ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 71 ดาบตะขอแดนอู๋วาววับดุจหิมะ (3)
เผยอวิ๋นถอนหายใจอย่างตกตะลึง สายตากวาดมองแล้วจับอยู่บนใบหน้าของบัณฑิตผู้นั้น เมื่อเห็นว่าแม้ประกายในดวงตาของบัณฑิตผู้นั้นจะมิรอนแสง ทว่าสีหน้าซีดเผือด กลางหว่างคิ้วดำคล้ำ ตรงขมับก็มีรอยประทับสีแดงเข้มอยู่จางๆ ใจของเผยอวิ๋นก็สั่นไหว ถอนหายใจแผ่วเบาอย่างหม่นหมอง “น่าเสียดาย น่าเสียดาย!”
ไหนเลยจะคิดว่าที่นั่งทางฝั่งซ้ายก็มีเสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังออกมาด้วย “น่าเสียดายคนมีความสามารถเช่นนี้”
เผยอวิ๋นประหลาดใจ สายตาหันไปมองทางฝั่งซ้าย เพราะกั้นด้วยฉากกันลมจึงมองไม่เห็นหน้าตาของแขกฝั่งนั้น แต่เสียงนั่นฟังดูคุ้นหูอยู่นิดๆ แต่ในตอนนี้เขากลับนึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใด
ตู้หลิงเฟิงเห็นสีหน้าของเขาก็ล่วงรู้ความคิด จึงกระซิบข้างหูเขาบอกว่า “สี่คนนั้นมาด้วยกันกับพวกเขา” พูดจบก็ยื่นมือชี้
เผยอวิ๋นหันไปมองก็ชายหนุ่มสี่คนนั่งก้มหน้ารับประทานอาหารอยู่ตรงนั้น เผยอวิ๋นมองไปก็เห็นสี่คนนี้ท่าทางขึงขัง ดวงตาซ่อนประกาย ร่างกายเหยียดตรง เสื้ออาภรณ์ดูธรรมดา อาวุธก็ล้วนใช้ผ้าพันไว้ ท่าทางเหมือนผู้คุ้มกันพ่อค้าผู้ร่ำรวยทั่วไป
แต่ตอนนี้ในเขตหนานฉู่ไหนเลยจะมีพ่อค้าธรรมดาปรากฏตัวขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นสี่คนนี้มองปราดเดียวก็ทราบว่าฝีมือไม่ธรรมดา ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกประหลาด คิ้วกระบี่ของเผยอวิ๋นขมวดมุ่นเล็กน้อย ตอนนี้ด่านฉู่โจวป้องกันแน่นหนา คนเช่นนี้ปรากฏตัวในฉู่โจว เหตุใดตนเองจึงมิได้รับรายงาน
เวลานี้เองสายตาของบัณฑิตอาภรณ์สีขาวผู้นั้นก็กวาดมองลูกค้าบนเหลาสุรารอบหนึ่งแล้วยิ้มละไมตามพี่น้องสกุลโจวเข้าไปนั่ง จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “บทกวีที่ข้าเขียนยามจากกันวันนั้น เจ้ายังจดจำได้แม่นถึงเพียงนี้ ดูท่าวันนี้หากข้ามิมา เจ้าจะต้องก่นด่าสาปแช่งข้าจนตายเป็นแน่ รีบรินสุรา ข้ารอวันนี้มานานแล้ว หลายปีมานี้ร่อนเร่ในยุทธภพ ตั้งตาคอยสุราบ๊วยเขียวของตาเฒ่าตู้เป็นที่สุด วันนี้ได้สมปรารถนา ต่อให้สิ้นใจตอนนี้ ชีวิตนี้ก็มิเสียเปล่าแล้ว”
