ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 86 แค้นใจเซียงหยาง (3)
แม้ฮั่วฉงรู้ดีแก่ใจ แต่หัวใจก็ยังคงหนาวยะเยือก ลังเลครู่หนึ่งก็ถามว่า “ในเมื่อท่านอาจารย์คิดจะใช้ปัญหาภายในอย่างความมิลงรอยของแม่ทัพมาจัดการแม่ทัพใหญ่ลู่ตั้งแต่แรก เหตุไฉนจึงอดทนรอมาถึงสามปีมิยอมลงมือ”
ข้าโอดครวญเสียงเบา “ข้าหรือจะมิอยากปราบหนานฉู่ให้ได้เร็วขึ้นหน่อย” หลังจากนั้นจึงตอบว่า “โอกาสยังมามิถึง แม้ความขัดแย้งภายในจะปะทุขึ้นมาแต่ก็มิอาจทำร้ายถึงเส้นเอ็นกระดูก ระหว่างสงครามอันรุนแรงสามปี ลู่ช่านใช้กำลังของตนเพียงคนเดียวต่อต้านไพร่พลมากกว่าหลายเท่าของกองทัพต้ายง เขาในยามนี้เป็นเทพสงครามแห่งหนานฉู่ ครองใจทหารและประชาชนมากมาย มีเพียงก่อเรื่องในเวลานี้เท่านั้นจึงจะลดทอนความมุ่งมั่นของทหารและประชาชนหนานฉู่ได้มากที่สุด
หากลงมือก่อน แม้นลู่ช่านจะตาย แต่กองทัพหนานฉู่ก็อาจจะตกอยู่ในสภาพแตกแยกเท่านั้น พวกเขาจะยังมิเลิกต่อต้านกองทัพของเรา ไฟสงครามจะดำเนินต่อไปอีกสิบกว่าปี ยิ่งไปกว่านั้นหากใช้แผนการนี้ระหว่างที่ซั่งเหวยจวินกับลู่ช่านยังเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองแทนเจ้าแคว้นอยู่ ต่อให้ซั่งเหวยจวินตั้งใจจะจัดการลู่ช่าน ลู่ช่านก็คงมิยอมก้มหัว
แต่วันนี้มิเหมือนกันแล้ว จ้าวหล่งขึ้นปกครองบ้านเมืองเอง ราชโองการของเขาคือพระบัญชาของเจ้าแคว้นอย่างแท้จริง นอกเสียจากลู่ช่านตั้งใจคิดกบฏ เขามิมีทางกล้าขัดขืนอย่างเปิดเผยเป็นอันขาด”
ฮั่วฉงถอนหายใจแผ่วเบาตอบว่า “ถึงแม่ทัพใหญ่จะมีคุณงามความชอบพิทักษ์แผ่นดิน แต่ในสายตาของซั่งเหวยจวินกับเจ้าแคว้นหนานฉู่ เขากลับเป็นเพียงขุนนางมากอำนาจที่ในมือกำทหารมากมายเอาไว้ เอาแต่หวาดกลัวว่าเขาจะสั่นคลอนอำนาจแคว้นของตระกูลจ้าว หากสองแคว้นสงบไร้สงคราม ยามแม่ทัพไร้ประโยชน์ น่ากลัวว่าแม่ทัพใหญ่คงยากหนีพ้นชะตากรรมวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน แต่ยามนี้ไฟสงครามของสองแคว้นกำลังลุกโหม ราชสำนักหนานฉู่น่าจะมิถึงกับทำลายหเสาหลักของตนเองกระมัง”
ดวงตาของข้าทอประกายวูบแล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่าย่อมมิวิธีการทำให้เจ้าแผ่นดินกับขุนนางหนานฉู่วางใจ ตอนนี้ยังมิจำเป็นต้องอธิบายมาก ป้องกันอย่าให้เขายึดกู่เฉิงสำเร็จก่อนเถิด”
