ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 82 ขาดแต่ลมบูรพา (1)
ลู่ช่าน คนเจียงเซี่ย ทายาทจากครรภ์ภรรยาเอกของเจิ้นหย่วนโหว ปู่นามว่าผิง เป็นยอดแม่ทัพในสมัยอู่ตี้ ภักดีกล้าหาญเป็นที่เลื่องลือ บิดานามว่าซิ่น เป็นผู้บัญชาการทหารที่เจียงเซี่ยยี่สิบปี จงรักภักดียิ่งนัก ราชสำนักชื่นชม
ท่านกงเสียมารดาตั้งแต่เล็กจึงติดตามบิดาเข้ามาอยู่ในค่ายทหาร อายุสิบกว่าปีก็ยกคันศรหนักสามต้านได้ พละกำลังมหาศาล แม้แต่ทหารกล้าที่ผ่านศึกมานับร้อยก็สู้มิได้ ลู่ซิ่นมักบอกกับคนข้างกายว่า “บุตรคนนี้จักต้องมีความดีความชอบเหนือข้าเป็นแน่”
ตั้งแต่เล็กท่านกงชอบวรยุทธ์เกลียดตำรา เพราะในแคว้นเชิดชูบัณฑิตดูถูกแม่ทัพ ลู่ซิ่นจึงเป็นห่วงบุตรชาย ออกตามหาอาจารย์มาสั่งสอนวิชา ท่านกงนิสัยซุกซน ไล่อาจารย์หนีกระเจิงไปอยู่หลายหน รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเอ็ด ลู่ซิ่นจ้างเจียงเจ๋อจากเมืองจยาซิงมาเป็นอาจารย์ ยามนั้นเจียงเจ๋ออายุเพียงสิบห้าปี ลู่ซิ่นยังกังวอยู่ว่าท่านกงจะมิยอมเรียนโดยดี ทว่าท่านกงกลับเปลี่ยนท่าทีให้ความร่วมมือ ทำตัวมีมารยาทเคารพนับถืออาจารย์ยิ่งนัก
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบสอง เจียงเจ๋อถูกจับตัวไปต้ายง สุดท้ายยอมสวามิภักดิ์ ยังผ่านไปมิทันหลายปี จักรพรรดิต้ายงก็พระราชทานตำแหน่งฉู่เซียงโหว แล้วยังพระราชทานองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อแห่งต้ายงให้ ชาวแคว้นได้ยินเรื่องนี้ล้วนโกรธแค้น สหายเก่าเพื่อนพ้องในวันวานล้วนประณามเขาอย่างรุนแรง มีเพียงท่านกงที่นิ่งเงียบ มีบางคนติเตียนท่านกง ท่านกงก็ตอบว่า “เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นบิดาชั่วชีวิต ไหนเลยจะตัดขาดเพราะเรื่องที่เขามิอาจเลือก” เมื่อผู้ติเตือนฟังดังนั้นก็ละอายใจถอยหลบไป
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน ประวัติจงอู่กง
รัชศกหลงเซิ่งปีที่สิบ ต้นเดือนแปด บนเส้นทางจากไห่โจวไปสวีโจวมีคนสัญจรมิขาดสาย เมื่อครู่ฝนตกลงมาห่าใหญ่ ขับไล่ความร้อนระอุที่แผดเผาผู้คนจากไป สายลมที่พัดมาจากผิวทะเลนำพากลิ่นคาวจางๆ มาพร้อมกับความสดชื่น เวลานี้เองฝุ่นควันก็ฟุ้งตลบมาแต่ไกล เสียงรถม้าดังกึงกังลอยมาเข้าหู ขบวนรถขนข้าวของยาวเป็นสายภายใต้การคุ้มกันของทหารต้ายงมุ่งหน้ามาจากทางไห่โจว พ่อค้าและนักเดินทางบนถนนต่างพากันหลีกทางไปด้านข้าง สถานการณ์เช่นนี้ปรากฏให้เห็นทุกสิบวันครึ่งเดือน ดังนั้นพวกเขามิจำเป็นต้องรอให้ทหารออกคำสั่งก็หลีกทางให้เอง
