ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 7 ยิงกิ่งหลิวสวนหุบเขาทอง (1)
จยาจวิ้นอ๋องหลี่หลิน บุตรคนที่สามของฉีอ๋องหลี่เสี่ยน มารดาบังเกิดเกล้าคือพระชายาอ๋องฉินซื่อผู้ปลิดชีพตนเองเพราะความผิดโทษฐานก่อกบฏ จวิ้นอ๋องได้รับผลพวงสูญเสียบรรดาศักดิ์ ยามนั้นท่านอ๋องได้รับบัญชาให้ไปดูแลเจ๋อโจว จึงพาเขาเดินทางไปอยู่ในกองทัพด้วย
รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบเจ็ด จวิ้นอ๋องติดตามบิดาเดินทางไปยังตงไห่ ได้พบองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อ องค์หญิงเวทนาที่เขาเป็นผู้บริสุทธิ์จึงพาจวิ้นอ๋องกลับมายังนครฉางอัน ไท่จงชื่นชมที่เขามีนิสัยคล้ายบิดาจึงให้เขาเป็นสหายเล่าเรียนของรัชทายาท
รัชศกหลงเซิ่งปีที่ห้า องค์หญิงหลินปี้พระชายาฉีอ๋องให้กำเนิดหลี่จั๋ว แต่งตั้งเป็นซื่อจื่อ ไท่จงเห็นว่าฉีอ๋องมีคุณงามความชอบมาก จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์จวิ้นอ๋องให้แก่บุตรชายคนที่สามของเขา
…พงศาวดารต้ายง พระประวัติจยาจวิ้นอ๋อง
ความจริงแล้ว ตอนได้รับเทียบเชิญจากจยาจวิ้นอ๋องหลี่หลิน ลู่อวิ๋นไม่แปลกใจสักนิด หลังจากมาถึงนครฉางอัน ลู่อวิ๋นก็ไปสืบความเป็นมาของจยาจวิ้นอ๋องมาบ้างแล้ว เรื่องนี้มิใช่ความลับอันใด ความจริงค่อนข้างเป็นเรื่องที่คนในตลาดคุยกันสนุกปากเสียด้วยซ้ำ
จยาจวิ้นอ๋องหลี่หลิน บุตรคนที่สามของฉีอ๋องหลี่เสี่ยน แต่เดิมเป็นบุตรชายของอดีตพระชายาเอกของฉีอ๋องนามฉินเจิง สูงศักดิ์ยิ่งนัก แต่น่าเสียดายฉินเจิงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการก่อกบฏ แม้ปลิดชีพตนเองชดใช้ความผิด ปกป้องฉีอ๋องกับบุตรชายมิให้ต้องเข้ามาพัวพันด้วยสำเร็จ แต่บุตรนับศักดิ์ตามมารดา ตำแหน่งซื่อจื่อของหลี่หลินย่อมรักษาไว้มิได้
อีกทั้งแต่เดิมฉีอ๋องก็มิใส่ใจบุตรจากพระชายาเอกคนนี้ ดังนั้นยามนั้นผู้คนจึงคิดว่าหลี่หลินคงมิมีวันมีหน้ามีตาอีก ไม่เพียงพี่น้องต่างมารดาของเขา แม้แต่บ่าวรับใช้ในจวนอ๋องก็ยังกล้าข่มเหงรังแกเขา
ผู้ใดจะคิดว่าฉีอ๋องกลับหันมาให้ความสำคัญกับบุตรชายคนนี้ แม้แต่ยามเดินทางไปปกครองค่ายใหญ่เจ๋อโจวก็ยังพาเขาไปข้างกายด้วย หลายปีต่อมาหลี่หลินได้พบกับเจียงเจ๋อและองค์หญิงฉางเล่อภรรยาของเขาที่ตงไห่ หนนี้โชคชะตาได้พลิกผัน เขาติดตามองค์หญิงฉางเล่อกลับเมืองหลวงได้มินานก็ถูกรับเข้ามาในราชวงศ์ใหม่อีกหน กลายเป็นสหายเล่าเรียนของรัชทายาท นี่เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์