เสี่ยวซุ่นจื่อได้ยินก็เอ่ยเสียงเย็นชา “ในเมื่อคุณชายทราบถึงอันตรายในการป้องกันเมือง เหตุไฉนยังจะอยู่ที่กู่เฉิงเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่อีก หากพูดถึงการบัญชาทัพทำศึก ลู่ช่านเป็นยอดแม่ทัพอันดับหนึ่งอันดับสอง คุณชายคิดว่าเขาจะยั้งมือไว้ไมตรีหรือไร”
ข้าถอนหายใจยาว “หากลู่ช่านยั้งมือไว้ไมตรี เขาก็คงมิใช่ลู่ช่านแล้ว แต่อันตรายหนนี้มิอาจมิเผชิญ หากมิทำเช่นนี้ จะทำให้ลู่ช่านยากจะแก้ตัวได้อย่างไรเล่า”
เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าอ่อนลงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “กองทัพศัตรูเริ่มบุกตีเมืองแล้ว คุณชายหลบไปอยู่ด้านในเมืองดีกว่า หอกดาบไร้ตา สถานที่อันตรายมิอาจรั้งอยู่นาน”
ข้าฟังเสียงตะโกนฆ่าฟันที่ลอยมาจากใต้กำแพงเมือง พอเห็นการตั้งกระบวนทัพรอรับศึกอย่างเข้มงวดของเหล่าทหารบนกำแพงก็ยิ้มละไมบอกว่า “แม้ข้าจะมิใช่แม่ทัพ แต่ก็มีศักดิ์เป็นโหว จะหลบเข้าไปในเมืองได้เช่นไร เสี่ยวซุ่นจื่อ ยกพิณโบราณของข้าออกมา ให้ข้าดีดบนกำแพงเมืองสักเพลงปลุกความฮึกเหิมให้เหล่าทหารทั้งหลายเสียหน่อย”
กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินขึ้นไปบนกำแพง เสี่ยวซุ่นจื่อถอนหายใจ สุดท้ายก็ยกพิณโบราณออกมา ข้าก้มลงมองจากเบื้องบน มองไปยังกองทัพหนานฉู่ที่บุกตีเมืองอย่างเยือกเย็นมิรีบร้อน รวมไปถึงเงาร่างเหยียดตรงองอาจสวมชุดเกราะทองอยู่ท่ามกลางพันทหารหมื่นอาชา
หลายปีที่ผ่านมา ดวงหน้าของเขาแก่ชราลงมาก บ่งบอกถึงความทุกข์ในจิตใจ กล่าวไปแล้วพวกเราก็มิได้พบหน้ากันมาสิบสามปีแล้ว
ข้าไล้สายพิณแผ่วเบา เสียงพิณเลือนรางคล้ายมีอยู่แต่เหมือนไม่มีลอยลงใต้กำแพงเมือง เสมือนธารารินไหลเกิดเป็นธารน้ำทอดยาวมิขาดสาย ละม้ายความเศร้าโศกของการพลัดพราก ข้าโยนสงครามชุลมุนที่อยู่ตรงหน้ากับกลอุบายทั้งหลายในใจทิ้งไปจนสิ้น จดจ่ออยู่แต่กับการบรรเลงพิณ มิขบคิดว่าจะใช้เสียงพิณปลุกขวัญกำลังใจของทหารฝ่ายตนเช่นไร หรือจะสลายความมุ่งมั่นของกองทัพศัตรูเช่นไร บรรเลงเพลงประดุจชมบุปผาในสวนเหมันต์ ประหนึ่งรับลมไล้สายพิณเหนือแม่น้ำฉางเจียง