ต้ายงกับหนานฉู่เปิดศึกกันมาหลายปี เสบียงและยุทโธปกรณ์ที่ผลาญไปนับแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน แม้กองทัพต้ายงจะปลูกข้าวในค่ายเพื่อเลี้ยงทหาร แต่ก็ยังจำเป็นต้องขนส่งเสบียงกับยุทโธปกรณ์จากสถานที่ต่างๆ ในต้ายงมาอยู่ เสบียงที่ขนมาจากโยวจี้หลักๆ แล้วต้องขนจากท่าเรืออวิ๋นไถในไห่โจวมายังสวีโจว
ท่ามกลางขบวนทหารใหญ่โตกองนี้ กลับมีชายหนุ่มอาภรณ์เขียวที่มิได้สวมชุดเกราะอยู่คนหนึ่งควบม้าเดินช้าๆ อยู่ด้านหน้า เขาก็คือฮั่วฉงนั่นเอง สองวันก่อนเขาขึ้นฝั่งที่อวิ๋นไถ แต่เดิมสมควรหวดแส้เร่งม้าเร็วเดินทางไปยังสวีโจว แต่หลังจากขึ้นฝั่ง ในใจเขาก็เกิดความวิตกกังวลระคนหวาดกลัวขึ้นมา ดังนั้นจึงจงใจถ่วงเวลาเดินทาง ทั้งยังออกเดินทางไปกับกองทหารขนส่งเสบียงโดยฉากหน้าอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง แม้ราชองครักษ์หู่จีที่คุ้มกันเขาจะมองความคิดของเขาออกชัดเจน แต่ก็ตัดใจเปิดโปงมิลง อย่างไรเสียก็ติดตามกันมาหลายปี ระหว่างพวกเขากับฮั่วฉงก็มีไมตรีต่อกันไม่น้อย
ใกล้ถึงยามอู่ แม่ทัพผู้คุมการขนเสบียงกับยุทโธปกรณ์ออกคำสั่งให้ทหารทั้งหลายพักริมทาง แม่ทัพผู้นั้นเข้ามาบอกว่า “คุณชายฮั่ว ด้านหน้ามีร้านริมทางอยู่ร้านหนึ่ง ผู้น้อยเดินทางไปมาแถวนี้มักจะแวะพักที่นั่นอยู่เสมอ หากคุณชายมิรังเกียจ ให้ผู้น้อยเลี้ยงสุราคุณชายสักจอกได้หรือไม่”
แม้ฮั่วฉงจะวิตกกังวลอยู่ในใจ แต่บนใบหน้ากลับไม่เผยออกมาแม้แต่น้อย แม่ทัพผู้นั้นมีเจตนาผูกมิตร เขาย่อมมิปฏิเสธ เขาคลี่ยิ้มตอบว่า “เจตนาดีของท่านแม่ทัพ ผู้น้อยขอน้อมรับ” กล่าวจบก็พลิกกายลงจากหลังม้า เดินคุยเล่นกับแม่ทัพผู้นั้นไปยังร้านริมทางแห่งนั้น
ราชองครักษ์หู่จีทั้งหลายแบ่งคนสองคนออกไปสำรวจร้านริมทางแห่งนั้นล่วงหน้าอย่างคล่องแคล่ว หนนี้ฮั่วฉงเดินทางออกมาจากติ้งไห่ ตามหลักราชองครักษ์หู่จีที่รั้งอยู่ติ้งไห่เพื่อติดตามฮั่วฉงเหล่านั้นก็มิมีเหตุผลจะอยู่ที่ติ้งไห่อีกต่อไป แต่คนส่วนใหญ่ในหมู่พวกเขาล้วนเป็นกำลังให้กองทัพตงไห่อยู่ คนจำนวนมากได้รับตำแหน่งแม่ทัพระดับกลาง หรือตำแหน่งสำคัญอย่างอื่นแล้ว หากถอนตัวออกมาในคราเดียวย่อมส่งผลต่อกำลังรบของกองเรือตงไห่อย่างเลี่ยงมิได้ ดังนั้นก่อนเจียงเจ๋อเรียกฮั่วฉงกลับจึงถวายหนังสือถึงจักรพรรดิต้ายง ย้ายองครักษ์เหล่านั้นไปรับตำแหน่งในกองเรือตงไห่เสีย
