ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - อนที่ 108 น้ำตาหลั่งรินเป็นสายเลือด (3)
หลิงอวี่เพลิดเพลินยิ่งนัก ขณะที่นางคิดจะขอคำชี้แนะต่อนั่นเอง นางก็หันไปเห็นรอยยิ้มคลับคล้ายว่ามีแต่ก็คลับคล้ายไม่มีของชิวอวี้เฟย นางจึงเพิ่งตระหนักว่าตนเองลืมไปอย่างสิ้นเชิงว่าคนผู้นี้เป็นแขกของตนเอง ดวงหน้างามแดงก่ำอย่างห้ามมิได้ ก้มคำนับอย่างชดช้อย “หลิงอวี่ต้อนรับคุณชายสี่ไม่ดี คุณชายแตกฉานศาสตร์ดนตรี ใจจริงหลิวอวี่ปรารถนาจะติดตามคุณชายเพื่อร่ำเรียนพิณ แต่น่าเสียดายกายข้ามิใช่ของข้า มิทราบว่าวันพรุ่งนี้คุณชายจะมาอีกหรือไม่”
ชิวอวี้เฟยแววตาสว่างไสวดุจคบเพลิง เขามองออกว่าแม่นางหลิงอวี่ผู้นี้ปรารถนาจะขอคำสั่งสอนจากใจจริง จึงถอนหายใจแผ่วเบาอย่างห้ามมิได้ “แม่นางตั้งใจฝึกปรือฝีมือเช่นนี้ มิแปลกที่จะมีทักษะบรรเลงพิณเช่นนี้ เพียงแต่ข้ากำลังจะไปจากเจี้ยนเย่ คิดแล้วน่าเสียดายจริงๆ คงมิอาจถกการบรรเลงพิณกับแม่นางได้อีก”
หลิงอวี่ได้ยินดังนี้ ดวงตาพลันเกิดระลอกคลื่น หวนนึกถึงชีวิตของตนเอง แต่เดิมนางเป็นคุณหนูของตระกูลบัณฑิต แต่จนปัญหาที่บ้านแตกสาแหรกขาดจึงตกต่ำมาสู่คาวโลกีย์ แล้วยังโชคร้ายกลายเป็นศิษย์ของสำนักเฟิงอี้ แม้แต่อิสระในการไถ่ตัวก็ยังไม่มี เส้นทางชีวิตของนางช่างขรุขระ นอกจากฝากความรู้สึกไว้กับเสียงดนตรี นางก็ไม่มีความคิดอื่นใดอีก
แม้แต่วรยุทธ์ที่อาจารย์สอนสั่ง นางก็ขยันฝึกเพียงพลังภายในเพื่อเสริมส่งพลังเสียงของการบรรเลงพิณเท่านั้น วิชาตัวเบา วิชากระบี่อื่นใดนอกเหนือจากนั้น นางล้วนมิใส่ใจ หากมิใช่ว่าเห็นนางรูปโฉมและฝีมือบรรเลงพิณเหนือผู้อื่น เกรงว่าอาจารย์คงไม่เก็บตนไว้ในสำนักต่อแล้วกระมัง
แต่เดิมหลิงอวี่นึกยินดีที่หลุดพ้นจากโชคชะตาเลวร้ายของการแปดเปื้อนเสียความบริสุทธิ์มาได้ แต่มาวันนี้หลิงอวี่กลับนึกอยากจะเป็นเพียงสตรีธรรมดาที่มีโอกาสขอไถ่ตัวเอง ติดตามคุณชายสี่ผู้มีฝีมือบรรเลงพิณเหนือกว่าตนเองผู้นี้ไปร่ำเรียนพิณและบรรเลงพิณอย่างอิสระเสรี
นางข่มกลั้นอารมณ์มิไหว หยดน้ำตาร่วงหล่นลงมา จากนั้นจึงเอื้อมมือข้างหนึ่งมาดึงแขนเสื้อของชิวอวี้เฟยพลางสะอื้นอย่างเงียบงัน ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อคุณชายสี่จะจากไปแล้ว ขอให้หลิงอวี่บรรเลงเพลงให้คุณชายอีกสักเพลง”
กล่าวจบหลิงอวี่ก็ปาดคราบน้ำตา ไล้สายพิณอีกหน เพลงที่บรรเลงในหนนี้กลับเป็นเพลง ‘ขุนเขาธารา[1]’ บทเพลงนี้แต่เดิมก็พรรณนาถึงความรู้สึกยินดีที่พานพบสหายรู้ใจ แต่เมื่อหลิงอวี่บรรเลงกลับมีความโศกเศร้าคับแค้นเพิ่มขึ้นมาอยู่หลายส่วน แค้นใจที่สหายรู้ใจต้องรีบร้อนจากไป แต่ตนเองมิอาจติดตามไปด้วยได้ หลิงอวี่จดจ่อสมาธิทั้งหมดกับการบรรเลงเพลงจนจบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมากลับพบว่าคุณชายหนุ่มผู้หล่อเหลามากความสามารถผู้นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ทิ้งไว้เพียงหยกชิ้นหนึ่งวางอยู่บนแท่นวางพิณ
