ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 8 ยิงกิ่งหลิวสวนหุบเขาทอง (2)
ในสวนหุบเขาทองมีคลองส่งน้ำทอดผ่านแล้วไหลมารวมกันที่สระน้ำสีเขียวหยก สิ่งก่อสร้างทั้งหมดในสวนมากกว่าเก้าส่วนล้วนสร้างติดริมน้ำ ริมฝั่งน้ำมีก้อนหินก่อเป็นภูเขา ภูเขาจำลองสูงราวยี่สิบถึงสามสิบจั้ง หน้าผาตัดตรงดิ่ง มีต้นไม้ปลูกเรียงรายเป็นผืนป่า กินพื้นที่หลายหมู่
บนเขามีหอน้อยสองชั้นหลังคาปลายงอนสีแดงอยู่หนึ่งหลัง มีเพียงเส้นทางขึ้นภูเขาคดเคี้ยวเส้นน้อยที่ปูด้วยหินสีดำสนิทเท่านั้นที่ใช้ขึ้นลงได้ เพียงใช้ทหารราชองครักษ์หมู่เดียวเฝ้าคุ้มกันอยู่ที่ตีนเขา ต่อให้เป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งก็อย่าคิดจะเข้าออกได้ง่ายๆ
ลู่อวิ๋นเดินไปตามทางขึ้นเขา ขณะที่ในใจกลับสงบลง ประสบการณ์จากการเกิดมาในตระกูลแม่ทัพ ทำให้เขาทราบว่าสถานที่แห่งนี้เป็นยอดชัยภูมิที่ตั้งรับง่ายบุกตียาก แล้วยังเป็นสถานที่ชั้นเยี่ยมในการคุมตัวนักโทษ แต่เมื่อคิดว่าตนเองเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง คงมิมีผู้ใดใส่ใจขบคิดเช่นนั้น จึงคิดว่าหลี่หลินน่าจะเรียกเขามาพบยังที่พำนักของตนเองมากกว่า นี่นับว่าเป็นการให้เกียรติอย่างมากทางหนึ่ง
เมื่อเดินขึ้นมาถึงยอดเขา มองปราดแรกก็เห็นหอเมฆหยกตั้งโดดเดี่ยว รอบด้านเปล่าเปลี่ยวโล่งโจ้ง แม้บนยอดภูเขาจำลองจะปูดินไว้หนา แต่กลับปลูกเพียงพุ่มไม้ค่อนข้างเตี้ยที่เขียวชะอุ่มตลอดปีไว้เพียงประปราย มองแล้วดูไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกหม่นหมองดั่งปลายสารทฤดู หอหลังนั้นก็เหมือนเด็กหนุ่มผู้ยืนเอามือไพล่หลังก้มมองคลื่นน้ำสีหยกอยู่หน้าราวกั้นสีแดง โดดเดี่ยวทระนงและยโสโอหัง
ลู่อวิ๋นเดินมาถึงด้านหลังของหลี่หลิน คารวะกล่าวว่า “ผู้น้อยอวิ๋นลู่ คารวะจยาจวิ้นอ๋อง ขอทรงพระเจริญพันปี”
หลี่หลินกลับมิสั่งให้เขาลุกขึ้น เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเรียกเจ้ามาด้วยเหตุใด”
ลู่อวิ๋นตอบอย่างมิหวั่นกลัว “ผู้น้อยล่วงเกินท่านอ๋อง หากท่านอ๋องต้องการลงโทษ ผู้น้อยก็มิมีคำใดโอดครวญ”