ลู่ช่านที่บัญชาการกองทัพตีเมืองอยู่ใต้กำแพงเมืองขมวดคิ้วสองข้างจนเป็นปม เสียงพิณหลั่งริน อาบทั่วนภาและพสุธา เสียงท่วงทำนองทอดต่อเนื่องลอยเข้ามาในหู เขานึกแปลกใจ ไม่ต้องถามก็รู้ เวลานี้แล้วยังจะมีผู้ใดมีอารมณ์สุนทรีย์บรรเลงพิณอีก นอกจากอาจารย์ก็มิมีผู้อื่นแล้ว เพียงแต่ถึงแม้ท่านอาจารย์จะเข้าใจดนตรีแต่ไร้กำลังภายใน จะทำให้เสียงพิณรวมกลุ่มมิกระจายหายจนอึงอลทั่วท้องนภาเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่เขามิมีอารมณ์สนใจเรื่องนี้ เขาสั่งพลทหารในกองทัพให้ตีกลองเร่งจังหวะรบ เสียงกลองดังสนั่น ก้องฟ้าดินหมายกลบเสียงพิณ ทว่าเสียงพิณนั่นประหนึ่งสายลมอ่อนแทรกผ่านช่องว่าง ดั่งสายน้ำซึมผ่านเม็ดทราย แม้เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ แต่คงอยู่ตลอดมิขาดหาย แต่ละท่วงทำนองที่ลอยเข้าหูกระตุ้นให้จิตใจของลู่ช่านเหนื่อยล้า คล้ายกับว่าท้องนภาเบื้องหน้าถูกคนที่ดีดพิณอยู่ผู้นั้นวางตาข่ายล้อมไว้หมดสิ้น
เวลานี้ริมฝั่งแม่น้ำฮั่นมีเงาสองร่างยืนเงียบงันทอดสายตามองสงครามที่กำลังดุเดือดอยู่จากไกลๆ บุรุษคนหนึ่งในนั้นสวมอาภรณ์สีขาวประหนึ่งหิมะ คิ้วกระบี่ดวงตาดารา ท่วงท่าสง่างาม ยืนเอามือไพล่หลังวางสีหน้าเฉยชา
ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มอาภรณ์สีดำ หน้าตาหล่อเหลาองอาจแต่สีหน้าเย็นชา ในมือเขาถือถุงพิณ แววตาวาววับจ้องมองสนามรบที่โลหิตสาดกระเซ็น จิตสังหารและความกระหายอยากต่อสู้อันเข้มข้นล้นปรี่ออกมาจากทั่วร่าง
ชายหนุ่มอาภรณ์สีหิมะผู้นั้นฟังเสียงพิณพลางตริตรองอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “หากกล่าวถึงทักษะการบรรเลงพิณ สุยอวิ๋นด้อยกว่าข้าไกลนัก แต่สติปัญญาของเขากลับเหนือกว่าผู้คนถึงเพียงนี้ มิเพียงอาศัยสิ่งภายนอก แต่ยังทะลวงเข้าไปได้ถึงจิตวิญญาณ แม้แต่กำแพงเหล็กอันแข็งแกร่งก็ยากจะขัดขวางสกัดกั้น สองปีก่อนข้าเพิ่งบรรลุถึงขอบขั้นนี้ คิดมิถึงเขากลับดีดเสียงพิณเช่นนี้ออกมาได้เช่นกัน หลิงตวน ส่งพิณมา ข้าจะร่วมบรรเลงกับสุยอวิ๋นสักเพลง”
หลิงตวนเบ้ปาก แม้ยามนี้พรรคมารจะเป็นขุนนางและประชาชนของต้ายงแล้ว แต่สำหรับหลิงตวน เจียงเจ๋อผู้นั้นก็ยังเป็นคู่แค้นที่น่าชิงชังที่สุด มิใช่เพราะแผนการที่คนผู้นั้นวางทำให้แม่ทัพถานที่ตนเคารพที่สุดสู้รบจนตัวตายในสมรภูมิ เพราะแต่เดิมยามตายใช้หนังอาชาห่มร่างก็เป็นความปรารถนาของถานจี้อยู่แล้ว ทั้งยังมิใช่เพราะคนผู้นั้นหลอกใช้ตนเองจนทำให้แม่ทัพสือถึงแก่ความตาย แม้จะทราบแล้วว่าความตายของสืออิงเกิดจากแผนการร้ายของต้ายง แต่ถึงกระนั้นภาพความทรงจำอันเลวร้ายเกี่ยวกับสืออิงก็มิได้ลดน้อยลง