หลิงอวี่เก็บหยกขึ้นมา มันเป็นหยกมันแพะน้ำงามที่แกะสลักเป็นรูปพิณโบราณชิ้นหนึ่ง หัวใจนางปวดร้าว ถือหยกชิ้นนั้นแนบลงกลางอก ดวงตาปรือลงเบาๆ น้ำตาไหลร่วง นางไม่รู้ว่าตอนที่ชิวอวี้เฟยออกไป ในใจเขาคิดกับตัวเองว่าข้าคงต้องอยู่ต่ออีกสักหลายวันเพื่อแม่นางหลิงอวี่ผู้นี้
แต่เดิมชิวอวี้เฟยเตรียมตัวจะออกเดินทางกลับตงไห่ทันที แต่เวลานี้เขากลับตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะช่วยเหลือแผนการกำจัดสำนักเฟิงอี้ของเจียงเจ๋อให้ลุล่วง ด้วยสติปัญญาของเขา เขาย่อมมองออกว่าหลิงอวี่ถูกบีบบังคับให้อยู่ในสำนักเฟิงอี้อย่างไร้ทางเลือก
ข้านั่งอยู่หน้ากระดานหมาก มองดูหมากบนกระดานที่แบ่งสีขาวกับสีดำชัดเจนแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ “สือกวนตายแล้วหรือ ผู้ใดลงมือ แล้วผู้ใดเป็นคนรับช่วงต่อกองทัพไหวซี”
ฮั่วฉงฟังจบ หัวใจก็หนาวเหน็บ นับตั้งแต่ท่านอาจารย์ทราบข่าวการตายของลู่ช่านก็มีท่าทีนิ่งเฉยเช่นนี้มาตลอด คล้ายกับว่าคนที่ตายจากไปเป็นเพียงคนอื่นที่ไม่รู้จัก แม้แต่สีหน้าโศกเศร้าสักนิดก็ยังไม่มี แต่ไม่รู้เพราะอะไร ฮั่วฉงกลับรู้สึกแปลกพิกล ท่านอาจารย์หาใช่คนเย็นชา ตามหลักแล้วเขาไม่มีทางไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิดเช่นนี้ ท่าทีเช่นนี้ของเจียงเจ๋อทำให้ฮั่วฉงกังวลเสียยิ่งกว่ากรีดร้องคร่ำครวญเสียอีก
เวลานี้เอง สายตาของเจียงเจ๋อก็หันมามองเขาเหมือนจะเร่งเอาคำตอบ ฮั่วฉงมองสบดวงตาลึกล้ำนิ่งสงบคู่นั้น แล้วก้มหน้าลงอย่างห้ามตนเองไม่ได้ ตอบเสียงเบาว่า “ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์เคยคาดการณ์ไว้แล้วว่าสือกวนย่อมมิใช่คนเนรคุณ จึงสั่งให้กองการข่าวจับตาดูร่องรอยของสือกวนเอาไว้ แต่คนที่ลงมือกลับไม่ใช่มือสังหารของต้ายง ทว่าเป็นเยี่ยนอู๋ซวงแห่งสำนักเฟิงอี้ กองการข่าวยืมดาบสังหารคน ส่วนปฏิกิริยาของสำนักเฟิงอี้ก็รวดเร็วยิ่งนัก
ยังไม่แน่ใจว่าเยี่ยนอู๋ซวงวางแผนซุ่มดักสังหารล่วงหน้าหรือว่าลอบสะกดรอยติงหมิงจนมาพบสือกวน แต่เยี่ยนอู๋ซวงลงมือจู่โจมสายฟ้าแลบลอบสังหารสือกวนระหว่างทางกลับ ลงมือหนเดียวปลิดชีวิตสือกวน องครักษ์คนสนิทของสือกวนไล่ตามสังหารอย่างมิไยดีชีวิต พลทหารทั้งสี่สิบคนย่อยยับทั้งกองทัพ ถูกเยี่ยนอู๋ซวงเล่นงานทีละคนๆ แต่เยี่ยนอู๋ซวงเองก็บาดเจ็บหนักเช่นเดียวกัน หลังกลับไปถึงเจี้ยนเย่ก็ล้มหมอนนอนเสื่อ
