ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 67 ความสุขของการมีสหายรู้ใจ (1)
เรือสินค้าที่ข้าต้องโดยสารจะออกเดินทางจากทะเลสาบเจิ้นเจ๋อ ล่องตามคลองของเจียงหนานขึ้นเหนือไปยังจิงโข่ว นี่เป็นเรือส่งเสบียงจากอู๋ซีไปยังไหวตง ศึกที่ไหวตงเมื่อปีกลายเกิดขึ้นยามสารท เป็นช่วงที่การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาถึง เพราะกองทัพต้ายงบุกเข้าเขตแดนจึงทำให้ธัญพืชมิทันได้เก็บเกี่ยว หลังจากไหวตงถูกหนานฉู่ยึดคืนมาได้ สองทัพก็ประจันหน้ากัน ยิ่งต้องการเสบียงอย่างเร่งด่วน
อย่างน้อยก่อนหน้าที่จะเก็บเกี่ยวได้อีกครั้ง เสบียงของไหวตงก็ต้องพึ่งพาการขนส่งจากเจียงหนาน ดังนั้นเริ่มตั้งแต่ปลายปีของปีกลาย เรือขนส่งเสบียงจากอู๋เย่ว์ไปไหวตงจึงล่องมามิขาดสาย มีทั้งเสบียงหลวงและเสบียงส่วนตัว
ในหมู่เรือเหล่านั้น เรือเสบียงที่ออกเดินทางจากอู๋ซีมีมากกว่าหกส่วน กิจการขนส่งเสบียงเช่นนี้มากกว่าครึ่งอยู่ในการควบคุมของพวกตระกูลขุนนาง แต่นี่มิได้ขัดขวางให้ร้านค้าที่หอกลไกสวรรค์ครอบครองอยู่วิ่งมาร่วมวงด้วย พวกเขาซื้อเสบียงแปดลำสิบลำจากอู๋เย่ว์ จากนั้นขนส่งไปขายที่ไหวตง
นี่เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง เรือเช่นนี้บนลำน้ำมีต่อกันมิขาดสาย ย่อมมิมีผู้ใดทราบว่าเรือสินค้าลำหนึ่งในนั้นถูกสร้างมาเป็นพิเศษ มีแขกที่ไม่สมควรอยู่ห้าหกคนลักลอบเดินทางมาบนนั้น
เรือสินค้าลำนี้ด้านนอกไม่มีสิ่งใดแตกต่างจากเรือสินค้าทั่วไป แต่ตอนที่ออกแบบใส่ลูกเล่นเอาไว้ ให้ในตัวเรือมีห้องลับห้องหนึ่ง สามารถใส่สินค้าลับที่ราคามิธรรมดาจำนวนหนึ่งได้ ตอนนี้ข้าก็คือของที่ถูกลักลอบขนล่องแม่น้ำชิ้นนั้น
เสี่ยวซุ่นจื่อกลายเป็นเด็กรับใช้ข้างกายผู้ดูแลเรือเสบียง (ซานจื่อ) เขาเพียงต้องเปลี่ยนโฉมหน้าก็ใช้ได้แล้ว ในโลกใบนี้ผู้ที่มองตื้นลึกหนาบางของเขาออกมีเพียงน้อยนิดไม่กี่คน มิจำเป็นต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดมองฐานะของเขาออก
ส่วนฮูเหยียนโซ่วกับองครักษ์อีกสี่คน ทั้งหมดล้วนถูกเสี่ยวซุ่นจื่อสะกดวรยุทธ์เจ็ดแปดส่วนเอาไว้แล้วโยนไปใช้แรงงานหนักบนเรือ หลังจากเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์เนื้อหยาบของคนเรือ บวกกับประกายในดวงตาหม่นแสง ต่อให้รูปร่างจะสูงใหญ่ไปสักหน่อย แต่ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเป็นทหารผู้มีวรยุทธ์ หลังจากล่องเรือลงใต้ไปกับกองเรือตงไห่ คนเหล่านี้ก็ผ่านด่านอันยากลำบากของการเมาเรือแล้ว
หนนี้ข้าจงใจส่งคนไปฝึกพวกเขาว่าการเดินเรือต้องทำอย่างไรอยู่ครึ่งวัน ขอเพียงมิเปิดปากพูดพร่ำเพรื่อ การปลอมตัวเป็นคนเรือกับลูกจ้างใช้แรงงานก็พอจะรอดอยู่ องครักษ์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด ชาญฉลาดและเก่งกาจ มิเช่นนั้นก็คงมิถูกเลือกเข้ามาเป็นราชองครักษ์หู่จี หากพวกเขาตั้งใจ รอถึงตอนลงเรือย่อมกลายเป็นคนเรือที่ดีที่สุด
ความจริงมิใช่ว่าข้ามิคำนึงถึงหน้าตาของฮูเหยียนโซ่วจึงให้เขาไปเป็นคนเรือ เพียงแต่ห้องลับบนเรือเล็กเกินไป อยู่คนเดียวยังพอไหว แต่หากมีอีกคนเพิ่มมาก็เบียดเกินไปแล้ว
ห้องลับห้องนี้ขนาดเพียงสองจั้ง ภายในห้องมีเตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้หนึ่งตัว นอกจากสิ่งเหล่านี้ก็มีเพียงที่ว่างเล็กๆ พอให้คนขยับเคลื่อนไหวร่างกายเท่านั้น แม้การถ่ายเทอากาศจะนับว่าไม่เลว แล้วยังมีห้องขนาดเล็กอีกห้องหนึ่งที่เชื่อมกันสามารถใช้ล้างหน้าล้างตาได้ แต่ถึงอย่างไรก็มิสะดวกสะบายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับข้าผู้อยู่สุขสบายมาจนชินคนนี้ แต่ข้าก็จนปัญญา
ไหวตงแตกต่างจากอู๋เย่ว์ หากข้าเปิดเผยหน้าตาแล้วเผยพิรุธอันใดออกมา อยากหนีก็คงหนีไม่พ้น ดังนั้นจึงต้องฝืนทนกล้ำกลืนสักหน่อย หลบอยู่ด้านในของห้องลับ นี่เป็นเงื่อนไขที่ทำให้ตอนแรกเสี่ยวซุ่นจื่อยอมรับปากให้ข้าลักลอบเดินทางในหนานฉู่
พอคิดว่าข้าต้องอึดอัดอยู่ที่นี่อีกสิบวันครึ่งเดือน ข้าก็คร่ำครวญถึงสวรรค์ แม้พวกฮูเหยียนโซ่วจะน่าสงสารอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็ยังได้เห็นท้องฟ้ากับดวงตะวัน ส่วนเสี่ยวซุ่นจื่อยิ่งเที่ยวเตร่อยู่ด้านนอกได้อย่างอิสระเสรี ด้วยวรยุทธ์ของเขา ต่อให้ขึ้นฝั่งไปเที่ยวเล่นสักรอบแล้วค่อยกลับมาก็มิมีผู้ใดจับสังเกตได้ ข้อเปรียบเทียบอันเด่นชัดเช่นนี้ช่างทำให้คนหดหู่อย่างแท้จริง
ข้ามองมุกราตรีที่ฝังอยู่บนผนังของตัวเรือ ในใจเกิดความรู้สึกยินดีขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง แม้ห้องลับเช่นนี้จะมีการถ่ายเทอากาศที่ดีไม่เลว แต่หากจุดโคมไฟนานก็ยากจะทนไหว แต่ที่แห่งนี้ไร้แสงตะวัน หากมิจุดโคมไฟ ต่อให้ยื่นมือออกมาก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า หากเป็นผู้อื่นมาซ่อนตัวอยู่ด้านในคงทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
แต่ซานจื่อเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ก่อนออกเดินทางเขาเพิ่มกลไกเล็กน้อยบนผนังให้ฝังมุกราตรีหลายเม็ดเข้าไปได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ภายในห้องจึงมีแสงจากไข่มุกส่องสว่าง แม้จะสว่างมิเท่าแสงตะวัน แต่ไม่มีปัญหากับการมองเห็น ต่อให้อยากอ่านหนังสืก็ไม่รู้สึกว่าแสงมืดเกินไป หากมิใช่เช่นนี้ สิบกว่าวันนี้ข้าจะทนได้เช่นไรเล่า
ข้าวางม้วนตำราลงแล้วถอนหายใจแผ่วเบาอีกหน เหงาจริงแท้หนอ อาจเป็นเพราะคุ้นเคยแล้วกระมัง ก่อนหน้านี้ข้าชอบความสงบเงียบเป็นที่สุด แต่ยามนี้กลับรู้สึกว่ามิอาจทนความเงียบเหงาได้ เสี่ยวซุ่นจื่อก็จริงๆ เชียว ทิ้งข้าไว้แล้วไปเที่ยวเล่นสบายใจคนเดียว จะว่าไปแล้วก็แปลก หากเขาอยู่ข้างกายข้า ต่อให้ทั้งวันมิพูดสักคำ แต่ข้ากลับมิรู้สึกโดดเดี่ยว
