ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1050 ค่ายกลรากษสพิฆาตเซียน
แผ่นดินฉับพลันสั่นสะเทือนรุนแรงยาวเป็นแนว!
สองตาของสิบสองภูตยักษ์รากษสเปล่งแสงสีแดงประหลาด ปราณสีเทาพวยพุ่งออกมารอบร่าง ยกเท้าหนักอึ้งวิ่งทะยานตีวงล้อมเข้ามาหาผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ด้านนี้
ภูตยักษ์รากษสสูงหกสิบถึงเจ็ดสิบจั้งประหนึ่งภูเขาน้อยสิบสองลูกเรียงแถว แรงกดดันจิตวิญญาณท่วมฟ้าที่ปะทุออกมาพัดปราณหยินทั้งหมดบริเวณใกล้ๆ จนปั่นป่วนไม่หยุด ทำให้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์รวมทั้งหลิ่วหมิงต่างตกตะลึง!
บนท้องฟ้าด้านหลังภูตยักษ์รากษส วงล้อในมือบุรุษวัยกลางคนชุดดำเปล่งแสงสีม่วง ผิวสีม่วงคล้ำบนร่างสิบสองรากษสเริ่มปรากฏลวดลายสีดำประหลาดดวงแล้วดวงเล่า
ทันใดนั้นเสาแสงสีม่วงเข้มสิบสองต้นพลันทยอยพุ่งจากร่างขึ้นฟ้า
วาบ!
เสาแสงทั้งหมดระเบิดตามต่อกัน ทันใดนั้นเงาอสูรดุร้ายขนาดมหึมาสิบสองตัวก็ปรากฏด้านใน!
อสูรยักษ์แต่ละตัวหน้าตาเหมือนภูตยักษ์รากษสที่อยู่ข้างใต้พวกมันทุกประการ ร่างกายของรากษสฉับพลันแผ่บรรยากาศน่ากลัวท่วมท้น
หลังจากนั้นเสียงคำรามดังสนั่นจนหูแทบดับก็ดังขึ้น!
เสาแสงสีม่วงต้นแล้วต้นเล่าที่หุ้มเงาอสูรยักษ์อยู่กะพริบตอบรับกันและกันท่ามกลางผืนนภาสีเทามืดสลัว เพียงพริบตาพวกมันก็กลายเป็นเงาเข็มทิศกลมสีม่วงเข้มที่มีหัวลูกศรมหึมาหมุนวนเชื่องช้าอยู่ตรงกลาง
เงาอสูรยักษ์ทั้งสิบสองตนแบ่งกันครองพื้นที่บนเงาเข็มทิศสิบสองส่วนเท่าๆ กัน!
“ระวัง นี่…นี่คือค่ายกลสิบสองรากษสพิฆาตเซียนในตำนาน!”
บุรุษวัยกลางคนแซ่เว่ยตะโกนอย่างตกตะลึง เขาโบกมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่ง ร่างกายของมนุษย์ทองคำยักษ์พลันส่องแสง สองมือกุมประสานกันเบื้องหน้า เสียงชิ้งดังขึ้นครั้งหนึ่ง กระบี่แสงมหึมาในมือขยายใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่ากว่าทันที ใหญ่แทบจะใกล้เคียงกับร่างกาย
บึ๊ม!
