่นับถือเขาคนหนึ่งไปสังหารคนแล้วมิอาจสืบหาตัวได้
[3] หลู่จ้งเหลียน ชาวแคว้นฉี ผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศในสมัยจั้นกั๋ว ใช้จดหมายหนึ่งฉบับขับไล่กองทัพนับล้านของแคว้นเยี่ยน ยึดเมืองที่แคว้นฉีเสียให้แคว้นเยี่ยนไปนานปีกลับมาได้
[4] จั้นกั๋ว ยุคสมัยหนึ่งของจีน อยู่ในช่วง 476-221 ปีก่อนคริสตศักราช เป็นยุคแห่งสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างแคว้นที่จะตั้งตัวเป็นใหญ่ สิ้นสุดเมื่อราชวงศ์ฉินรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง