ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 84 แค้นใจเซียงหยาง (1)
สมัยแรกที่ท่านกงเป็นแม่ทัพ เขาบัญชาการทหารแถบสู่จงแทนบิดา แม้มิมีชื่อเสียงมากมาย แต่ทหารและประชาชนต่างเลื่อมใสคุณธรรมของเขา ต่อมาเขาช่วงชิงโอกาส สั่งสมทหารที่เจียงเซี่ย บัญชาการทหารในเจียงไหว กองทัพอาชาของแดนเหนือมิอาจบุกลงใต้
ยามนั้นอัครมหาเสนาบดีซั่งกุมอำนาจปกครอง มิคิดกรีฑาทัพบุกชิงดินแดน ลู่ช่านจึงได้แต่ยอมรับอย่างเงียบงัน รัชศกถงไท่ปีที่ห้า ลู่ช่านมิขอคำสั่ง ฉวยโอกาสยามดินแดนตงชวนของต้ายงเกิดความวุ่นวาย นำทหารม้าเกราะเบาบุกจู่โจมด่านจยาเหมิงสายฟ้าแลบ ตัดเส้นทางเข้าสู่ดินแดนสู่ของกองทัพต้ายง อัครมหาเสนาบดีซั่งได้ข่าว โกรธเกรี้ยวตำหนิเขาว่ายกกองทัพออกไปโดยไร้คำสั่ง
ท่านกงตอบอย่างตรงไปตรงมา ‘ลู่ช่านสืบทอดบรรดาศักดิ์จากบิดา แบกรับภาระหน้าที่สำคัญตามคำสั่งเสีย การปกครองในราชสำนักล้วนมอบให้ท่านเสนาบดี แต่เรื่องสำคัญเกี่ยวกับศึกสงครามเป็นงานของข้า หากรอราชสำนักมีคำสั่ง โอกาสย่อมหลุดลอยไปแล้ว!’
อัครมหาเสนาบดีซั่งได้ยินดังนั้นจึงเปลี่ยนท่าที ทว่าความจริงแล้วในใจหวาดระแวงเขาอยู่
รัชศกถงไท่ปีที่สิบเอ็ด จักพรรดิต้ายงอ้างเรื่องเล็กน้อยเป็นเหตุให้กรีฑาทัพ กองทัพใหญ่บุกมาสามทาง แยกกันจู่โจมจิงเซียง ไหวซีและไหวตง ดินแดนไหวตงตกอยู่ในกำมือข้าศึก กองทัพต้ายงยึดครองหยางโจว หมายตาเจียงหนาน ท่านกงนำกองเรือมาปกป้องจิงโข่วด้วยตนเอง ทั้งยังส่งลู่อวิ๋นบุตรชายคนโตเดินทางไปเมืองโซ่วชุนช่วยสือกวนพิทักษ์ไหวซี
กองทัพต้ายงเป็นดังท่านกงคาดการณ์ พวกเขาฉวยช่องว่างจู่โจมไหวซี โซ่วชุนทำสงครามดุเดือดอยู่สิบกว่าวัน เมื่อทหารและชาวบ้านทั้งหลายทราบว่ามีลู่อวิ๋นอยู่ด้วย พวกเขาต่างกล่าวว่า ‘แม่ทัพใหญ่ต้องมิทอดทิ้งพวกข้า ป้องกันไว้อย่าได้ถอย’
กองทัพต้ายงรบเป็นเวลานานจึงอ่อนล้า ถูกค่ายทหารม้าเฟยฉีตีแตกพ่าย ไหวซีจึงปลอดภัย ไหวซีได้ชัยชนะครั้งใหญ่ ท่านกงจึงฉวยโอกาสเพิ่มกำลังเสริมฝั่งหยางโจว ในค่ำคืนหิมะโปรยปรายตีกองทัพต้ายงแตกพ่ายที่ท่าเรือกวาโจว ชนะศึกใหญ่ติดต่อกัน ช่วงชิงไหวตงกลับมาได้
ท่านกงใช้กำลังของตนเองเพียงลำพังกอบกู้วิกฤติ หลายปีต่อจากนั้นต้ายงกับหนานฉู่ทำสงครามใหญ่ ภัยสงครามลุกลามพันลี้ กองทัพต้ายงแม้แข็งแกร่ง แต่สุดท้ายก็มิอาจข้ามแม่น้ำ ท่านกงทำศึกพันลี้ รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ผู้คนวิจารณ์กันว่าในหมู่ยอดแม่ทัพทั่วใต้หล้า ท่านกงคืออันดับหนึ่ง