นอกจากราชองครักษ์หู่จีสี่คนที่มักจะตามอยู่ข้างกายฮั่วฉงตอลดเวลา คนที่เหลือล้วนอยู่ต่อที่ติ้งไห่ แม่ทัพผู้คุมการขนเสบียงคนนั้นมิทราบฐานะของฮั่วฉงชัดเจนนัก แต่เห็นเด็กหนุ่มคนนี้มีราชองครักษ์หู่จีคอยติดตามอารักขาก็ทราบความสำคัญของเขาแล้ว ดังนั้นระหว่างทางจึงนอบน้อมและให้เกียรติอย่างยิ่ง ส่วนฮั่วฉงก็ฉวยโอกาสสืบถามสถานการณ์ฝั่งสวีโจวมากมาย
นับตั้งแต่รัชศกหลงเซิ่งปีที่แปด หลังจากกองบัญชาการศึกเจียงหนานก่อตั้งค่ายใหญ่ขึ้นในสวีโจว ทหารกองหนุนหลายแสนนายก็คุมไหวเป่ยไว้ดั่งปราการเหล็ก สามปีที่ผ่านมาเกิดศึกใหญ่หลายหน ดินแดนเจียงไหวโลหิตนองเป็นสายน้ำ แม่ทัพของทั้งสองฝ่ายต่างเค้นความคิดทุกหยาดหยดมาใช้ นอกสนามรบ สายลับเดินทางขึ้นเหนือลงใต้มิขาดสาย แม้แต่สวีโจวก็ยากจะหลบเลี่ยงการแทรกซึมของสายลับหนานฉู่และผู้กล้าจากยุทธภพ
สวีโจวมีทั้งฉีอ๋องหลี่เสี่ยนและรัชทายาทหลี่จวิ้นบัญชาการ มือสังหารจึงปรากฏตัวมิหยุดหย่อน ดังนั้นเมืองสวีโจวจึงเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพและคุ้มกันอย่างเข้มงวด
ฝ่ายเจียงเจ๋อ อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ทำให้ฮั่วฉงต้องคอยเป็นห่วง เวลานี้กลับมิได้อยู่ในสวีโจว แม้เจียงเจ๋อเป็นเสนาธิการของกองบัญชาการศึกเจียงหนาน แต่เหมือนเขาจะมิสนใจเรื่องใหญ่เกี่ยวกับการศึกสงครามนัก สามปีที่ผ่านมาเขามิเพียงเดินทางกลับนครหลวงต้ายงหลายหน ยามปกติก็ใช้เวลามากกว่าครึ่งอยู่ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำของจิงเซียงและไหวเป่ย บ้างก็ล่องเรือบนทะเลสาบเวยซาน บ้างก็ขึ้นเขาซงซานไปเยี่ยมวัด บางก็เที่ยวแม่น้ำฮั่นชมขุนเขา น้อยครั้งนักจะถามไถ่เรื่องราวของสงคราม แต่จักรพรรดิต้ายงกลับผ่อนปรนให้เจียงเจ๋ออย่างที่มิเคยปรากฏมาก่อน
พระองค์มิเพียงมิลงโทษ ตรงกันข้ามกลับเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้เขา ยามนี้เจียงเจ๋อมีศักดิ์สูงเป็นถึงฉู่กั๋วโหวแล้ว
เรื่องนี้ทำให้คนมากมายตาแดงก่ำเพราะความอยุติธรรม แม้แต่ฮั่วฉงเอง ถึงจะทราบว่าเจียงเจ๋อได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เพราะคุณงามความชอบครั้งใหญ่ตอนรัชศกหลงเซิ่งปีที่แปด แต่การที่เจียงเจ๋อทำตัวตามตามสบายเช่นนี้ก็ทำให้เขาค่อนข้างไม่เข้าใจอยู่เหมือนกัน การยื่นดาบให้ผู้อื่นเช่นนี้ มิใช่เรื่องที่อาจารย์คนนี้ของตนจะกระทำเสียหน่อย