ส่วนแม่ทัพผู้มารับผิดชอบกองทัพไหวซีต่อคือไช่ฉวิน พี่ชายของพระมเหสีแห่งหนานฉู่ คนผู้นี้เป็นพระญาติของเชื้อพระวงศ์ แล้วยังได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากซั่งเหวยจวิน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสำนักเฟิงอี้ ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ปรารถนาหลิงอวี่ ศิษย์เอกของจี้เสียจนน้ำลายสอมานาน ได้ยินว่าจี้เสียรับปากแล้ว หลังจากไช่ฉวินตั้งหลักที่ไหวซีได้ก็จะส่งหลิงอวี่ผู้เป็นศิษย์ให้เป็นอนุภรรยาของไช่ฉวิน”
ข้าทำท่าครุ่นคิด “ไช่ฉวินผู้นี้มีความสามารถเป็นเช่นไร เคยนำทัพออกศึกหรือไม่”
ฮั่วฉงตอบว่า “แม้ไช่ฉวินจะเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ แต่ก็พอนับได้ว่าเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ ตระกูลไช่มีบุตรหลานที่ใช้การได้หลายคนทีเดียว ทว่าคนผู้นี้ค่อนข้างหยิ่งทะนงอยู่บ้าง
ตอนที่เป็นแม่ทัพที่อวี๋หัง ความสามารถอยู่ในระดับกลางค่อนบน ทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดี เพียงแต่ว่านิสัยหยิ่งยโส ทั้งยังเจ้าชู้จนเป็นนิสัย หลังจากจ้าวหล่งขึ้นครองบัลลังก์ด้วยตนเอง เขาเป็นพี่ชายของพระมเหสีจึงถูกเรียกกลับมาเป็นรองแม่ทัพกองทหารราชองครักษ์ หากคนผู้นี้เป็นแม่ทัพใหญ่ของไหวซี ไม่เกิดศึกใหญ่ก็คงทำหน้าที่ได้ดี”
ข้าถามต่อว่า “ซั่งเหวยจวินไม่ฉวยโอกาสนี้ทำความสะอาดกองทัพไหวซีหรือ”
ฮั่วฉงตอบว่า “ซั่งเหวยจวินคงไม่ทราบเรื่องลอบสังหารสือกวน กองการข่าวได้ข่าวมาว่าศพของสือกวนถูกองครักษ์คนสนิทพากลับไหวซี หลังจากนั้นผู้ส่งสารของหยางซิ่วก็เดินทางมายังไหวซี เขาตั้งใจจะแจ้งราชสำนักว่าสือกวนล้มป่วยหนักกะทันหันจึงสิ้นใจ ฝั่งซั่งเหวยจวินก็คงมิอยากทำให้ขวัญกำลังใจของทหารสั่นคลอนจนเกิดเรื่องร้าย สำหรับเขา แม่ทัพสือตายแล้วย่อมดีที่สุด จะได้มิเหลือภัยทิ้งไว้ภายภาคหน้า”
ข้าถอนหายใจ “เป็นเช่นนี้ก็ดี หากแม่ทัพสือตายในมือสายลับของกองการข่าว วันหน้าหากพบหน้าอวิ๋นเอ๋อร์กับภรรยาคงจะมอบคำอธิบายดีๆ ให้ไม่ได้ แต่เยี่ยนอู๋ซวงก็เหี้ยมเสียจริง ในอดีตนอกจากเหวินจื่อเยียน นางเป็นหนึ่งในลูกศิษย์สำนักเฟิงอี้ที่เชี่ยวชาญการลอบสังหารมากที่สุด ตอนนี้ดูแล้ววรยุทธ์ของนางมีแต่ก้าวหน้ามิมีถดถอย โชคยังดีวันนี้นางบาดเจ็บหนักแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ยามพวกเรากำจัดสำนักเฟิงอี้คงง่ายขึ้นมาก จริงสิ ศึกที่เรือนตระกูลเฉียว บาดเจ็บล้มตายอย่างไรบ้าง”