ในใจโจวหมิงมีแต่ความยินดีปรีดาท่วมท้น คิดว่าอีกฝ่ายเพียงเบิกบานใจเกินไปเท่านั้น จึงรีบหยิบจอกสุราใบใหญ่ใบหนึ่งมารินสุราบ๊วยเขียวจนเต็มจอกแล้วส่งให้ บัณฑิตอาภรณ์สีขาวผู้นั้นดื่มคำเดียวหมด สีหน้าที่แต่เดิมซีดเผือดจึงมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
โจวหมิงกล่าวอย่างดีอกดีใจ “พี่ชิงผู่ยังตรงไปตรงมาเช่นเดิม ปีนี้ตาเฒ่าตู้หมักสุราบ๊วยเขียวไว้เพียงสิบไหทั้งหมดร้อยชั่ง หนนี้ข้าซื้อไว้หมดแล้ว ท่านกับพวกเราพี่น้องมิเมามิเลิกรา ระบายความทุกข์ที่ต้องพรากจากให้สิ้น รอเมื่อสร่างเมาแล้ว มิว่าพี่ชิงผู่จะสั่งอันใด น้องล้วนยินดีทำตาม”
เขามิสะดวกใจจะถามสหายว่าทราบข่าวการตายกะทันหันของอาจารย์ผู้มีพระคุณหรือยัง ดังนั้นจึงต้องพูดจาคลุมเครือเช่นนี้ กู้หยวนยงที่ฟังอยู่ด้านหลังฉากกันลมร้อนใจดั่งไฟลน อยากจะตะโกนเตือนยิ่งนัก
บัณฑิตอาภรณ์ขาวผู้นั้นกลับคลี่ยิ้มตอบว่า “พี่ชายไม่มีเรื่องใดจะไหว้วาน วันนี้เดินทางมาเพื่อคำสัญญาในวันวานกับสุราบ๊วยเขียวก็เท่านั้น” กล่าวจบก็คว้าไหสุราบนที่นั่งขึ้นมารินหนึ่งจอกแล้วดื่มจนหมด สีสันของสุราย้อมใบหน้าให้เขาแลดูเป็นอิสระเสรีกว่าเดิม
โจวหมิงลังเลครู่หนึ่ง อยากจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป สุดท้ายก็มิยินดีออกปากถามสหายว่าทราบข่าวการตายของหวาเสวียนแล้วหรือยัง
เวลานี้เอง ม่านไม้ไผ่สีเหลืองอ่อนก็ถูกคนเลิกเปิด บุรุษอาภรณ์เขียวสองคนเดินเข้ามา คนด้านหน้าเส้นผมสีเทา จอนผมสีขาว หน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ท่าทางสุขุมใจเย็น คนที่อยู่ด้านหลังเหมือนจะมีฐานะเป็นบ่าวรับใช้ ก้มหน้าเดินตามหลังมา
โจวหมิงตะลึงไปวูบหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตามิคุ้น แต่กิริยาท่าทางสง่างาม หากเป็นก่อนหน้าพานพบคนเช่นนี้ เขาย่อมครุ่นคิดหาทางผูกมิตร แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าฉู่โจวตกเป็นของต้ายงแล้ว ถึงคนผู้นี้ลักษณะดูค่อนไปทางคนหนานฉู่ แต่ต้องเป็นคนต้ายงอย่างมิต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เหตุใดท่านจึงเข้ามายังโต๊ะของผู้อื่นตามอำเภอใจ ออกจะไร้มารยาทเกินไปหน่อยกระมัง”
สายตาคนผู้นั้นทอประกายวูบหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินทั้งสามท่านชื่นชมสุราบ๊วยเขียวเสียมากมายจึงอยากลองชิมสุราที่แฝงรสชาติของความเดียวดายนี่สักหน หากทุกท่านยินยอม ข้ายินดีใช้ของสิ่งนี้แลกกับสุราใหม่หนึ่งไห มิทราบว่าทั้งสามท่านคิดเห็นเช่นไร”