ข้าพลิกไปพลิกมาบนเตียงอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็อดทนไม่ไหว กระโดดลงจากเตียงมาย่ำเท้าเดินบนพื้น เดินวนไปมาอยู่หลายรอบก็ยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งกว่าเก่า อยากออกไปสูดอากาศยิ่งนัก แต่พอนึกถึงสัญญาที่เคยให้ไว้กับเสี่ยวซุ่นจื่อก่อนหน้านี้ว่าระหว่างทางมิอาจออกจากห้องลับได้ ข้าจึงได้แต่หดหู่เศร้าหมอง
ตอนที่ข้ากำลังเบื่อหน่ายอย่างหาใดเปรียบอยู่นั่นเอง ประตูเล็กของห้องลับก็เลื่อนเปิดอย่างเงียบเชียบ เสี่ยวซุ่นจื่อก้มตัวมุดเข้ามา ในมือหิ้วกล่องอาหารมาใบหนึ่ง
ข้าดีใจยิ่งนัก รอจนเสี่ยวซุ่นจื่อวางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะเตรียมจะออกไปแล้ว ข้าจึงดึงเขาไว้แล้วบอกว่า “กินด้วยกันกับข้าเถิด กินเสร็จค่อยออกไปก็มิสาย”
เสี่ยวซุ่นจื่อเหล่มองข้า แต่มิได้สนใจข้า เขาเพียงหยิบอาหารในกล่องกับชามตะเกียบออกมา ข้าเห็นแล้วกลับดีใจยิ่งนัก มีชามตะเกียบสองชุด เสี่ยวซุ่นจื่อช่างมีคุณธรรมน้ำมิตรจริงๆ รู้ว่าข้าเบื่อหน่ายยิ่ง จึงตั้งใจมารับประทานอาหารเป็นเพื่อนข้า พอคิดถึงตรงนี้ก็รีบหยิบถ้วยน้ำชาสองใบมาวางบนโต๊ะ ยกกาน้ำชารินชาอย่างขยันขันแข็ง เตรียมจะประจบเอาใจเขาให้ดี ไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มขบขันจางๆ ที่วาบผ่านดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างสิ้นเชิง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ข้ามองเสี่ยวซุ่นจื่อเก็บชามตะเกียบอยู่ตรงนั้น ในใจก็คิดว่าเขาจะออกไปเที่ยวเล่นสบายใจอีกแล้ว แต่ข้ากลับต้องทนรับกรรม ในใจก็เกิดความรู้สึกหดหู่อย่างรุนแรง ข้าทิ้งตัวลงนอนบนเตียง พลิกกายหันเข้าด้านใน ถลึงตาจ้องกำแพงนิ่งงัน ผ่านไปไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเสี่ยวซุ่นจื่อเดินออกไป ในใจหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
หากเขาคิดจะออกไปอย่างไร้สุ้มเสียงย่อมทำได้ เหตุใดดันต้องทำให้เกิดเสียงดังเช่นนี้ มิใช่ว่าตั้งใจยั่วโมโหข้าหรอกหรือ แต่พอคิดๆ ดูข้าห้ามไม่ให้เขาสังหารพวกติงหมิงแต่มิบอกเหตุผลกับเขา ก็มิแปลกที่เขาจะโกรธข้าเช่นนี้ ขณะที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั่นเอง เสียงเย็นชาของเสี่ยวซุ่นจื่อก็ดังมาจากด้านหลัง “เดินหมากสักกระดานเป็นเช่นไร”
ข้าดีใจอย่างคิดไม่ถึง รีบพลิกตัวกลับมานั่ง แม้แต่เรื่องที่หนก่อนถูกเสี่ยวซุ่นจื่อถล่มจนเหงื่อโชกแผ่นหลังจนสาบานว่าจะไม่เดินหมากกับเขาอีกก็ลืมเลือนจนสิ้น รีบร้อนเอ่ยว่า “ห้ามกลับคำ อย่างน้อยต้องสามกระดาน”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มน้อยๆ ใบหน้างามเกลี้ยงเกลาที่กลับมาเป็นสภาพเดิมแล้วเผยสีหน้าอ่อนโยน นี่เป็นสีหน้าที่เห็นได้ยากในช่วงหลายวันนี้