ร่างกายใหญ่ยักษ์ของหุ่นเทพอนธการจากนิกายเทียนกงโผมาอยู่ข้างมนุษย์ทองคำยักษ์ จากนั้นเงาสีดำก็พุ่งเข้ามา กิ้งก่ามารคลั่งมายืนอยู่ด้วยกันกับมนุษย์ทองคำยักษ์เช่นกัน
“สิบสองรากษสยกให้พวกเรารับมือ เรื่องที่เหลือฝากพวกเจ้าแล้ว” เสียงของบุรุษวัยกลางคนผมขาวดังออกมาจากในร่างหุ่นเทพอนธการ
สิ้นเสียงสิบสองรากษสก็ทะยานมาเข้ามาใกล้ ลูกศรมหึมาใจกลางเข็มทิศสีม่วงเข้มเหนือศีรษะเคลื่อนเร็วจี๋จนสั่นไหวเบาๆ หยุดอยู่ตรงตำแหน่งเงาวานรยักษ์
ทันใดนั้นเงาวานรยักษ์ก็อ้าปาก พ่นลำแสงเส้นหนาสีทองหม่นเส้นหนึ่งพุ่งเร็วจี๋เข้าใส่พวกมนุษย์ทองคำยักษ์
ลำแสงสีทองหม่นยังไม่ทันพุ่งมาถึงตรงหน้าพวกมนุษย์ทองคำยักษ์ก็ระเบิดกลายเป็นลิ่มแสงสีทองหม่นนับไม่ถ้วน โถมเข้าใส่พวกมนุษย์ทองคำยักษ์ทั้งสามตนมืดฟ้ามัวดินดั่งพายุฝนกระหน่ำ
ชั่วขณะหนึ่งเสียงแหวกอากาศหวีดแหลมดังก้องผืนฟ้าและผืนดิน ลิ่มแสงสีทองหม่นนับไม่ถ้วนพุ่งตัดท้องฟ้าจนเกิดรอยปริแตกเรียวเล็กเส้นแล้วเส้นเล่า แสดงให้เห็นว่าในลิ่มแสงแต่ละแท่งบรรจุพลังมหาศาลเอาไว้
หุ่นเทพอนธการเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาจากชุดเกราะสีน้ำตาลอ่อนบนร่าง ร่างกายโค้งดุจคันศรก่อนจะทะยานเข้าใส่สิบสองรากษสท่ามกลางลิ่มแสงสีทองหม่นนับไม่ถ้วนที่พุ่งเร็วรี่มาเต็มท้องฟ้า
ชิ้ง!
ทันทีที่ลิ่มแสงสีทองหม่นปะทะกับชุดเกราะทั่วร่างหุ่นเทพอนธการ พวกมันก็ระเบิดเป็นชิ้นๆ นอกจากรอยสีขาวเล็กน้อยก็ไม่ส่งผลอื่นใดแม้แต่น้อย
ดาบยักษ์สองเล่มในมือหุ่นเทพอนธการฟันไขว้เป็นรูปอักษรสือ[1] แสงดาบสีเหลืองขนาดร้อยจั้งสองสายพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
เคร้ง!
แสงดาบสองสายที่ไขว้กันเป็นรูปอักษรสือฟันลงบนร่างภูตยักษ์รากษสตนหนึ่งที่มีใบหน้าเป็นอาชา จนเกิดเสียงโลหะเสียดสีกัน
ร่างของภูตยักษ์รากษสหน้าอาชาเปล่งแสงแวววาวสีม่วงเข้ม ทันใดนั้นพลังมหาศาลที่แฝงอยู่ในแสงดาบก็กระจายไปยังร่างของภูตยักษ์รากษสทั้งหมดผ่านเสาแสงบนตัวสิบสองรากษสที่เชื่อมอยู่กับเงาเข็มทิศด้านบน
ร่างกายของรากษสหน้าอาชาถอยหลังไปหลายก้าว แต่ตั้งหลักได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นภาพนี้ สายตาของบุรุษวัยกลางคนแซ่เว่ยที่อยู่บนร่างมนุษย์ทองคำยักษ์กับหญิงงามแซ่ฉีจากนิกายปีศาจลี้ลับที่อยู่บนหัวของกิ้งก่ามารคลั่งก็ฉายแววตกตะลึง ทว่าอึดใจต่อมาทั้งสองก็โจมตีออกมาพร้อมกัน
มนุษย์ทองคำยักษ์ชูกระบี่แสงมหึมาในมือขึ้นสูง แล้วตวัดวงโค้งสีทองเส้นหนาฟันลงมาเบื้องหน้าทันที
แสงกระบี่รูปจันทร์เสี้ยวอันร้อนระอุถาโถมมาดั่งเกลียวคลื่นคลั่ง
เกล็ดสีดำสนิทบนร่างกิ้งก่ามารคลั่งลุกตั้ง พลังเวทปริมาณมากรวมตัวเหนือเขาเดี่ยวบนหัวของมัน จากนั้นสายฟ้าร้อนผ่าวสีแดงหม่นสายหนึ่งก็พุ่งพรวดเข้าโจมตีสิบสองรากษส
ด้านหลังสิบสองรากษส ผีแม่ทัพใหญ่ชุดดำสีหน้าเคร่งขรึม วงล้อในมือหมุนเร็วไว เข็มของเงาเข็มทิศสีม่วงที่อยู่ด้านบนของสิบสองรากษสหมุนอย่างรวดเร็ว เสาแสงห้าสีสายแล้วสายเล่าพุ่งพรวดออกมาปะทะกับแสงกระบี่สีทองและอสนีบาตสีแดง
บึ๊ม!