หลี่หลินหันกลับมา จากนั้นหัวเราะออกมาดังพรืด ท่าทางเย็นชาถูกรอยยิ้มที่แฝงความเป็นเด็กทำลายจนมิเหลือร่องรอยในทันใด เขาเข้ามาประคองลู่อวิ๋นด้วยมือตนเอง “ดูท่าจะข่มขู่เจ้ามิสำเร็จ วันนั้นข้าอารมณ์ร้อนไปเล็กน้อย หยามเกียรติเจ้าอย่างมิได้ตั้งใจ แต่วันนั้นเจ้าเองก็เสียมารยาทต่อท่านหญิงเจาหวา มิแปลกที่ข้าจะมีโทสะ วันนี้ข้าเชิญเจ้ามา ประการแรกตั้งใจจะขออภัยเจ้า ส่วนประการที่สองข้าอยากเปิดหูเปิดตาชมดูวิชายิงธนูของเจ้าสักหน่อย”
แม้ลู่อวิ๋นจะมีความเป็นอริอยู่ในใจ แต่ก็รู้สึกว่าบังเกิดความอบอุ่นสายหนึ่งขึ้นในใจด้วย เขาคิดในใจว่า มิน่าจยาจวิ้นอ๋องผู้นี้อายุยังน้อยก็มีชื่อเสียงเช่นนี้แล้ว มิเสียทีเป็นบุตรคนโปรดของฉีอ๋องแม่ทัพผู้โด่งดังแห่งราชวงศ์ต้ายง
เขาลุกขึ้นค้อมกายคำนับกล่าวว่า “เชิญท่านอ๋องบัญชา”
หลี่หลินกลอกตาหนหนึ่งแล้วว่า “ที่นี่ไม่มีลานฝึกยุทธ์ เจาหวามิอนุญาตให้ข้าสร้างไว้ที่นี่ แต่หากต้องการเพียงชมวิชายิงธนูของเจ้า ไปลานฝึกยุทธ์ของเสด็จพ่อก็ยุ่งยากเกินไป เจ้าลองยิงต้นไม้ต้นนั้นดูเป็นเช่นไร”
กล่าวจบก็ชี้ต้นหลิวต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมฝั่งน้ำไกลออกไป ตรงจุดนั้นอยู่ห่างจากภูเขาจำลองอยู่หนึ่งร้อยห้าสิบก้าว อีกทั้งยังมีความต่างของระดับสูงต่ำ หากต้องการยิงให้ถูกต้นหลิว ต้องมีวิชาธนูชั้นหนึ่งจึงจะทำได้
คันศรกับลูกศรของลู่อวิ๋นถูกองครักษ์ยึดไปแล้ว ขณะที่กำลังจะขอจากหลี่หลิน ก็เห็นองครักษ์ผู้หนึ่งถือคันศรกับลูกศรชุดหนึ่งเข้ามา คันศรเป็นคันศรนอแรด ด้านในถุงลูกศรลงลายทอง มีลูกศรขนนกแกะสลักชั้นเยี่ยมอยู่ยี่สิบดอก
ลู่อวิ๋นเห็นคันศรเล่มนี้ ดวงตาพลันเป็นประกาย ก้าวเข้าไปหยิบขึ้นมาลูบคลำอยู่เนิ่นนานวางไม่ลง หลังจากง้างสายเปล่าอยู่สองสามหน เขาก็หยิบลูกศรขนนกแกะสลักขึ้นมาสามดอก จากนั้นพาดสายยิงออกไป เงาสามสายแล่นผ่านเพียงวูบเดียว ลูกศรขนนกแกะสลักสามดอกก็ปักอยู่บนกิ่งหลิวกิ่งเดียวกัน
ระยะห่างร้อยก้าวยิงศรสามดอกต้องกิ่งหลิวที่สะบัดอยู่กลางสายลมติดกัน วิชายิงธนูเช่นนี้กล่าวได้ว่าเป็นเทพแห่งวิชาธนูแล้ว
ดวงตาของหลี่หลินเปล่งประกายเจิดจ้า ทอดถอนใจด้วยสู้มิได้ เมื่อเห็นลู่อวิ๋นวางคันศรนอแรดกลับลงในกล่อง แต่สายตากลับยังอาลัยอาวรณ์ หลี่หลินก็คลี่ยิ้มบอกว่า “ดี พี่อวิ๋น วิชายิงธนูของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ คันศรเล่มนี้เป็นงานฝีมือที่ทำขึ้นมาอย่างประณีต มองหาพันลี้ก็มิมีงานชิ้นใดดีกว่า มีแต่คันศรล้ำค่าเช่นนี้จึงจะควรคู่กับวิชายิงธนูของเจ้า ข้ามอบคันศรเล่มนี้ให้เจ้า ขอเจ้าอย่าได้ปฏิเสธ”