หมากกระดานแรกเพิ่งเล่นได้ครึ่งหนึ่ง ข้าก็ขมวดคิ้วอีกหน มองกระดานหมากที่ถูกเสี่ยวซุ่นจื่อเล่นงานจนเละไม่เป็นท่าแล้วยิ้มเจื่อน พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อมีสีหน้าอ่อนโยน ข้าก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นว่า “เล่นหมากก็ไม่สนุก พวกเราคุยกันเถิด”
ดวงตาเสี่ยวซุ่นจื่อทอประกายวูบหนึ่งแล้วถามเรียบๆ “คุยสิ่งใดเล่า”
ข้าคลี่ยิ้ม “อะไรก็ได้ เจ้าอยากถามอะไร หรืออยากจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น ยากจะมีเวลาว่างเช่นนี้ แล้วด้านข้างก็ไม่มีคนนอกอีก”
ในใจข้าคิดว่าขอเพียงเสี่ยวซุ่นจื่อถาม ข้าก็จะอธิบายเหตุผลที่ทำตามอำเภอใจในช่วงหลายวันนี้กับเขา ไม่ให้เขาเก็บความไม่พอใจไว้ในใจ ผู้ใดจะคิดว่าเสี่ยวซุ่นจื่อขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ตอนนั้นที่คุณชายเสนอฝ่าบาทว่าจะติดตามกองเรือลงใต้ ยามฝ่าบาทถามคุณชายว่าเหตุใด คุณชายเพียงตอบว่าคิดจะทำให้กองทัพหนานฉู่เข้าใจผิดว่ากองทัพเราจะบุกโจมตีทางอู๋เย่ว์เป็นหลัก วันนี้เมื่อทบทวนดูแล้ว เหตุผลที่แท้จริงของคุณชายคงมิใช่เพียงเท่านี้ เหตุผลประการแรกคงเพราะต้องการคืนดีกับตระกูลจิง เหตุผลประการที่สองคงเพื่อแบ่งเบาแรงกดดันของเจียงโหวกระมัง”
ข้าหยิบหมากขึ้นมาหนึ่งเม็ด ขยับเล่นบนฝ่ามือแล้วยิ้มตอบ “ต้องการจะคืนดีกับตระกูลจิงเป็นเรื่องจริง แม้ให้คนอื่นมาอาจจะยั้งมือไว้ไมตรีต่อตระกูลจิงได้เช่นเดียวกัน แต่น่าเสียดายข้ารู้จักความหัวแข็งของท่านลุงดี หากข้าคลายปมในใจของท่านลุงไม่ได้ ตระกูลจิงไม่มีทางยินยอมถูกกองทัพเราใช้งานอย่างแน่นอน เพียงแต่ฝ่าบาทย่อมไม่มีทางวางใจปล่อยให้ข้าหวนคืนจยาซิง ดังนั้นข้าจึงไม่เอ่ยถึง ส่วนการแบ่งเบาแรงกดดันบนตัวไห่เทา เหตุไฉนจึงกล่าวเช่นนี้เล่า”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างราบเรียบ “นับตั้งแต่กองเรือตงไห่สวามิภักดิ์ต่อต้ายง นี่เป็นหนแรกที่ออกศึก ผลแพ้ชนะสำคัญยิ่งนัก อู๋เย่ว์เป็นดินแดนอันรุ่งเรืองของหนานฉู่ แม้จะได้เปรียบชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ยากหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ ยิ่งไปกว่านั้นว่าตามหลักคุณธรรมของกองทัพ การใช้แผนการเยี่ยงโจรสลัด เกรงว่าคงถูกโจมตีต่อว่าอย่างง่ายดาย
แม้ตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดพูดอะไร แต่วันหน้าหากมีคนร้องเรียนขึ้นมาย่อมมีโทษมหันต์ ทว่าพอคุณชายตามลงใต้มาด้วยแล้วเป็นผู้เสนอแผนการกวาดปล้นอู๋เย่ว์ เช่นนี้วันหน้าหากมีผู้ใดคิดจะตำหนิการกระทำนี้ ย่อมต้องคำนึงถึงฐานะของคุณชาย คุณชายทำเช่นนี้ ไยมิใช่การแบ่งเบาแรงกดดันของเจียงโหวเล่า”