แม้ว่าภายหลังฉีอ๋องจะสมรสกับองค์หญิงจยาผิงหลินปี้ ตำแหน่งของหลี่หลินก็มิได้รับผลกระทบ แม้ว่าตำแหน่งซื่อจื่อของฉีอ๋องจะตกอยู่ในครอบครองของหลี่จั๋ว บุตรชายแห่งพระชายาเอก แต่จักรพรรดิต้ายงก็ออกพระราชโองการแต่งตั้งหลี่หลินเป็นจวิ้นอ๋องทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงหลี่หลินจะมิได้สืบทอดตำแหน่งชินอ๋องจากฉีอ๋อง แต่ก็อยู่เหนือกว่าบรรดาบุตรอนุเหล่านั้นที่จะได้รับเพียงบรรดาศักดิ์โหวว่างงานสักตำแหน่ง เว้นเสียแต่ว่าจะมีคุณงามความชอบ ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้หลี่หลินยังได้รับความไว้วางพระทัยจากรัชทายาทอย่างยิ่ง เส้นทางในราชสำนักของเขาในภายภาคหน้าย่อมราบรื่นไร้อุปสรรค ดังนั้นแม้หลี่หลินจะอายุน้อย แต่ก็กลายเป็นบุคคลมากอำนาจที่ราชสำนักต้ายงมิอาจมิสนใจ
ทว่าเรื่องที่ประชาชนในฉางอันคุยกันสนุกปากที่สุดกลับเป็นการกระทำที่ไม่เหมือนผู้ใดของจยาจวิ้นอ๋องผู้นี้ แม้เขาจะอายุเพียงสิบเอ็ดปี หากเป็นบุตรของครอบครัวธรรมดาสักครอบครัวก็คงยังเป็นเด็กไม่รู้ความคนหนึ่ง แต่จวิ้นอ๋องผู้นี้กลับสร้างชื่อลือลั่นทั่วนครฉางอัน ทุกวันนอกจากเล่าเรียนเป็นเพื่อนรัชทายาท ก็จะพาองครักษ์ตระเวนทั้งในและนอกนครฉางอัน ชื่นชอบการก่อเรื่องเป็นที่สุด ลูกหลานชนชั้นสูงในนครฉางอันพบเขาล้วนประหนึ่งมุสิกกลัวแมว
เคยมีผู้ตรวจการถวายฎีกาตำหนิ แต่ฝ่าบาทฟังจบกลับสรวลดังลั่น ตรัสว่าเด็กคนนี้เหมือนฉีอ๋องสมัยนั้นมากทีเดียว จากนั้นก็ปล่อยฏีกาทิ้งไว้มิสนพระทัยอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ นครฉางอันจึงมิมีผู้ใดกล้าล่วงเกินจยาจวิ้นอ๋อง โชคยังดีแม้จวิ้นอ๋องผู้นี้ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ แต่กลับมิชอบรังแกผู้น้อย มักจะลงมือทวงความยุติธรรมอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นผู้คนในนครฉางอันจึงมิรู้สึกต่อต้านเขา นานวันเข้ากลับรู้สึกว่าถึงจยาจวิ้นอ๋องผู้นี้จะอารมณ์ร้ายไปบ้าง แต่เนื้อแท้กลับมิเลวร้าย