ใจลู่อวิ๋นชื่นชอบคันศรเล่มนี้อย่างยิ่ง อีกทั้งเขายังตั้งใจว่าจะตีสนิทหลี่หลิน ดังนั้นจึงค้อมกายคำนับตอบว่า “ขอบพระทัยท่านจวิ้นอ๋องที่ประทานให้ ผู้น้อยขอน้อมรับ”
หลี่หลินเห็นเขาตรงไปตรงมาเช่นนี้ ในใจก็ชมชอบยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “เจ้ามีวิชายิงธนูเช่นนี้ เหตุใดจึงร่อนเร่ในยุทธภพ ได้ยินว่าบ้านเกิดของเจ้ามิมีครอบครัวเหลืออยู่แล้ว มิสู้มาเป็นองครักษ์ข้างกายข้า ต้ายงของข้าให้ความสำคัญกับทหารกล้า หากเจ้าอยู่ที่นี่ หนทางเบื้องหน้าย่อมรุ่งเรือง มิต้องไปเป็นบ่าวรับใช้เจ้าแผ่นดินเขลาขุนนางชั่วของหนานฉู่”
ลู่อวิ๋นทราบว่าหลี่หลินสืบประวัติปลอมของเขามาจากกลุ่มพ่อค้าแล้ว ดังนั้นจึงจงใจเผยสีหน้าลังเลแล้วตอบว่า “ผู้น้อยเป็นคนหนานฉู่ ยากจะทอดทิ้งมาตุภูมิ อีกทั้งเกรงว่าชาติกำเนิดคงเป็นอุปสรรค”
หลี่หลินหัวเราะ “ท่านกังวลมากเกินไปแล้ว ต้ายงของข้าเป็นมหาสมุทรรองรับร้อยสายน้ำ มิเคยคิดเล็กคิดน้อยเรื่องชาติกำเนิดและความเป็นมาเหล่านี้ ไม่ต้องพูดถึงเจ้าที่เป็นคนหนานฉู่ ระหว่างสองแคว้นเคยรบรากัน แต่ก็ปรองดองกันมานานปี แม้กระทั่งอดีตทหารของกองทัพเป่ยฮั่นที่คนมากเกินกว่าครึ่งมือเปื้อนโลหิตทหารและประชาชนต้ายงของข้า วันนี้ก็ยังถูกใช้งานสำคัญตามปกติมิใช่หรือ”
ลู่อวิ๋นแสร้งทำท่าว่าความกลัดกลุ้มในใจมลายหาย แล้วเอ่ยตอบอย่างยินดี “หากเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยขอบพระทัยท่านจวิ้นอ๋องที่เห็นค่าและสนับสนุน”
หลี่หลินจึงกล่าวว่า “นี่ก็เป็นเพราะความสามารถของตัวเจ้าเอง เจ้าอายุยังมิมาก ตอนนี้ยังมิเหมาะจะเข้าไปอยู่ในกองทัพ เอาเช่นนี้เถิด เจ้าจงเป็นองครักษ์อยู่ข้างกายข้า ผ่านไปอีกสองสามปีหากมีสงครามก็จงติดตามข้าออกศึกเพื่อสร้างความดีความชอบ ประเดี๋ยวเจ้าเขียนประวัติความเป็นมาอย่างละเอียดมอบให้หัวหน้าองครักษ์ของข้า รอกองการข่าวของกรมกลาโหมส่งหนังสือตอบกลับมาก็ขึ้นทะเบียนเป็นองครักษ์ได้แล้ว”