เสียงดังสนั่นสะเทือนแก้วหูแทบดับดังลอยออกไปไกลโพ้น จุดที่พลังเวทสองฝั่งปะทะกันอย่างรุนแรง มิติฉีกออกเป็นรอยแยกมหึมาเส้นแล้วเส้นเล่า บริเวณร้อยลี้ที่คลื่นพลังเวทแผ่ไปถึงเกิดพายุขนาดมหึมากลบร่างใหญ่โตของมนุษย์ทองคำยักษ์กับภูตยักษ์รากษสเข้าไป
มองจากไกลๆ ท้องนภาตรงนั้นเดี๋ยวเป็นสีทอง เดี๋ยวเป็นสีแดงหม่น เสียงอสนีบาตระเบิดดังกึกก้องลอยออกมา มีแสงสว่างสองสายพุ่งพรวดออกมาเป็นระยะ เมื่อจมหายไปในพื้นดินหรือจมหายไปในท้องนภาบริเวณใกล้ๆ แรงสั่นสะเทือนรุนแรงก็ปะทุขึ้น ทิวเขาที่อยู่ใกล้เหล่านั้นพริบตาที่ถูกสัมผัสพลันสลายกลายเป็นผุยผง ผืนดินบริเวณข้างเคียงสั่นไหวรุนแรงจนเกิดหลุมดินขนาดหลายสิบจั้งหลุมแล้วหลุมเล่า
อีกด้านหนึ่ง
ไม่ว่ากองทัพผีร้ายหรือผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ ก่อนหน้าศึกใหญ่จะเริ่มต้น พวกเขาก็พากันหนีไปทางทุ่งราบทิศเหนือก่อนแล้ว เหตุเพราะกลัวว่าหลงเข้าไปในการต่อสู้ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ ซึ่งมีกี่ชีวิตก็ไม่พอใช้
หลังจากออกห่างการต่อสู้มาได้เกินร้อยลี้ ทุกคนก็หยุด จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็ปะทะกันอย่างดุเดือดภายใต้คำสั่งของยอดฝีมือระดับดาราพยากรณ์ของตน
ผู้ฝึกฝนจำนวนเกือบหมื่นจากเผ่ามนุษย์และกองทัพผีร้ายกลุ้มรุมกัน แสงสว่างหลากสีแผ่ขึ้นไปบนท้องฟ้าและพุ่งเร็วรี่ไปรอบด้านอย่างเหิมเกริม
บนท้องนภา ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์อย่างพวกผู้เฒ่าจมูกแดงสี่คนกับผีแม่ทัพใหญ่หกตนฝั่งตรงข้ามกำลังเข่นฆ่ากันและกันอยู่
ชั่วขณะหนึ่งสายลมเย็นยะเยือกพัดดังหวีดหวิว หมอกสีดำปกคลุมไปรอบด้าน
เมื่อรวมผู้ฝึกฝนจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันคนจากสามกองทัพใหญ่ที่ติดตามไพ่ตายของแต่ละนิกายเดินทางมาช่วยเหลือ ผู้ฝึกฝนฝั่งป้อมปราการไท่เทียนก็มีเพียงหนึ่งพันต้นๆ เท่านั้น
ดูจากจำนวนคนแล้ว ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ตกเป็นรอง แต่กองทัพผีร้ายด้อยกว่ามากในด้านอาวุธเวท อีกทั้งตอนศึกชุลมุนเริ่มเปิดฉาก กองทัพผีร้ายถูกตีแตกอย่างสิ้นเชิงจนไม่อาจใช้กระบวนทัพที่ถนัดตั้งรับศัตรูได้ ดังนั้นโดยรวมแล้วทั้งสองฝ่ายจึงตกอยู่ในสถานการณ์อ่อนไหว พลังสูสีทัดเทียมกัน
ท่ามกลางการต่อสู้โกลาหล ปราณดำชั้นแล้วชั้นเล่าที่ล้อมรอบร่างหลิ่วหมิงก่อตัวเป็นเงามังกรและพยัคฆ์ตัวแล้วตัวเล่าเหาะวนเวียนอยู่รอบด้าน กระบี่ขู่หลุนเหาะวนอยู่รอบตัว
สิ่งที่เห็นอยู่ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเบื้องหน้าเขาล้วนเป็นศัตรู
ฟุบ!