ค่ายทหารม้าเฟยฉี เริ่มก่อตั้งเมื่อรัชศกถงไท่ปีที่ห้า แรกเริ่มท่านกงมีปณิธานจะบุกยึดดินแดน แต่กังวลว่าเจียงหนานมีทหารม้าชั้นยอดน้อย มิอาจสู้กองทัพต้ายงได้ จึงปรารถนาจะก่อตั้งค่ายทหารม้าที่เจียงไหว แต่ถูกขุนนางในราชสำนักขัดขวาง ท่านกงจนหนทาง ต้องหยิบยืมพื้นที่เซียงหยางฝึกฝนทหารเป็นการลับ หรงเยวียนสงสัยว่าท่านกงต้องการแย่งชิงอำนาจทหารในเซียงหยางจึงลอบขัดขวางท่านกง ทั้งสองคนเกิดความบาดหมาง
ต่อมาท่านกงบุกจู่โจมด่านจยาเหมิงสำเร็จ สู่จงตกอยู่ในกำมือ เขาจึงฝึกฝนทหารม้าชั้นยอดอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ตั้งนามว่าค่ายเฟยฉี ในศึกที่ไหวซี พวกเขาสร้างชื่อเลื่องลือทั่วหล้า ท่านกงให้ความสำคัญกับค่ายเฟยฉียิ่งนัก แม่ทัพของค่ายทหารม้าทุกนายล้วนคัดเลือกด้วยตนเอง ทุกคราที่หยุดพักรบล้วนสั่งให้แม่ทัพและเหล่าทหารสวมเกราะฝึกฝนการขี่ม้ายิงธนู มิว่ารางวัลหรือบทลงโทษล้วนเข้มงวด แม้แต่บุตรชายของตนก็มิละเว้น ทหารม้าชั้นยอดของค่ายเฟยฉีมิด้อยกว่าทหารม้าเหล็กของต้ายง ศึกสงครามอันดุเดือดในไหวซีล้วนพึ่งค่ายเฟยฉีเป็นส่วนมาก
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน ประวัติจงอู่กง
ฮั่วฉงกระจ่างใจแล้ว ข้อสงสัยในใจตอนเดินทางออกจากติ้งไห่ได้รับคำตอบ เขาเอ่ยปากถาม “ท่านอาจารย์ อวิ๋นจื่อซานที่ช่วยกองกำลังอาสาของหนานฉู่ก่อสร้างป้อมอุโมงค์ใต้ดินที่อู๋เย่ว์เป็นคนที่ท่านอาจารย์ส่งไปใช่หรือไม่”
ข้าเพียงยิ้มแต่มิตอบ เลิกคิ้วส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ ฮั่วฉงยิ่งมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตนเอง กล่าวต่อว่า “ศิษย์ทราบจากจิ้งไห่กงว่าอู๋เย่ว์มียอดคนมาช่วยเหลือ ในใจรู้สึกว่าแปลกพิกล ท่านอาจารย์ค่อนข้างมีอำนาจในเจียงหนาน หากมิใช่เช่นนั้นก็คงมิอาจเดินทางจากอู๋เย่ว์มายังเจียงไหวได้อย่างง่ายดาย
หากอู๋เย่ว์มีผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างปรากฏตัวขึ้นมาจริง ท่านอาจารย์มิมีทางไม่ทราบ อาจารย์เป็นผู้จุดสงครามในอู๋เย่ว์ขึ้นมา หากทราบว่ามีคนขัดขวางการใหญ่ของท่าน อาจารย์ย่อมมินิ่งดูดายให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ด้วยขุมกำลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในหนานฉู่ของท่านอาจารย์ มิมีทางปล่อยให้อวิ๋นจื่อซานผู้นั้นอวดดีได้ถึงเพียงนี้ ดังนั้นศิษย์จึงเดาว่าคนผู้นั้นกับท่านอาจารย์ต้องมีความเกี่ยวข้องกันบางประการ