สำหรับเขาแล้วคนที่เขานึกถึงมิลืมเลือนมาตลอดก็คือหลี่หู่ คนโง่ผู้ไม่ดูตาม้าตาเรือคนนั้นที่ถูกเจียงเจ๋อสังหารเพราะสาเหตุอันน่าชังนั่น ในใจเจียงเจ๋อ ชีวิตคนตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้อย่างพวกตนคงมีค่าสู้มดปลวกมิได้ด้วยซ้ำกระมัง
หลายปีที่ผ่านมาระหว่างที่ติดตามคุณชายสี่ เขาเคยพบหน้าเจียงเจ๋อหลายหน แต่เขามิต้องการจะพูดกับอีกฝ่ายแม้แต่ประโยคเดียว ถึงขั้นที่จงใจหลบเลี่ยงคนผู้นั้นเพราะเกรงว่าตนจะอดกลั้นมิไหวถามคนผู้นั้นเกี่ยวกับเรื่องของหลี่หู่
แม้ในใจจะขุ่นเคืองชิงชัง แต่ก็มิกล้าขัดคำสั่งของชิวอวี้เฟย เขาส่งพิณโบราณนาม ‘สี่เฉิน’ ให้อย่างนอบน้อม ชิวอวี้เฟยนั่งขัดสมาธิวางพิณโบราณไว้บนเข่า จากนั้นไล้สายพิณแผ่วเบา เสียงพิณเปลี่ยวเหงาปริ่มล้นออกมาจากปลายนิ้ว เสียงพิณประหนึ่งเมฆาบนยอดขุนเขา เสนาะหูชวนให้ฮึกเหิม แต่กลับสอดประสานเข้ากับเสียงพิณที่ดังมาจากเมืองกู่เฉิง เสียงพิณสองสายเสมือนเมฆาคล้อยสายน้ำไหล ดุจดั่งขุนเขาเดียวดายตั้งตระหง่านมีสายน้ำโอบล้อมยอดเขา ในเสียงเพลงแฝงทำนองสร้อยเศร้า
แม้ฟังออกชัดว่าเสียงพิณทั้งสองแตกต่างกัน แต่กลับรู้สึกว่าระหว่างธารน้ำรินไหลกับยอดเขาเดียวดาย ขุนเขาสายน้ำขับเน้นกันและกันผสานเป็นหนึ่งเดียว
ห้วงเวลานี้มิว่าทหารต้ายงบนกำแพง หรือทหารหนานฉู่ใต้กำแพงล้วนประหนึ่งวิญญาณหลุดลอย จมดิ่งในเสียงพิณ เสียงฆ่าฟันในสนามรบค่อยๆ จางหาย ความทารุณโหดร้ายแปรเปลี่ยนเป็นสงบสุข ลู่ช่านผู้อยู่กลางกระบวนทัพของหนานฉู่อดโคลงหัวถอนหายใจยาวมิได้ วันนี้ทหารหนานฉู่มิมีใจจะสู้อีกต่อไปแล้ว พิณโบราณหนึ่งเพลงสลายความมุ่งมั่นในการรบของทหารหนานฉู่เจ็ดหมื่นคนจนสิ้น เรื่องเช่นนี้ทำให้เขากลัดกลุ้มยากจะเอื้อนเอ่ยอย่างแท้จริง เขาออกคำสั่งให้เป่าแตรเรียกทหารถอยกลับอย่างหม่นหมอง เพื่อมิให้กองทัพฝั่งตนถูกทหารต้ายงบนกำแพงเมืองฉวยโอกาสเล่นงาน