ในใจฮั่วฉงครุ่นคิดร้อยพันตลบ แต่บนใบหน้ากลับมิเผยสีหน้าออกมา เขายิ้มแย้มสนทนากับแม่ทัพผู้นั้นพลางเดินไปยังร้านริมทางที่กว้างขวางสะอาดสะอ้านอย่างร่าเริง ครั้นเลิกม่านเดินเข้าไปในประตูร้าน แม่ทัพผู้นั้นก็ตั้งท่าจะตะโกนเรียกผู้ดูแลร้าน ทว่าพริบตาที่กวาดสายตามอง ร่างกายก็สะท้านเฮือก ชะงักนิ่งไปทันที
ฮั่วฉงที่เดินอยู่ด้านหลังเห็นแล้วว่าแม่ทัพผู้นั้นท่าทางไม่ปกติ แต่สายตาของเขาถูกร่างกายของคนผู้นั้นบังอยู่ จึงมองไม่เห็นว่าภายในร้านมีสิ่งใดผิดปกติ ทว่าเขาก็ก้าวถอยหลังก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ ราชองครักษ์หู่จีสองคนที่ตามมาด้านหลังเขาก็ขยับเข้ามาก้าวหนึ่ง ปกป้องเขาอยู่กลายๆ
หากภายในร้านมีเหตุมิคาดฝันอันใด ราชองครักษ์หู่จีสองนายที่เข้าไปก่อนก็สมควรจะส่งสัญญาณเตือนมาแล้วถึงจะถูก ในใจฮั่วฉงฉงน ดวงตาสุกใสมองเข้าไปด้านใน ตอนนี้เองแม่ทัพผู้นั้นก็รีบร้อนก้าวเข้าไปสองก้าวแล้วคุกเข่าคำนับกับพื้น เอ่ยขึ้นว่า “ผู้น้อยเซวียเฉวียนจงคารวะท่านโหว มิทราบว่าท่านโหวอยู่ที่นี่ โปรดอภัยที่ผู้น้อยบุกเข้ามาตามอำเภอใจ”
พอได้ยินคำนี้ ฮั่วฉงพลันรู้สึกว่าในสมองมีเสียงระเบิดดังกึกก้อง ร่างกายคล้ายจะแข็งทื่อ สายตามองผ่านแม่ทัพที่หมอบคารวะอยู่คนนั้นเข้าไปด้านใน แล้วเขาก็เห็นบนเก้าอี้ตรงกลางร้านมีคนที่ตนเองคุ้นเคยอย่างยิ่งสองคนนั่งอยู่ ชายหนุ่มดวงหน้าขาวผ่องประหนึ่งหิมะที่แม้เทียบกับเมื่อสามปีก่อนหน้าตาจะเปลี่ยนไปอยู่บ้างแต่ก็ยังคงอ่อนเยาว์ดุจเดิมคนนั้น มิใช่เงามารหลี่ซุ่นผู้คอยรับใช้ท่านอาจารย์ตลอดเวลามิยอมผละไปไหนหรอกหรือ
ส่วนบุรุษอาภรณ์สีเขียวยาวระพื้น เส้นผมสีเทาจอนผมสีขาว บนใบหน้ามีริ้วรอยแห่งความตรากตรำเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่สองตากลับลึกล้ำอ่อนโยนมากกว่าเดิมคนนั้น มิใช่ท่านอาจารย์ที่จากกันมาหลายปีหรอกหรือ
บุรุษคนนั้นเอื้อมมือออกมาแสร้งประคองให้แม่ทัพคนนั้นลุกขึ้น หลังจากนั้นสายตาจึงหันมายังประตูร้านแล้วยิ้มกล่าวขึ้นว่า “ฉงเอ๋อร์ มิพบหน้ากันสามปี เจ้าจำอาจารย์มิได้แล้วหรือ เสียทีอาจารย์ตั้งใจมาต้อนรับเจ้าด้วยตนเอง”