งานอดิเรกสุดโปรดของจยาจวิ้นอ๋องผู้นี้คือการรวบรวมผู้มีวรยุทธ์ หากพบเจอผู้ที่วรยุทธ์สูงส่ง เขาเป็นต้องคิดหาวิธีทดสอบความสามารถของคนผู้นั้น หากเป็นคนฝีมือโดดเด่น ก็มักจะแนะนำให้เข้าเป็นทหารในกองทัพต่างๆ หรือไม่ก็รั้งไว้ข้างกายเป็นองครักษ์ แม้เขาอายุยังน้อยแต่สายตากลับเฉียบคมอย่างยิ่ง ขอเพียงเป็นคนที่เขาต้องตาล้วนเป็นยอดฝีมือแทบทั้งสิ้น
ในภายหลังหนังสือแนะนำของจยาจวิ้นอ๋องจึงมีประโยชน์เสียยิ่งกว่าหนังสือจากกรมกลาโหม ด้วยเหตุนี้แม้จยาจวิ้นอ๋องมักจะหาเรื่องสร้างความลำบากให้ผู้อื่นอย่างไร้สาเหตุอยู่บ่อยครั้ง แต่ผู้มีความทะเยอทะยานทั้งหลายกลับทราบว่านี่เป็นโอกาสอันดีและมิรู้สึกรำคาญ
เรื่องเหล่านี้แม้พวกซ่งเจี่ยนจะอยู่ที่นครฉางอันมานานแต่กลับมิล่วงรู้มากนัก กลับกัน คนท้องถิ่นในนครฉางอันเหล่านั้นกลับรู้ละเอียดยิ่ง เมื่อพวกเขาได้ยินว่าลู่อวิ๋นล่วงเกินจยาจวิ้นอ๋อง กลับกลายเป็นว่ามาแสดงความยินดีไม่ขาด บอกว่าขอเพียงลู่อวิ๋นความเป็นมาขาวสะอาด ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะได้โอกาสดีในการเลื่อนฐานะ
แต่ก็มีบางคนกังวลใจแทนเขา เพราะถึงจยาจวิ้นอ๋องจะใช้อำนาจบาตรใหญ่เป็นปกติ แต่การกระทำในวันนั้นก็ยังผิดไปจากปกติอยู่เล็กน้อย หลังจากได้ทราบว่าผู้ที่ร่วมเดินทางมากับจวิ้นอ๋องในวันนั้นคือท่านหญิงเจาหวาเจียงโหรวหลัน คนเหล่านั้นก็ล้วนทำสีหน้ามีเลศนัย
ลู่อวิ๋นไต่ถามอยู่นานนัก กว่าคนเหล่านั้นจะบอกลู่อวิ๋นอย่างเป็นนัยๆ ว่าท่านหญิงเจาหวาเป็นที่โปรดปรานของราชวงศ์อย่างยิ่ง ได้ยินว่ารัชทายาทของรัชสมัยนี้กับจยาจวิ้นอ๋องล้วนเชื่อฟังนางทุกคำ หากลู่อวิ๋นมีประสบการณ์มากกว่านี้สักหน่อยย่อมเข้าใจความนัยของคำพูดนี้แล้ว ทว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่ร่ำเรียนตำราฝึกวรยุทธ์อยู่ในบ้านก็ไปขลุกอยู่ในกองทัพ ดังนั้นหลังฟังจบจึงรู้สึกเหมือนตกอยู่ในม่านหมอก ไม่เข้าใจว่าหมายความเช่นไร
แต่มิว่าอย่างไรลู่อวิ๋นก็ได้ข้อสรุปว่าจยาจวิ้นอ๋องต้องไม่ปล่อยตนเองเป็นแน่ มิว่ามีเจตนาดีหรือเจตนาร้าย หนทางเพียงหนึ่งเดียวของตนก็คือรอให้จยาจวิ้นอ๋องลงมือ หากโชคร้ายตัวตนของตนถูกเปิดเผย ย่อมตายมิอาจรอด แต่หากโชคดี บางทีอาจฉวยโอกาสเข้าใกล้เป้าหมายที่จะลอบสังหารได้
ดังนั้นเมื่อได้รับเทียบเชิญของหลี่หลิน แม้ลู่อวิ๋นจะขุ่นเคืองกับถ้อยคำที่เหมือนคำบัญชาจากคนตำแหน่งสูงกว่าและสีหน้าทำนองว่าหากเจ้าไม่ไปก็จะมัดเจ้าแล้วลากไปขององครักษ์ทั้งหลายที่เดินทางมาเชิญ เขาก็ยังตอบตกลงเดินทางไปพบหน้า