ทหารหนานฉู่ได้ยินเสียงแตรสัญญาณ บนใบหน้าล้วนเผยสีหน้าอาลัยอาวรณ์ แต่มิกล้าขัดคำสั่งกองทัพ ค่อยๆ ทยอยถอยทัพจากไป ขณะที่แม่ทัพใต้สังกัดกำลังจะเข้ามาล้อมลู่ช่านเพื่อถอยทัพกลับ ทันใดนั้นลู่ช่านก็กัดฟันกรอด โบกมือให้องครักษ์คนสนิทส่งคันศรชั้นยอดของตนมาให้
เขาทะยานอาชาออกจากกระบวนทัพ โก่งคันศรโค้งดุจจันทร์เต็มดวง ศรหนึ่งดอกพุ่งตรงไปบนกำแพงเมืองของกู่เฉิง ตำแหน่งที่เขายืนอยู่ห่างจากกำแพงเมืองไกลถึงห้าร้อยก้าว ศรดอกนั้นเห็นแต่ประกายแสงมิเห็นเงา เพียงพริบตาเดียวก็ตัดผ่านระยะทางไกลโพ้น พุ่งเข้าใส่ลำคอของเจียงเจ๋อที่กำลังบรรเลงพิณอยู่บนหอเหนือกำแพงเมือง
ทหารต้ายงบนกำแพงเห็นลู่ช่านง้างคันศรยิงเกาทัณฑ์ก็อ้าปากจะร้องตะโกน ทว่าศรดอกนั้นกลับพุ่งมาอยู่ตรงหน้าเจียงเจ๋อห่างเพียงหนึ่งจั้งกว่าแล้ว แต่ศรดอกนั้นมิมีโอกาสขยับเข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียว มือเรียวขาวผ่องประหนึ่งสลักจากน้ำแข็งข้างหนึ่งขวางหน้าลูกศรเอาไว้ นิ้วดีดเบาๆ ศรขนอินทรีที่รวดเร็วดั่งอสนีบาตดอกนั้นก็ถูกดีดร่วงสู่พสุธา เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าเย็นยะเยือกถมึงทึง ดวงตาปรากฏจิตสังหารท่วมท้น
ลู่ช่านสองแขนมีพละกำลังดุจเทพ ยามยกทัพสังหารศัตรูมักใช้ศรยิงสังหารแม่ทัพฝ่ายศัตรูเสมอ แม้จะสู้เทพแห่งธนูอย่างพวกจ่างซุนจี้ของต้ายงมิได้ แต่ภายในระยะห้าร้อยก้าวศรก็มิเคยพลาดเป้า เพียงแต่ต่อมาเขามีฐานะเป็นแม่ทัพใหญ่ น้อยครั้งนักจะมีโอกาสยกทัพออกรบด้วยตนเอง และเพราะเขาพอจะแตกฉานพงศาวดารอยู่บ้างจนมีชื่อเสียงในฐานะแม่ทัพผู้สุขุมทรงภูมิ ดังนั้นชื่อเสียงความแกล้วกล้าในสนามรบจึงค่อยๆ ถูกผู้คนลืมเลือน
ศรดอกนี้ของลู่ช่านมิใช่ต้องการระบายโทสะหรือต้องการเอาชีวิตเจียงเจ๋อ เขาย่อมทราบว่าข้างกายเจียงเจ๋อมีผู้ที่ขวางศรดอกนี้ได้ ศรดอกนี้เพียงต้องการแสดงเจตนาตัดขาดความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ก็เท่านั้น ดังนั้นพอศรดอกนี้ยิงออกไปเสร็จ เขาจึงไม้แม้แต่ชายตามองผลลัพธ์ ควบอาชาวิ่งเข้าไปในกองทัพ จากไปไกลท่ามกลางองครักษ์คนสนิทที่ห้อมล้อม
มิว่าทหารหนานฉู่ใต้กำแพงเมืองหรือทหารต้ายงบนกำแพงเมือง ผู้ใดที่เห็นศรดอกนี้ล้วนเศร้าหมอง อาจารย์ศิษย์กลับกลายเป็นศัตรู สหายเก่าตัดขาดชั่วนิรันดร์ แต่เดิมก็เป็นเรื่องน่าเศร้าใจของชีวิตมนุษย์