ฮั่วฉงมองดวงตาล้ำลึกที่เต็มไปด้วยแววตาชื่นชมและพึงพอใจคู่นั้น ฉับพลันก็รู้สึกว่าความวิตกกังวลใจกับความหวาดกลัวที่รัดพันหัวใจมาหลายวันมลายหายไปไร้ร่องรอยในชั่วพริบตาประหนึ่งหิมะต้องแสงตะวัน เขาข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในหัวใจมิได้อีกต่อไป ถลาไปตรงหน้าบุรุษผู้นั้นแล้วุกเข่าคารวะกับพื้น สะอื้นเอ่ยว่า “ศิษย์คารวะอาจารย์ ท่านอาจารย์ที่ผ่านมาสบายดีหรือไม่”
เสียงพูดยังมิทันจบ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าก็ร่วงลงบนฝุ่นดิน
ข้าเห็นหัวไหล่สองข้างของฮั่วฉงสั่นระริกคล้ายกำลังฝืนหักห้ามความรู้สึกหวั่นไหวของตนเอง ในใจข้าก็สั่นไหว ยามนี้ข้ารู้สึกผิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ หลายปีที่ผ่านมาข้าจงใจทำให้ศิษย์รักคนนี้ต้องกล้ำกลืนความทุกข์ใจ เขาอายุยังน้อยก็ต้องแบกรับแรงกดดันเช่นนี้ ทำให้เขาลำบากแล้วจริงๆ
ข้าก้าวเข้าไปประคองเขาลุกขึ้นแล้วจูงมานั่ง พลางยิ้มแย้มตอบว่า “สบายดี แม้หลายปีนี้จะลำบากเจ้าแล้ว แต่คนทั่วไปยากนักจะมีโอกาสเช่นนี้ อายุเท่าเจ้าก็ได้ปกครองดินแดนแห่งหนึ่ง ไห่เทาส่งจดหมายมาบอกว่าเจ้าช่วยเขาในเรื่องการรบได้ดียิ่งนัก การปกครองผู่ถัวก็ทุ่มเทความคิดสุดความสามารถ เขายังอยากจะเสนอเจ้าให้ได้รับตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการอยู่เลย แต่ข้าบอกปัดแทนเจ้าแล้ว หลายปีนี้เพียงจะให้เจ้าฝึกฝนฝีมือสักหน่อย ให้เจ้าคุ้นเคยกับงานทั่วไปสักหน่อยเท่านั้น หากจะออกไปเป็นขุนนางนั่นมิจำเป็น อยู่ข้างกายข้าร่ำเรียนอีกสักหลายปี ถึงเวลาก็ไปช่วยเหลือรัชทายาทดูแลการปกครองบ้านเมืองโดยตรงได้เลย หากรับตำแหน่งขุนนางมาตอนนี้กลับจะยุ่งยากเสียเปล่า”
ฮั่วฉงได้ยินคำพูดอันจริงใจของอาจารย์ ความวิตกกังวลที่เดิมซ่อนอยู่ในใจก็ค่อยๆ จางหาย เขาปาดคราบน้ำตา ตอนนี้จึงเพิ่งค้นพบว่าในร้านเหลือเพียงเจียงเจ๋อ หลี่ซุ่นกับตนเอง คนที่ไม่เกี่ยวข้องคนอื่นล้วนถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ เว้นที่ว่างไว้ให้พวกเขาศิษย์อาจารย์สนทนากัน
ส่วนหลี่ซุ่น ฮั่วฉงย่อมทราบว่าคนผู้นี้ประหนึ่งเป็นร่างเดียวกับอาจารย์ เขาอยู่ตรงนี้มิได้เป็นอุปสรรคอันใด ฮั่วฉงสงบจิตใจครู่หนึ่ง ก็ถามคำถามที่เก็บไว้ในใจเนิ่นนานออกมา “ท่านอาจารย์ ศิษย์ได้ข่าวสงครามตอนอยู่ในติ้งไห่ ในใจนึกฉงนมาเนิ่นนาน ซุนวูกล่าวว่า สงครามเป็นเรื่องใหญ่ของแว่นแคว้น เป็นสิ่งตัดสินความเป็นความตาย เป็นหนทางสู่การอยู่รอดหรือล่มสลาย ไม่ไตร่ตรองมิได้