ผีแม่ทัพผมแดงเขี้ยวโง้งตนหนึ่งไม่รู้โผล่ออกมาจากที่ใด ดูจากลมปราณแล้วท่าทางเหมือนระดับแก่นแท้ขั้นต้น
ธงผืนใหญ่สีแดงที่อยู่ในมือมันเปล่งแสงวูบหนึ่ง อสรพิษขนาดใหญ่สีเลือดตัวหนึ่งพลันพุ่งพรวดออกมา ปากสีแดงสดอ้ากว้างเข้าขย้ำหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงสีหน้าเย็นชา เสียงพยัคฆ์คำรามดังออกมาจากปราณดำบนร่าง พยัคฆ์หมอกสีดำมหึมาขนาดสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งกระโจนออกมาต้านอสรพิษยักษ์สีเลือดกลางท้องฟ้า
ร่างของเขาขยับวูบหนึ่งก็เลือนหายไป
ผีแม่ทัพผมแดงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็ขยับไหวๆ อยู่ด้านหลัง คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นดุจภูตพราย
“ฟึบ” แขนที่ถูกปราณดำหุ้มไว้ข้างหนึ่งทะลวงผ่านท้องน้อยของผีแม่ทัพผมแดง
ผีแม่ทัพผมแดงเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา ประกายกระบี่สีม่วงในฝ่ามือที่ทะลวงทะลุท้องของเขาอยู่สว่างขึ้นวูบหนึ่ง ร่างกายของเขาก็ถูกฟันกลายเป็นชิ้นๆ ร่วงหล่นลงไป
ปราณดำสายหนึ่งพุ่งจากมือของหลิ่วหมิงไปม้วนรัดอาวุธเวทเก็บของมาจากผีแม่ทัพผมแดง
เขาสังหารผีแม่ทัพตนหนึ่งในชั่วพริบตา กระนั้นบนใบหน้าก็ไม่มีสีหน้ายินดีแม้แต่น้อย
รอบตัวมีเงาดำขยับไหว ทหารผีใบหน้าสีน้ำเงินหน้าตาดุร้ายสามตนโถมเข้าใส่เขา
“เซียเอ๋อร์!”