ลู่อวิ๋นหวั่นใจวูบหนึ่ง หนุ่มน้อยจวิ้นอ๋องผู้นี้แม้ชื่นชอบคนมีฝีมือ แต่มิใช่ว่าจะเชื่อคนง่าย แต่เขาคิดว่าหากไม่ใช้เวลาสักช่วงระยะหนึ่งคงมิอาจพิสูจน์ความจริงเท็จของประวัติความเป็นมาของตนได้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ประวัติของเขาจะเป็นเรื่องปั้นแต่ง แต่ก็มิได้แต่งขึ้นมาส่งเดช เขาอ้างว่าตนเป็นคนหมู่บ้านอวิ๋นเฉียวแห่งเจียงเซี่ย บุพการีทั้งสองล่วงลับไปแล้ว มีท่านอาคนหนึ่งจากบ้านเกิดมาเมื่อหลายปีก่อน ได้ยินว่ามีคนเคยพบเขาที่ฉางอัน ดังนั้นจึงเดินทางมาตามหาญาติ
หมู่บ้านอวิ๋นเฉียวในเจียงเซี่ยแห่งนี้มีอยู่จริง แม้ลู่อวิ๋นไม่เคยมีความเกี่ยวข้องอันใดด้วยเพราะความจริงบรรพบุรุษของเขาอาศัยอยู่ที่อู๋จวิ้น แต่เจียงเซี่ยก็เป็นสถานที่ซึ่งท่านปู่ของเขาพิทักษ์ความสงบอยู่หลายปี ดังนั้นลู่อวิ๋นจึงมิใช่ไม่คุ้นเคยกับสภาพชนบทของเจียงเซี่ย แล้วอีกอย่าง หลายปีนี้หนานฉู่มีชายแดนติดกับเพื่อนบ้านผู้แข็งแกร่ง คนในหมู่บ้านติดชายแดนที่อพยพเข้ามาในต้ายงมีอยู่ทั่วไป ด้วยเหตุนี้ตัวตนที่เขาแต่งขึ้นมาจึงมิใช่ว่าไร้หลักอ้างอิงอย่างสิ้นเชิง หมู่บ้านอวิ๋นเฉียวแห่งเจียงเซี่ยมิแน่ว่าจะไม่มีเด็กหนุ่มสักคนที่เดินทางจากบ้านมาตามหาญาติเช่นนี้
อีกทั้งลู่อวิ๋นยังบอกอีกว่า เพราะตอนอยู่ในบ้านเกิดเขายังมิทันสวมกวาน จึงมิมีนามอย่างเป็นทางการ มีเพียงนามที่ตั้งให้ตอนเกิดเรียกว่าเอ้อร์หลางเท่านั้น ในชนบทของหนานฉู่ นามยามแรกเกิดนี้หากเอามาเรียก น่ากลัวว่าในสิบคนคงมีถึงห้าหกคนที่ขานรับ ดังนั้นลู่อวิ๋นจึงมิกังวลว่าจะถูกสืบพบตัวตนที่แท้จริงของตนเอง ต่อให้ถูกสืบพบว่ามีปัญหาเล็กน้อย เขาก็คาดว่าหลี่หลินคงไม่คิดว่าตนเป็นสายลับแล้วสังหารทิ้ง อีกอย่างหนึ่ง ผ่านพ้นช่วงนี้ไป แม้นตนมิสบโอกาสลงมือก็คงมีโอกาสหลบหนี ดังนั้นลู่อวิ๋นจึงก้มศีรษะตอบรับ มิแสดงออกว่าตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
หลี่หลินเห็นเขาว่าง่ายกลับมิรู้สึกว่าแปลกประหลาด แม้วันนั้นลู่อวิ๋นแสดงท่าทีเย็นชาหยิ่งทะนงอย่างยิ่ง แต่มิว่าอย่างไรฐานะของพวกเขาก็แตกต่างกัน เมื่อตนปฏิบัติด้วยอย่างมีมารยาท เขาย่อมมิสมควรทำตัวไร้เหตุผลเกินไปนัก การแสดงออกเช่นนี้ก็สมควรตามเหตุผล