ท่านอาจารย์แตกฉานตำราพิชัยสงคราม สมควรรู้ว่าการทำสงครามยืดเยื้อทำร้ายแผ่นดินและประชาชน หากเอาชนะได้ก็สมควรรีบจบศึกให้เร็ว หากมิอาจเอาชนะได้ก็สมควรวางธงเลิกตีกลองรบ ฝึกฝนทหารเลี้ยงอาชารอคอยโอกาส ท่านอาจารย์ได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท เหตุใดจึงมิทุ่มสุดกำลังทัดทานฝ่าบาทให้หยุดรบ หรือไม่ก็ผลักดันให้ปราบหนานฉู่ในเฮือกเดียวเล่า”
ข้าฟังแล้วก็ยิ้มละไมตอบว่า “ฉงเอ๋อร์ ผู้มีความรู้ในใต้หล้าต่างบอกว่าหนานฉู่ภายในอ่อนแอ แต่เหตุใดต้ายงบุกตีหลายหนแล้วกลับมิสำเร็จ เจ้ารู้เหตุผลของเรื่องนี้หรือไม่”
ฮั่วฉงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ชาวใต้มากกว่าครึ่งต่างมีนิสัยรักสงบ ชื่นชอบความรุ่งเรือง มิคิดจะเข้ามายึดจงหยวน หากกล่าวถึงกำลังรบของทั้งสองแคว้น นอกจากกองทัพแต่ละกองใต้บัญชาของแม่ทัพใหญ่ลู่ช่าน กำลังรบมากกว่าครึ่งที่เหลือก็มิแข็งแกร่ง กองทัพเราฝีมือยอดเยี่ยมหนึ่งสู้สิบได้ ดังนั้นหนานฉู่จึงไร้กำลังคุกคามต้ายง นี่จึงเป็นสาเหตุของคำกล่าวว่าภายในหนานฉู่อ่อนแอ
แม้เป็นเช่นนี้แต่แผ่นดินเจียงหนานร่ำรวย ดินอุดมสมบูรณ์นับพันลี้ มีแม่น้ำฉางเจียงกับไหวสุ่ยขวางกั้นกองทัพม้าเหล็กของแดนเหนือ แล้วยังมีสู่จงเป็นปราการของแม่น้ำฉางเจียงตอนบน เป็นประโยชน์ในด้านการป้องกัน
นับแต่โบราณมาเจ้าแคว้นที่ยึดดินแดนเจียงไหวเป็นปราการแล้วแบ่งแผ่นดินครึ่งหนึ่งฝั่งเจียงหนานไปครองมีมากมายนับไม่ถ้วน ขอเพียงเจ้าแคว้นหนานฉู่ครองใจประชาชน กุมปราการธรรมชาติอย่างดินแดนแถบเจียงไหวให้มั่น แล้วมียอดแม่ทัพอีกสักคนสองคนพิทักษ์ชัยภูมิสำคัญ รวมใจทหารให้เป็นหนึ่ง เท่านี้ก็ทำให้ต้ายงได้แต่มองฉางเจียงทอดถอนใจแล้ว
ยามนี้หนานฉู่ปกครองเจียงหนานมาหลายสิบปี แม้ยามนี้ขุนนางกุมอำนาจการปกครอง แต่สถานการณ์ในราชสำนักก็ยังนับว่ามั่นคง การเก็บภาษีมิได้หนักหนา ประชาชนยังพออยู่อย่างสงบสุขได้ จิตใจของประชาชนยังมีที่พึ่ง แล้วยังมีแม่ทัพใหญ่ลู่ยอดแม่ทัพเช่นนี้ขัดขวางกองทัพเราบุกลงใต้อีก ด้วยสาเหตุเหล่านี้สงครามจึงยืดเยื้อมาหลายปี บุกหลายหนแต่มิสำเร็จ”
ข้าลอบพยักหน้า หลายปีนี้ฮั่วฉงก้าวหน้าขึ้นมากจริงๆ จากนั้นจึงถามอีกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ามองว่าสถานการณ์ในตอนนี้ สองฝ่ายผู้ใดเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่เล่า”