กล่าวจบก็แบฝ่ามือขวาออก กลางฝ่ามือคือยาลูกกลอนหุ้มขี้ผึ้งขนาดเท่าดวงตามังกรหนึ่งเม็ด โจวหมิงกำลังจะอ้าปากถาม คนผู้นั้นก็บีบยาลูกกลอนขี้ผึ้งจนเผยให้เห็นยาลูกกลอนสีแดงก่ำดุจเปลวเพลิง กลิ่นหอมแผ่อบอวบทั่วห้องในทันใด โจวหมิงเพียงได้กลิ่นหอมนั่นก็รู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง
ผู้เล่าเรียนตำรามิเพื่อเป็นเสนาบดีก็เพื่อเป็นหมอ แม้เขาจะมีความรู้วิชาแพทย์ธรรมดาดาษๆ แต่ก็ทราบว่านี่เป็นโอสถต่อชีวิตอย่างดีที่สุด เพียงแต่พวกเขาสามคนเหมือนจะมิจำเป็นต้องใช้ ขณะที่กำลังลังเลอยู่ จวงชิงผู่ก็ตอบอย่างเย็นชา “ขอบคุณท่านมาก สุราบ๊วยเขียวหนึ่งไหแลกกับยาเม็ดนี้ออกจะไม่คุ้มค่าเกินไปอยู่บ้าง หากท่านชื่นชอบสุรานี่ ข้าจะให้ผู้ดูแลมอบไหหนึ่งให้ก็แล้วกัน”
โจวหมิงในใจยังงุนงง แต่ก็เรียกผู้ดูแลให้ไปหยิบสุรามา จากนั้นผู้ดูแลตู้ก็หิ้วสุราบ๊วยเขียวอีกไหหนึ่งมามอบให้จริงๆ
บุรุษอาภรณ์เขียวผู้นั้นถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวขึ้นว่า “ข้ายุ่งมิเข้าเรื่องเอง เร็วขึ้นหน่อยหรือช้าลงหน่อยก็มิแตกต่างกันเท่าใด” กล่าวจบก็ออกแรงกำมือ ยาลูกกลอนเม็ดนั้นกลายเป็นผุยผง กลิ่นหอมในห้องยิ่งเข้มข้นขึ้นอีก ผงยาสีแดงปลิวร่วงลงบนพื้น บุรุษอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมออกมาเช็ดผงยาบนฝ่ามือแล้วหมุนตัวเดินออกไป
โจวหมิงตกตะลึงอยู่ในใจ รู้สึกว่าน่าเสียดายยิ่งนัก ยาเม็ดนั้นเป็นยาดีสำหรับช่วยชีวิตคน แต่กลับสลายเป็นฝุ่นผงเสียแล้ว เมื่อมองตามไปก็สังเกตเห็นอย่างมิได้ตั้งใจว่าบนมือขวาของบุรุษอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นสวมแหวนหยกวงหนึ่ง แต่เดิมแหวนเป็นเครื่องประดับของสตรี บุรุษสวมใส่จะแลดูเหลาะแหละ บุรุษอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นบุคลิกมิธรรมดา แต่เหตุไฉนกลับทำตัวสำอางเช่นนี้ ในใจโจวหมิงเกิดความรู้สึกดูแคลน ดวงตาปรากฏแววตาหยามหมิ่น
ผู้ใดจะคิดว่าบ่าวรับใช้อาภรณ์สีเขียวที่ตอนนี้กำลังจะเดินออกไปคนนั้นพอเห็นสีหน้าของโจวหมิงเข้า แววตาพลันทอประกายเย็นยะเยือก มองโจวหมิงอย่างเย็นชาแล้วเดินออกไปด้านนอก การกระทำนี้ โจวหมิงมิทันสังเกตเห็น แต่ถูกโจวฮุ่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นเข้า บ่าวรับใช้อาภรณ์สีเขียวผู้นั้นดูแล้วท่าทางอายุยี่สิบกว่าปี หน้าตาเกลี้ยงเกลาผิวขาวผ่อง เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำเย็นยะเยือกดั่งน้ำพุหนาว หัวใจของโจวฮุ่ยหวาดผวาวูบหนึ่ง เกิดความรู้สึกมิสบายใจขึ้นมา