หลิ่วหมิงดวงตาวาวโรจน์ มือตบบนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวหนึ่งครั้ง แมงป่องกระดูกขนาดหนึ่งฉื่อกว่าก็เหาะออกมาจากด้านใน ขยับวูบเดียวร่อนลงบนหัวไหล่ของเขา
“เปรี้ยง” แสงสีทองแสบตาจากร่างของเซียเอ๋อร์กวาดไปรอบด้าน ทันทีที่ผีร้ายผู้โถมเข้ามาโจมตีทั้งสามตนสัมผัสถูกแสงสีทอง เสียงกรีดร้องหวาดผวาก็ดังออกมาจากกลุ่มปราณสีดำที่ล้อมอยู่ทั่วร่าง
หลิ่วหมิงสะบัดมือที่ทำท่าเคล็ดกระบี่อยู่ กระบี่ขู่หลุนพลันกลายเป็นแสงกระบี่สีม่วงหลายสายพุ่งพรวดออกไป
เสียงกรีดร้องดังขึ้นติดกันสามครั้ง ร่างกายของทหารผีทั้งสามนายถูกฟันกลายเป็นสองท่อน
“เซียเอ๋อร์ ใช้แสงสีทองช่วยเหลือเช่นนี้ต่อ” หลิ่วหมิงสั่งผ่านจิตอย่างเร็วไว
“เจ้าค่ะ นายท่าน” เซียเอ๋อร์ตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงกวาดสายตาไปรอบด้าน ร่างกายขยับพุ่งไปทางที่ภูตผีค่อนข้างบางตา จงใจหลีกเลี่ยงจุดที่มีผีแม่ทัพระดับสูงเกินไปกับจุดที่ภูตผีจำนวนมากกระจุกตัวอยู่
เมื่อมีแสงสีทองของเซียเอ๋อร์ช่วยเหลือ เขาก็ใช้กระบี่ขู่หลุนสลับกับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนบุกผ่านเส้นทางโลหิตท่ามกลางการต่อสู้ ฝ่ามาถึงมุมที่ไม่สะดุดตามุมหนึ่งของสนามรบจนได้
ตลอดทางที่ผ่านมานี้มีผีแม่ทัพอย่างน้อยห้าถึงหกตนตายในมือของเขา ผีรองแม่ทัพตัวอื่นกับภูตผีทั่วไปยิ่งนับไม่ถ้วน
เมื่อมาถึงจุดนี้ ในใจหลิ่วหมิงก็โล่งอกเล็กน้อย กระบี่ขู่หลุนในมือเปล่งแสงสีม่วงสว่างจ้าก่อนจะเลือนรางกลายเป็นเงากระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งออกไปรอบด้าน
เสียงกรีดร้องดังระงม ภูตผียี่สิบกว่าตนบริเวณหลายสิบจั้งเบื้องหน้าแทบจะถูกเขากวาดหมดในครั้งเดียว ศพของภูตผีนับไม่ถ้วนโปรายปรายลงมาดั่งเม็ดฝน
ในตอนนี้เองเงาสีเขียวร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากที่ไหนสักแห่งอย่างกะทันหัน แสงเรืองรองสีเขียวพุ่งออกมาจากปาก ดวงวิญญาณที่หนีออกมาจากศพของภูตผีทั้งหมดถูกแสงเรืองรองสายนี้ม้วนจับเอาไว้ก่อนจะถูกสูบเข้าไปในเงาสีเขียวดวงนี้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ กระบี่ขู่หลุนพลันลอยออกจากมือ แสงกระบี่นับไม่ถ้วนส่องสว่างฟันเข้าใส่เงาสีเขียวร่างนั้นอย่างบ้าคลั่ง
หารู้ไม่ว่าแสงกระบี่กลับทะลุผ่านเงาสีเขียวไปประหนึ่งแทงทะลุอากาศ
“ภูตผีจำพวกดวงวิญญาณ!”
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจส่งกระแสจิตห้ามเซียเอ๋อร์ที่กำลังจะปล่อยแสงสีทอง จากนั้นแสงสีน้ำเงินก็สว่างบนหัวไหล่ ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนปรากฏตัวออกมา มันพ่นแสงเรืองรองสีน้ำเงินออกมาม้วนเงาสีเขียวเอาไว้
เงากรีดร้องหวาดผวา แต่ก็ยังถูกภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนอ้าปากกลืนลงไป
“กล้านักนะ กล้าสังหารเผ่าข้าแล้วยังกล้าทำลายร่างแยกวิญญาณของข้าอีก!”
เสียงตวาดโกรธเกรี้ยวดังมาจากท้องฟ้าเหนือศีรษะ คลื่นลมล่องหนสายหนึ่งพัดมา ภูตผีและผู้ฝึกฝนรอบด้านถูกกระแทกปลิวออกไปจนหมด
หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าไปทันที เขาเงยหน้ามองก็เห็นผีร้ายเส้นผมสีเขียวร่างสวมชุดเกราะกระดูกตนหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะ กำลังมองมาด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว
[1]สือ (十) แปลว่าสิบ ตัวอักษรคำนี้หน้าตาคล้ายเครื่องหมายบวก