ท่านอาจารย์ปิดบังเรื่องของลูกศิษย์ไว้มิดอย่างยิ่งมาตลอด คนนอกรู้จักแต่นามหวังจี้ ไห่หลี หลิวหวา ลู่เอ่อร์ รู้ว่าพวกเขาล้วนเป็นลูกศิษย์ในนามของท่านอาจารย์ แต่น้อยคนนักจะล่วงรู้ว่าสี่คนนี้มีนามที่แท้จริงคือชื่อจี้ เต้าหลี หัวหลิว ลี่ว์เอ่อร์
บัณฑิตผู้เล่าเรียนตำรามากกว่าครึ่งล้วนเคยอ่านเรื่องราวของแปดอาชาของมู่อ๋อง[1] ดังนั้นศิษย์จึงเดาว่าพวกชื่อจี้ที่เป็นลูกน้องในสังกัดของอาจารย์คงมีทั้งหมดแปดคน อวิ๋นจื่อซานก็คงจะเป็นคนที่ห้าในนั้น แม้อาจารย์มิเคยเล่ารายละเอียดให้ศิษย์ฟัง แต่ศิษย์ทราบว่าท่านอาจารย์แตกฉานวิชากลไกและการโยธาอยู่มิน้อย คนผู้นั้นคงจะสืบทอดวิชาด้านนี้ของท่านอาจารย์มากระมัง”
ข้ายิ้มละไม ตอบว่า “คำพูดนี้ของเจ้า หากผู้อื่นมาได้ยิน ไฉนมิคิดว่าข้าทรยศต้ายงลอบช่วยแคว้นศัตรู โทษทัณฑ์นี้มิเบานะ”
ฮั่วฉงแย้มยิ้มตอบว่า “หากปรารถนาสิ่งหนึ่ง ต้องมอบสิ่งหนึ่งให้เสียก่อน ท่านอาจารย์ให้ศิษย์พี่ผู้นั้นลอบช่วยเหลือกองกำลังอาสา แม้จะทำให้กองเรือตงไห่ยากจะปล้นชิงสิ่งของจากอู๋เย่ว์ได้อีก แต่กลับลดทอนความมุ่งมั่นในการต่อสู้ของกองกำลังอาสา หากแต่ละคนล้วนหลบอยู่ในอุโมงค์หลีกเลี่ยงสงคราม ไฉนมิใช่ปล่อยให้กองทัพเราไปมาได้ดั่งใจ ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อคนที่สร้างอุโมงค์เป็นคนของฝั่งเรา แผนผังเพียงแผ่นเดียวก็ทำให้กองทัพเราเสาะหาสิ่งที่ต้องการจากแผนที่ได้แล้ว
แต่ข้าคิดว่าท่านอาจารย์ไม่แน่ว่าจะมีความตั้งใจเช่นนี้ สงครามที่อู๋เย่ว์น่าจะไม่อยู่ในสายตาของท่านอาจารย์ ในเมื่อท่านอาจารย์ใช้เซียงหยางเป็นเหยื่อล่อ ก็คงปล่อยให้กองกำลังอาสาของอู๋เย่ว์เป็นฝ่ายได้เปรียบ เพื่อให้แม่ทัพลู่ขึ้นเหนืออย่างสบายใจกระมัง”
ข้าได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบาตอบว่า “ข้าใช้เวลาสามปีบีบให้ลู่ช่านเข้ามาในแผนการของข้า วันนี้สถานที่เดียวที่เขาจะทำลายสงครามยืดเยื้อได้ก็คือเซียงหยาง ลู่ช่านต้องคิดมิถึงแน่ว่าสงครามยืดเยื้อที่อู๋เย่ว์เป็นสิ่งที่ข้าวางแผนขึ้นมา