ยามนี้เผยอวิ๋นกลับนั่งตะลึงอยู่บนเก้าอี้ ในใจเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี มิกล้าเชื่อว่าภาพตรงหน้าเป็นความจริง เพียงมองลอดม่านไม้ไผ่เห็นโฉมหน้าของทั้งสองคนนั้นก็ทำให้หัวใจเขาตกตะลึงยิ่งนักแล้ว เมื่อฟังบทสนทนาอีกสองสามประโยคก็ยิ่งแน่ใจกับความคิดของตนเอง อยากจะออกไปพบหน้าเสียเดี๋ยวนี้ แต่เมื่อคิดว่าหากตนเองเดินออกไป น่ากลัวว่าผู้คนบนชั้นสองทั้งหมดคงตกใจจึงมิกล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว เพียงนั่งอยู่ไม่สุก กลัวว่าจะเป็นการมิให้เกียรติคนผู้นั้น
เวลานี้เองในหูก็ได้ยินเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น “คุณชายขอให้ท่านแม่ทัพอย่าเพิ่งออกมาพบหน้า”
เผยอวิ๋นโล่งอก ตอนนี้จิตใจจึงสงบ ความคิดไหลบ่าออกมา ครุ่นคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากวาสนาหนนี้อย่างไรเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากสถานการณ์ลำบากที่เผชิญอยู่
เวลานี้เอง จวงชิงผู่ผู้นั้นก็เหมือนจะจับสังเกตบรรยากาศที่ผิดปกติบนเหลาสุราได้ จึงลุกขึ้นแย้มยิ้ม “สุราก็ดื่มแล้ว คนก็ได้พบหน้าแล้ว ตอนนี้ข้าคงต้องไปแล้ว”
โจวหมิงตกตะลึง “พี่ชิงผู่ยากจะกลับมาสักหน เหตุไฉนจะไปเสียแล้วเล่า”
ดวงตาของจวงชิงผู่ฉายแววอาลัย สีหน้าลำบากใจอยู่เล็กน้อย
โจวฮุ่ยกลับเริ่มมองลางไม่ดีบางอย่างออกแล้ว เขาลุกขึ้นค้อมกายคำนับเอ่ยขึ้นว่า “หากพี่ชิงผู่มีข้อลำบากประการใด โปรดบอกมา พวกข้าพี่น้องแม้ร่างกายต้องแหลกเป็นผุยผงก็จะมิทำให้ท่านผิดหวัง”
จวงชิงผู่ทราบว่าปกติโจวฮุ่ยเป็นคนละเอียดอ่อน จึงคลี่ยิ้มตอบว่า “มีเรื่องอันใดเสียที่ไหนเล่า หวังแต่ว่าจะไม่สร้างความลำบากให้พวกเจ้าทั้งสองคนเท่านั้น” กล่าวจบก็ค้อมกายให้หนหนึ่ง แล้วยกเท้าก้าวออกไปด้านนอก
โจวหมิงลุกขึ้นมาหมายจะรั้งไว้ แต่โจวชิงผู่กลับเดินไปถึงหัวบันได กำลังจะก้าวเท้าลงบันไดแล้ว โจวหมิงคิดจะตะโกนเรียกเขา แต่โจวฮุ่ยกลับดึงเขาไว้แล้วส่ายศีรษะเบาๆ โจวหมิงเองก็เป็นคนฉลาด ชั่วขณะนั้นเขาพลันเข้าใจ หลุดปากโพล่งออกมาว่า “หรือพี่ชิงผู่จะไปตระกูลหวามาแล้ว”
โจวฮุ่ยยังมิทันตอบ หูก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกและเสียงฝีเท้าวิ่งดังขึ้น โจวฮุ่ยมิทันอธิบายให้พี่ชายฟังก็ถลาไปที่หน้าต่าง