เมื่อคิดว่าตนเก็บองครักษ์หนุ่มผู้มีฝีมือโดดเด่นมาได้หนึ่งคน เขาก็ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ลู่อวิ๋น เจ้ามิต้องยึดติดพิธีรีตองมากเกินไป ในจวนของพวกเรามิยึดติดกฎเกณฑ์เคร่งครัดเช่นบ้านอื่น รอตรวจสอบตัวตนของเจ้าเสร็จ ข้าจะพาเจ้าไปพบเสด็จพ่อ เขาเองก็อยากชมดูฝีมือของเจ้าอย่างยิ่งเหมือนกัน”
ลู่อวิ๋นหวาดหวั่นในใจ นามของฉีอ๋องในหนานฉู่ทำให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้ได้ หนนั้นเขาทำสงครามที่จิงเซียงสองหน สังหารผู้คนไปนับไม่ถ้วน ยามนี้ยังสยบเป่ยฮั่นได้อีก ในเรื่องเล่าของหนานฉู่ นามฉีอ๋องเป็นเสมือนดั่งคำว่าทรราชผู้ฆ่าล้างบาง แน่นอนว่าในใจของลู่อวิ๋น ฉีอ๋องเป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้ของบิดา หากมีโอกาสได้พบ เขาก็ตั้งตาคอยอย่างยิ่ง
ช่วงเวลาหลังจากนั้น ลู่อวิ๋นถูกหลี่หลินรั้งไว้ในหอเมฆหยก หอเมฆหยกเป็นตำหนักบรรทมของหลี่หลิน แต่เดิมมิสมควรให้ลู่อวิ๋นผู้มีประวัติความเป็นมาไม่ชัดอยู่ที่นี่ แต่ที่แห่งนี้มิได้มีเอกสารสำคัญอันใด ดังนั้นหลี่หลินจึงจัดให้ลู่อวิ๋นผู้มีความเป็นมาเช่นนี้อยู่ที่นี่ก่อน ทั้งเป็นการกักบริเวณกลายๆ แล้วยังแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจกับการให้ความสำคัญได้ด้วย
ประจวบเหมาะกับงานฉลองพระชนม์มายุครบรอบใหญ่ของจักรพรรดิต้ายง ทั้งราชสำนักต่างยุ่งวุ่นวายอย่างยิ่ง หลี่หลินแทบจะต้องเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนรัชทายาททุกวัน ตัวตนของลู่อวิ๋นยังสืบไม่ชัดย่อมมิอาจเข้าวังได้ แม้หลี่หลินไม่อยู่ แต่ข้างกายลู่อวิ๋นมักมีองครักษ์อยู่ด้วยเสมอ พวกเขาคอยกล่อมอ้อมๆ มิให้ลู่อวิ๋นออกมาจากสวนหุบเขาทอง นอกจากหวาดหวั่นอยู่ในใจ ลู่อวิ๋นก็มิอาจทำสิ่งใดได้แล้ว
ผ่านไปอีกหลายวันก็เป็นงานวันฉลองพระราชสมภพของจักรพรรดิต้ายง ทั่วใต้หล้าต่างเฉลิมฉลอง หลี่หลินถูกรัชทายาทรั้งตัวไว้ในตำหนักบูรพา ลู่อวิ๋นได้แต่นั่งกลัดกลุ้ม อยากจะทิ้งการลอบสังหารแล้วหลบหนีออกไปเสีย แต่จวนฉีอ๋องคุ้มกันแน่นหนา ลู่อวิ๋นมิมีหนทางเคลื่อนไหวตามใจเลยสักนิด เขาจึงตัดสินใจว่าไหแตกแล้วก็ปล่อยมันร่วงแตกไป รออยู่ในหอเมฆหยกมิออกไปข้างนอก คิดว่าอย่างมากที่สุดคงถูกพบว่าประวัติน่าสงสัย สูญเสียโอกาสในการเข้าใกล้เป้าหมายก็เท่านั้น