เมื่อไม่มีห่วงข้างหลัง เขาย่อมมุ่งมั่นกับการบุกยึดเมือง เจียงไหวมีฉีอ๋องบัญชาการอยู่ ต่อให้เขามีความสามารถจนสวรรค์ตะลึงก็มิมีทางสร้างผลงานยิ่งใหญ่อะไรนักได้ มีแต่แถบจิงเซียง แม้มีจ่างซุนจี้คุ้มกัน แต่แลดูอ่อนแออยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นนับตั้งแต่หรงเยวียนเสียเซียงหยาง ก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมิลืมความอัปยศหนนี้ หากลู่ช่านจะยึดเซียงหยาง หรงเยวียนต้องขันอาสาเป็นคนแรกแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นในการชิงชัยระหว่างเหนือใต้ เซียงหยางเป็นเมืองสำคัญทางการทหาร แม้ลู่ช่านมองแผนการของข้าออกก็มิอาจมิยึดเซียงหยาง หากมิฉวยโอกาสนี้ขึ้นเหนือ เกรงว่าคงมิมีโอกาสดีเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว”
ฮั่วฉงถามอย่างสงสัย “แต่ศิษย์กลับมิเข้าใจ เหตุใดเซียงหยางจึงเป็นลมบูรพาของท่านอาจารย์ไปได้เล่า”
ข้าเหลือบมองเขาแล้วตอบเสียงราบเรียบ “เจ้าติดตามอยู่ข้างข้ามา ย่อมทราบว่าสิ่งใดคือลาภเคราะห์อยู่คู่กัน”
ฮั่วฉงได้ยินคำนี้ก็เอ่ยอย่างหม่นหมอง “ศิษย์ปรารถนาว่าชั่วชีวิตจะมิต้องเห็นท่านอาจารย์กับแม่ทัพลู่ผู้เป็นศิษย์อาจารย์เข่นฆ่ากัน แม้นท่านอาจารย์ได้ชัยชนะก็เกรงว่าคงมิมีความยินดีแม้แต่น้อย”
แต่เดิมข้ากำลังจะเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาบนโต๊ะ พอได้ยินคำนั้น มือก็สั่นวูบหนึ่ง น้ำชากระฉอกออกมา ผ่านไปเนิ่นนานข้าจึงกล่าวอย่างเรียบเฉย “เจ้ายังไม่เข้าใจนิสัยของลู่ช่าน หากเอาชีวิตข้าได้ เขาจะไม่มีทางลังเลแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น จิตใจที่เขาเคารพรักข้าก็จะมิลดทอนลงสักส่วน
ส่วนข้าในเมื่อตัดสินใจลงใต้มาแล้วย่อมมิมีทางยั้งมือไว้ไมตรีต่อเขาอีก ทว่าเขาก็จะยังเป็นลูกศิษย์ที่ข้ารักตลอดไป ฉงเอ๋อร์ หากเจ้าทรยศข้า ข้าจำต้องสังหารเจ้าด้วยมือตนเอง แต่หากเจ้ามีเรื่องทุกข์ใจประการใด ขอเพียงเจ้าบอก ข้าจะช่วยแบ่งเบาให้เจ้า”
ฮั่วฉงฟังจบ หัวใจพลันสั่นสะท้าน สีหน้าซีดขาว แต่กลับปิดปากเงียบมิเอ่ยคำใด ใบหน้าปรากฏสีหน้าดื้อรั้น
เสี่ยวซุ่นจื่อลุกขึ้นหลบไปด้านข้างตั้งแต่ที่ข้าเริ่มสนทนากับฮั่วฉงแล้ว แม้อยู่ในระยะไม่กี่จั้ง แต่มิว่าพวกเราสองคนจะเสียงเบาอีกเท่าใด เขาล้วนได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง ทว่าอย่างน้อยในฉากหน้าเขาก็ต้องการให้พื้นที่ศิษย์อาจารย์สองคนได้จับเข่าคุยกันเป็นการส่วนตัว
เวลานี้เมื่อเห็นฮั่วฉงมิคิดถึงจิตใจของคุณชาย ดื้อรั้นปิดปากเงียบ ใบหน้าของเขาก็ปรากฏจิตสังหารวูบหนึ่ง บรรยากาศภายในร้านคล้ายจะเย็นยะเยือกหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน
ฮั่วฉงแต่เดิมก็เป็นคนความรู้สึกไวอยู่แล้ว จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเส้นขนด้านหลังลำคอลุกชัน จึงทราบทันทีว่าเสี่ยวซุ่นจื่อคงเกิดความคิดจะสังหารคนขึ้นมาแล้ว แต่เขาเองก็เป็นคนแน่วแน่ แม้แรงกดดันจะถาโถมเข้าใส่ แต่เขาก็แน่วแน่ในความคิดของตนเอง มิแสดงความอ่อนแอออกมาแม้แต่น้อย
ข้าเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจ สุดท้ายเด็กคนนี้ก็ยังมิยอมบอกเรื่องที่อยู่ในใจตนเองออกมา ทั้งที่ทราบว่าเพียงคำพูดประโยคเดียวของข้าก็ส่งเขาเนรเทศไปยังดินแดนห่างไกลอีกหน หรือแม้กระทั่งเอาชีวิตเขาได้ แต่เขาก็ยังดื้อรั้นเช่นนี้
แม้จะเสียใจอยู่บ้างที่เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เชื่อใจข้าแม้แต่น้อย แต่เห็นเขาเป็นเช่นนี้ สุดท้ายข้าก็ใจแข็งทำให้เขาลำบากใจไม่ลง จึงเพียงยิ้มละไมบอกว่า “ช่างเถิด เรื่องเหล่านี้ค่อยพูดกันใหม่วันหลัง เจ้าตามข้าไปเซียงหยางก็แล้วกัน”
ฮั่วฉงพลันรู้สึกว่าร่างกายโล่ง จิตสังหารประหนึ่งเกลียวคลื่นหดถอยไปกะทันหัน เขาอดกลั้นมิไหวยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก สายตาหันไปมองเจียงเจ๋อ ในใจคิดว่า บางทีอีกไม่นานเท่าไร ตนก็คงมิมีโอกาสติดตามรับใช้อาจารย์อีกแล้ว แต่มิทราบว่าถึงยามท่านอาจาย์จัดการตนเอง จะลงมืออย่างไร้ความเห็นใจ แต่ในหัวใจยังเหลือความผูกพันระหว่างศิษย์กับอาจารย์เฉกเช่นที่มีต่อลู่ช่านหรือไม่
แทบจะในเวลาเดียวกับที่เจียงเจ๋อกับฮั่วฉงสองศิษย์อาจารย์ได้พบกันอีกหน เหนือแม่น้ำฮั่นนอกเมืองเจียงหลิง ยอดแม่ทัพสองคนของกองทัพหนานฉู่กำลังเจรจากันเป็นการลับอยู่บนเรือโหลวฉวนลำหนึ่ง คนหนึ่งในนั้นก็คือลู่ช่าน ส่วนอีกคนหนึ่งคือหรงเยวียนแม่ทัพผู้พิทักษ์เจียงหลิง
ระยะเวลาห่างจากตอนที่เซียงหยางเสียเมืองมิถึงสามปี แต่หรงเยวียนกลับแก่ชราซูบเซียวลงมาก แม้จะอยู่ต่อหน้าผู้บัญชาการอันดับหนึ่งแห่งกองทัพหนานฉู่ แต่สีหน้าของเขากลับเฉยชาและห่างเหิน ในขณะที่สีหน้าของลู่ช่านสุขุมเยือกเย็น แต่ดวงตากลับฉายความจริงใจ
หรงเยวียนเงียบงันอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างเย็นชา “การยึดเซียงหยางกลับมาเป็นเรื่องที่ผู้แซ่หรงปรารถนาแม้แต่ในยามฝัน ในเมื่อแม่ทัพใหญ่มีความตั้งใจเช่นนี้ ผู้แซ่หรงก็มิกล้าขัดบัญชา เพียงแต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ท่านแม่ทัพกลับจะปิดบังราชสำนัก มิกังวลว่าเจ้าแคว้นจะลงโทษหรือไร”
[1]โจวมู่อ๋อง เจ้าแคว้นโจวลำดับที่ห้าของราชวงศ์โจวตะวันตก