ข้ายิ้มน้อยๆ แต่มิตอบ เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยต่อว่า “ความจริงหากมิใช่ว่ากองเรือตงไห่ชำนาญการขึ้นฝั่งบุกปล้นเป็นที่สุด ต่อให้คุณชายวางแผนการและเตรียมแผนที่อย่างละเอียดของอู๋เย่ว์ไว้พร้อม พวกเขาก็คงมิมีทางทำตามแผนการรบเช่นนี้ลุล่วงได้ในภายในเวลาสั้นๆ สิบกว่าวัน และหากเจียงโหวมิได้เตรียมการจะทำเช่นนี้ เขาก็คงไม่เตรียมเรือรบในทะเลไว้มากมายปานนั้น อีกทั้งขั้นตอนการกวาดปล้นก็ว่องไวหมดจดถึงเพียงนี้
แม้วันนี้คุณชายมีความดีความชอบในเรื่องการถวายแผนการ แต่เจียงโหวผู้ทำตามแผนการรบได้อย่างสมบูรณ์แบบก็มีความดีความชอบมิน้อย แต่คุณชายกลับนำจุดที่อาจถูกโจมตีมาไว้กับตนเอง ยังมิทราบว่าวันหน้าจะเป็นโชคหรือเป็นคราวเคราะห์”
เสี่ยวซุ่นจื่อมองข้าอีกหนแล้วกล่าวต่อว่า “คุณชายย่อมคิดถึงผลลัพธ์เช่นนี้ไว้อยู่แล้ว หากวันหน้าคุณชายสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจจากจักรพรรดิ คงยากเลี่ยงถูกคนใช้เรื่องนี้โจมตีคุณชาย แต่เรื่องเหล่านี้คุณชายย่อมมิเก็บมาใส่ใจ ตรงกันข้ามกับเจียงโหว เขาอายุน้อยเลือดลมพลุ่งพล่าน หากเอาใจออกห่างต้ายงเพราะเรื่องนี้ ย่อมน่าเสียดายกองเรือผู้อาละวาดทั่วสี่คาบสมุทรกองนี้ ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงเจียงโหวมิเป็นอันใด กิจการเดินเรือตระกูลไห่ก็ย่อมมิได้รับผลกระทบ พวกเราจะมีทางให้ถอย ดังนั้นคุณชายจึงมิคำนึงถึงชื่อเสียง แบกรับภาระของการถวายแผนการเอาไว้แต่ผู้เดียว”
ฟังถึงตรงนี้ ข้าก็หัวเราะอย่างอดมิอยู่ “กระต่ายเจ้าเล่ห์ย่อมมีสามโพรง นี่เป็นหลักการปกป้องตนเอง”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มละไมแล้วเอ่ยว่า “หากคุณชายเพียงต้องการเหลือทางถอยไว้ทางหนึ่ง จะรั้งอยู่ที่ติ้งไห่ก็ย่อมได้ รอจนคลื่นลมสงบค่อยขึ้นเหนือหวนคืนจงหยวน แต่คุณชายกลับตัดสินใจเดินทางผ่านเขตหนานฉู่มุ่งหน้าไปไหวตงเพียงลำพัง”
ข้าหน้าแดง เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าอธิบายไปแล้วมิใช่หรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบว่า “คุณชายเคยอธิบายกับข้าแล้วจริงๆ เดือนสามปีนี้กองบัญชาการศึกเจียงหนานจะก่อตั้งขึ้นมาแล้ว คุณชายจำต้องเดินทางไปทำหน้าที่ แต่เมื่อกองทัพหนานฉู่ทราบว่าคุณชายอยู่ติ้งไห่ กองเรือหนิงไห่ย่อมต้องขัดขวางเส้นทางเดินทางขึ้นเหนือ ภายในเวลาสั้นๆ คุณชายมิอาจเดินทางขึ้นเหนือได้ แม้จะมีกองเรืออารักขาก็ยากหลีกเลี่ยงการลอบจู่โจมของกองเรือหนิงไห่
หากคุณชายรั้งอยู่ติ้งไห่ ย่อมชักช้าเสียโอกาสในการทำศึกอย่างเลี่ยงมิได้ จนพานทำให้ฝ่าบาทมิพอพระทัยการตัดสินใจเดินทางลงใต้ในตอนแรกของคุณชาย เพื่อเร่งเดินทางและเพื่อความปลอดภัยเป็นสำคัญ มิสู้เดินทางผ่านทางบก ให้หอกลไกสวรรค์ปกป้องปิดบังอำพรางกลับจะปลอดภัยกว่าอยู่บ้าง”
ข้ายิ้มแย้ม “เป็นเช่นนั้น ข้ามิได้โป้ปดเสียหน่อย”