ฮั่วฉงแอบเหลือบมองเจียงเจ๋อ เห็นท่านอาจารย์ยังคงทำท่าทางเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่สีหน้าของเสี่ยวซุ่นจื่อที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก
ฮั่วฉงลังเลครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ระหว่างการช่วยเหลือแม่ทัพใหญ่ที่เรือนตระกูลเฉียว คนของพวกเราทำตามความตั้งใจของอาจารย์ นอกจากคุณชายสี่ คนที่เหลือเพียงลอบช่วยเหลือจากเงามืด จุดนี้พวกติงหมิงเข้าใจดี ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีคนบาดเจ็บล้มตาย
โอวหยวนหนิงยอดฝีมืออันดับหนึ่งในหมู่คนสนิทของซั่งเหวยจวินถูกคุณชายสี่สังหาร เซียวหลัน เซี่ยเสี่ยวถงแห่งสำนักเฟิงอี้ตายระหว่างการต่อสู้ มือกระบี่ที่เข้าร่วมศึกบาดเจ็บล้มตายมากกว่าครึ่ง ขุมกำลังของซั่งเหวยจวินเสียหายหนักหนาสาหัส ยอดฝีมือของเขตอู๋เย่ว์ที่ติงหมิงพามามีเพียงสามส่วนที่รอดกลับไป ส่วนศิษย์พี่ไป๋อี้ก็ฉวยโอกาสช่วยลู่อวิ๋นออกมาได้สำเร็จ เป้าหมายหนนี้ของท่านอาจารย์บรรลุทั้งหมด
หลังจบเรื่อง ซั่งเหวยจวินโมโหมาก สำนักเฟิงอี้จึงฉวยโอกาสปลุกปั่นซั่งเหวยจวินให้ถือโอกาสที่ลู่ฮูหยินกับลู่ถิงและคนอื่นๆ จะถูกเนรเทศลงใต้ ปล่อยข่าวว่าจะดักสังหารตระกูลลู่ทั้งตระกูลระหว่างทาง ล่อคนในยุทธภพที่สงสารตระกูลลู่ให้เข้ามาติดกับดัก จากนั้นจัดการพวกเขาทั้งหมดในคราวเดียว เดิมทีศิษย์พี่ไป๋อี้ต้องการให้ศิษย์พี่อวี๋หลุนยุยงซั่งเฉิงเยี่ยด้วย แต่ศิษย์พี่อวี๋หลุนปฏิเสธ”
เจียงเจ๋อพยักหน้า “ตอนนั้นเหตุที่ไม่ช่วยคนทั้งตระกูลลู่ ประการแรกเพราะคนมากเกินไป ยากจะช่วยเหลือสำเร็จ ประการที่สองกลัวว่าลู่ฮูหยินจะภักดีจนยอมตายเช่นเดียวกับลู่ช่าน หากเป็นเช่นนั้นกลับจะทำให้คนของพวกเราจมลงในบึงโคลน ประการที่สามข้าคาดการณ์ไว้แล้วว่าสำนักเฟิงอี้จะทำเช่นนี้ หนนี้สำนักเฟิงอี้สูญเสียยอดฝีมือระดับสูงไปติดๆ กันถึงสามคน พวกนางย่อมปวดใจอย่างสุดแสน หากไม่ใช้โอกาสนี้ลดทอนกำลังของชาวยุทธ์ในเจียงหนานก็คงไม่ใช่สำนักเฟิงอี้แล้ว
ก่อนหน้านี้ข้าสั่งไว้ว่าต้องสังหารยอดฝีมือของสำนักเฟิงอี้ให้ได้สักคนหรือสองคน แต่พวกเขากลับทำได้ดีกว่าที่ข้าวางแผนไว้เสียอีก จริงสิ ให้พวกเขาปล่อยข่าวนี้เล็ดลอดไปถึงหูเหวยอิงด้วย มิว่าเขาจะล่มหัวจมท้ายกับสำนักเฟิงอี้ต่อไป หรือว่าจะกลับตัวกลับใจภักดีกับตระกูลลู่ต่อ ก็มิอาจให้เขาเอาตัวไปอยู่นอกเรื่องนี้ได้”
ฮั่วฉงถามอย่างสงสัย “ท่านอาจารย์ ศิษย์ไม่เข้าใจ เหตุใดต้องจัดการสำนักเฟิงอี้ในเวลานี้ สำนักเฟิงอี้ทำการใหญ่ไม่เคยสำเร็จ มีแต่ล้มเหลว ศิษย์คิดว่าหากปล่อยพวกนางทำตามใจต่อไป กลับจะเป็นประโยชน์ต่อการยกทัพลงใต้ของพวกเรามากกว่า”
[1]ขุนเขาธารา (高山流水) หนึ่งในสิบบทเพลงดังสำหรับการบรรเลงกู่ฉิน