วันที่สามหลังจากงานฉลองวันพระราชสมภพของจักรพรรดิต้ายง ลู่อวิ๋นก็ถูกหลี่หลินที่กลับมาจากในวังเรียกไปหา ตอนที่ลู่อวิ๋นเดินเข้าไปก็เห็นขุนนางวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอย่างสำรวมอยู่ หลี่หลินนั่งอยู่บนตำแหน่งเจ้าบ้านพลางมองกระดาษแผ่นบางในมือ
หนนี้หลี่หลินมิได้สวมอาภรณ์ของนักแม่นธนูสีดำที่ชอบสวมในยามปกติแล้ว แต่สวมใส่เสื้อผ้าตามยศจวิ้นอ๋อง ตัวอาภรณ์สีเหลืองผลซิ่ง บนศีรษะสวมกวานทอง แม้เขาอายุน้อย แต่รูปร่างค่อนข้างสูง เมื่อมองดูจึงมีอำนาจน่าเกรงขาม เห็นลักษณะความเป็นเชื้อพระวงศ์
พอเห็นลู่อวิ๋นเดินเข้ามา เขาก็ยิ้มแย้มส่งกระดาษแผ่นบางในมือให้ลู่อวิ๋น แล้วว่า “แม้จะยังมิมั่นใจเต็มสิบ แต่ตัวตนของเจ้าโดยคร่าวๆ ก็มิมีปัญหาแล้ว”
ลู่อวิ๋นข่มกลั้นความประหลาดใจแล้วรับกระดาษบางแผ่นนั้นมา ด้านบนเขียนอักษรตัวจิ๋วเท่าหัวแมลงวันเอาไว้จำนวนหนึ่ง บันทึกชาติกำเนิดของเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากหมู่บ้านอวิ๋นเฉียวแห่งเจียงเซี่ยของหนานฉู่ บิดาเป็นแม่ทัพยศต่ำที่บาดเจ็บต้องออกจากกองทัพ มารดาเป็นกุลสตรีจากตระกูลบัณฑิต บิดามารดาล้วนจากไปด้วยโรคร้าย คนในครอบครัวกระจัดกระจาย มีท่านอาคนหนึ่งมิทราบอยู่แห่งหนใด เด็กหนุ่มฝึกฝนวรยุทธ์ตั้งแต่เล็ก ชำนาญวิชายิงธนู สามปีก่อนออกเดินทางจากบ้านเกิด ยังมิทันสวมกวาน มีนามตอนเด็กว่าเอ้อร์หลาง แต่เพราะไม่มีคนในครอบครัวแล้ว ดังนั้นจึงมิทราบอายุ
ลู่อวิ๋นเกือบจะอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่คนหนึ่งจริงๆ แม้จะผิดเพี้ยนจากที่ตนบอกกล่าวเอาไว้อยู่บ้าง แต่โดยพื้นฐานก็ถูไถผ่านไปได้ ลู่อวิ๋นนึกยินดีที่ประวัติของตนมิกลายเป็นอุปสรรคขัดขวาง ขณะเดียวกันก็อดแอบคารวะขอบคุณสวรรค์ในใจไปด้วยมิได้
หลี่หลินรับกระดาษแผ่นนั้นไปแล้วเอ่ยว่า “มิน่าวิชายิงธนูของเจ้าจึงยอดเยี่ยม ที่แท้ก็สืบทอดมาจากบิดา ในเมื่อตัวตนของเจ้ามิมีปัญหา หลังจากวันนี้ก็ตามอยู่ข้างกายข้าเถิด อีกประเดี๋ยวข้าจะต้องไปส่งท่านหญิงหงสยากับท่านเขยหวังกลับไต้โจวพอดี เจ้าตามไปด้วยกันกับข้าก็แล้วกัน”
ลู่อวิ๋นฉุกคิดบางสิ่งได้ หากไปส่งท่านหญิงหงสยา ฉีอ๋องกับองค์หญิงจยาผิงย่อมต้องไปด้วย ได้เห็นยอดแม่ทัพมากมายเช่นนี้ภายในหนเดียว เขาจึงเผยสีหน้าคาดหวังออกมาอย่างห้ามใจมิได้