ลู่อวิ๋นบังคับอาชาเหยาะย่างไปตามถนนจูเชว่อันกว้างขวาง สิ่งก่อสร้างสองฟากฝั่งล้วนโอ่อ่างดงาม ทำให้คนมองมิอาจละสายตา แต่เขากลับมิมีอารมณ์ชื่นชม เมื่อเห็นว่ากำลังจะเข้าไปในเขตพระราชฐานของต้ายง ในใจเขาทั้งตื่นเต้นและหวาดหวั่น ระหว่างทางเห็นกองทหารราชองครักษ์ลาดตระเวนไปมาอยู่เป็นระยะ ลู่อวิ๋นทราบว่านี่เป็นเพราะงานฉลองใหญ่ของจักรพรรรดิต้ายงกำลังจะมาถึง นครหลวงจึงเพิ่มการคุ้มกัน
เมื่อมาถึงประตูจูเชว่ องครักษ์เหล่านั้นต่างเข้าออกทุกวันจนเคยชินจึงยิ้มแย้มพูดคุยสัพเพเหระกับกองทหารราชองครักษ์ที่เฝ้าประตู แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังส่งป้ายคำสั่งให้ตรวจสอบ ลู่อวิ๋นรู้สึกหม่นหมองอีกหน หวนนึกถึงความหละหลวมของการคุ้มกันพระราชวังในเจี้ยนเย่ที่เขาเคยเห็นมากับตาตนเอง
หลังจากก้าวเข้ามาในประตูจูเชว่ก็พบกับถนนเฉิงเทียนที่เชื่อมต่อกับประตูเฉิงเทียน สองฝั่งของถนนคือจวนที่ทำการต่างๆ ของสามสำนักหกกรม กองราชองครักษ์คุ้มกันอย่างแน่นหนา แลดูใหญ่โตโอ่อ่า พอเดินผ่านถนนเฉิงเทียนไปได้ครึ่งหนึ่ง องครักษ์เหล่านั้นก็นำทางลู่อวิ๋นเลี้ยวไปทางฝั่งตะวันออก นั่นเป็นถนนใหญ่ของประตูจิ่งเฟิง ผ่านประตูจิ่งเฟิงมาอีกครู่หนึ่งจึงเข้ามาในตรอกอานซิ่ง
จวนฉีอ๋องครอบครองพื้นที่เกือบหนึ่งในสี่ของตรอกอานซิ่งเอาไว้ จยาจวิ้นอ๋องยังไม่แยกจวน ย่อมยังคงอาศัยอยู่ในจวนของบิดา ลู่อวิ๋นมิรู้ว่า ความจริงอาศัยป้ายคำสั่งของหลี่หลินก็เดินผ่านประตูเล็กของพระราชวังตัดตรงผ่านถนนระหว่างตรอกเซิ่งเยี่ยกับตรอกฉงเหรินมาถึงจวนฉีอ๋องได้ทันที
การให้ลู่อวิ๋นเข้ามาผ่านถนนเส้นนี้เป็นสิ่งที่หลี่หลินจงใจ ประการแรก ตัวตนของลู่อวิ๋นยังไม่แน่ชัด เขาจึงไม่ต้องการปล่อยให้อีกฝ่ายล่วงรู้เส้นทางตัดตรงเหล่านั้น ประการที่สอง เขาต้องการใช้บรรยากาศการคุ้มกันอันเข้มงวดสองฟากฝั่งของถนนจูเชว่ข่มขวัญลู่อวิ๋น แล้วถือโอกาสดูนิสัยของลู่อวิ๋นสักหน่อยด้วย
แน่นอนว่าในใจของหลี่หลินเข้าใจว่าเขากำลังต่อกรกับอวิ๋นลู่เด็กหนุ่มจากหนานฉู่ หาใช่ลู่อวิ๋นบุตรชายคนโตของลู่ช่านแม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่ ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ถึงว่าแม้ลู่อวิ๋นจะถอนหายใจอยู่บ้าง แต่กลับมิหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้เมื่อเขาเห็นสีหน้าของลู่อวิ๋นยังคงเรียบสนิทและเฉยชาปานนั้นจึงแปลกใจอยู่เล็กน้อยอย่างเลี่ยงมิได้ ถึงอย่างไรสำหรับชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ความน่าเกรงขามของเขตพระราชฐานก็เพียงพอทำให้จิตใจของพวกเขาหวั่นเกรงและรู้สึกกดดันแล้ว
หลี่หลินรอต้อนรับลู่อวิ๋นอยู่ในสวนหุบเขาทองอันเป็นที่พำนักของเขา ที่แห่งนี้เป็นอุทยานที่ค่อนข้างแยกตัวออกมาโดดเดี่ยว แต่เดิมเป็นที่พำนักของฉีอ๋องหลี่เสี่ยน สมัยก่อนตอนหลี่เสี่ยนกับพระชายาฉินเจิงบาดหมางกัน เขามิต้องการพักที่จวนชั้นในจึงมาอาศัยอยู่ในสวนหุบเขาทอง
แต่เดิมฉีอ๋องก็เป็นโอรสที่หลี่หยวนโปรดปรานที่สุด ตอนเขาแยกออกไปมีจวนของตนเอง หลี่หยวนจึงพระราชทานที่ดินและกิจการตามศักดินาให้เขามากที่สุด แม้แต่จวนอ๋องของเขาก็กว้างขวางหรูหรายิ่งกว่าจวนอ๋องของหลี่อันกับหลี่จื้อ แม้ยามอยู่ในกองทัพหลี่เสี่ยนจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเหล่าแม่ทัพทหารได้ แต่เขาก็ยังเป็นผู้ชื่นชอบความหรูหราอยู่ดี ดังนั้นสวนหุบเขาทองที่เขาอาศัยอยู่มาหลายปีจึงวิจิตรหรูหรา งดงามโอ่อ่าอย่างแท้จริง
หลังจากหลี่เสี่ยนสมรสกับหลินปี้ สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว เขาย่อมย้ายกลับไปอยู่จวนชั้นใน หลังจากหลี่หลินได้รับแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋อง แม้จะยังมิมีจวนเป็นของตนเพราะอายุยังน้อย แต่จะอยู่ในจวนชั้นในต่อก็มิสะดวก ดังนั้นหลี่เสี่ยนจึงมอบสวนหุบเขาทองให้แก่หลี่หลิน
นิสัยของหลี่หลินมิสนใจสิ่งยิบย่อยยิ่งกว่าหลี่เสี่ยน เขาจึงมิสนใจทิวทัศน์ในสวนเหล่านี้มากมายนักและมิเคยเปลี่ยนการตกแต่งสวน มีแต่ตอนรัชทายาทหลี่จวิ้นกับท่านหญิงเจาหวาเจียงโหรวหลันมาเที่ยวเล่นเท่านั้น ที่แต่ละคนเลือกจุดที่ชอบเป็นที่นอน หลังจากนั้นบังคับให้หลี่หลินปรับเปลี่ยนตามใจของพวกเขาอยู่หลายหน
หลังจากลู่อวิ๋นเดินเข้าไปในสวนหุบเขาทองก็ตาพร่าตกตะลึงอย่างช่วยมิได้ แม้ตระกูลู่จะเป็นตระกูลแม่ทัพมาทุกรุ่น มิต้องเป็นห่วงเรื่องอาหารอาภรณ์ แต่เจ้าตระกูลแต่ละรุ่นล้วนสุจริตครองตนอยู่ในคุณธรรม ดังนั้นของตกแต่งและสวนในบ้านจึงไม่ดีไปกว่าขุนนางธรรมดาไปถึงไหน แต่อย่างไรเสียลู่อวิ๋นก็เคยเปิดหูเปิดตามาบ้าง แล้วเขาก็มิหลงใหลในลาภยศสรรเสริญนัก ดังนั้นไม่นานก็สงบจิตใจได้ เดินตามองครักษ์ไปยังหอเมฆหยก