ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1055 เมืองเหลิ่งเยวี่ย
หลิ่วหมิงวางแผนจะปลอมตัวเป็นเผ่ายมโลกนามว่า ‘อิ่นหาน’ ผู้นี้แล้วแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกของสถานที่แห่งนี้ จากนั้นหาวิธีสืบเสาะตำแหน่งของเคล็ดวิชากระดูกดำรวมถึงน้ำจากแม่น้ำมืด หลังจากนั้นค่อยคิดหาวิธีกลับไปยังทางปีศาจร้าย
โชควาสนาครั้งใหญ่เช่นนี้มาเยือนถึงหน้าประตู เขาย่อมไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ
สาเหตุที่เขาปลอมเป็นอิ่นหานผู้นี้เพราะประการที่หนึ่งการใช้ตัวตนของเผ่ามนุษย์เดินไปมาในดินแดนแห่งนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ประการที่สองพลังของอิ่นหานไม่สูงมากนัก ไม่สะดุดตาในหมู่เผ่ายมโลก ดังนั้นเมื่อปลอมตัวย่อมไม่ถูกจับได้ง่ายๆ อีกทั้งระยะเวลาที่อิ่นหานต้องประจำอยู่ที่นี่ใกล้จะหมดลงแล้ว ไม่นานเขาก็จะถูกส่งกลับไปยังเมืองเหลิ่งเยวี่ยที่เขาสังกัดอยู่
หลังจากเขาปลอมเป็นเผ่ายมโลกผู้นี้ เขาย่อมปะปนเข้าไปในกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกเพื่อไปสืบหาข้อมูลที่ตนต้องการได้อย่างราบรื่น
แน่นอนหลิ่วหมิงยังขาดของสำคัญอยู่สิ่งหนึ่ง นั่นก็คือภูตผีระดับต่ำจำนวนมากที่จะเอามาแทนผีร้ายเหล่านั้นที่ถูกเฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์สังหารไปก่อนหน้านี้
ได้ยินมาว่าความจริงแล้วเผ่ายมโลกไม่ได้จับผีร้ายมาเพื่ออาศัยภูตผีเหล่านี้สังหารหรือทำร้ายคู่ต่อสู้อย่างเดียว แต่หลักๆ บังคับให้ภูตผีเป็นข้ารับใช้มากกว่าจนกลายเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของเผ่ายมโลกมานานแล้ว
จากความทรงจำของ ‘อิ่นหาน’ แถวนี้มีสถานที่ชุมนุมของเหล่าภูตผีอยู่แห่งหนึ่ง
หลิ่วหมิงขบคิดครู่เดียว ปราณสีดำก็ม้วนรอบร่างกลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งเหาะจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น บนทางสายน้อยกลางป่ามืดสลัว บุรุษผิวซีดเทาสองตนกำลังเดินเคียงกันอยู่อย่างเอื่อยเฉื่อย
ตนที่อยู่ทางซ้ายมือร่างกายสูงเจ็ดฉื่อ ใบหน้าไร้สีเลือด ตรงข้างเอวนอกจากป้ายประจำตัวสีดำสนิทก็มีถุงสีเทาตุงๆ อยู่อีกสองใบ
ผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือหลิ่วหมิงที่เดินทางรอนแรมมายังเมืองเหลิ่วเยวี่ยนั่นเอง
ด้านข้างเขาคือบุรุษเผ่ายมโลกเสื้อสีฟ้าตนหนึ่ง
บุรุษผู้นี้แขนเสื้อพลิ้วไหว ท่วงท่าสง่างาม กำลังสนทนาสัพเพเหระกับหลิ่วหมิง
บุรุษเผ่ายมโลกผู้นี้ชื่อว่าถูคุน พลังระดับผลึกขั้นปลาย เป็นเผ่ายมโลกจากกลุ่มอำนาจเมืองเหลิ่งเยวี่ยตนหนึ่ง เขาเป็นผู้ที่หลิ่วหมิงรู้จักระหว่างที่รวบรวมภูตผี แล้วบังเอิญต้องกลับเมืองเหลิ่งเยวี่ยเช่นเดียวกันจึงร่วมทางมากับหลิ่วหมิง
เมื่อพูดถึงการรวบรวมภูตผี กระบวนการง่ายดายกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากนัก
นอกจากภูตผีตามป่าบางพวก ภูตผีที่สติปัญญาไม่สูงส่วนใหญ่ ทุกวันนี้ล้วนรวมตัวกันเป็นเผ่าเล็กๆ ติดต่อค้าขายแรงงานกับเผ่ายมโลก
หลิ่วหมิงตามหาและสำแดงพลังไปยกหนึ่งกว่าจะใช้สมบัติเกินครึ่งของอิ่นหานหาภูตผีระดับล่างกลุ่มหนึ่งมาได้อย่างราบรื่น
นี่ทำให้หลิ่วหมิงผู้ขัดสนหินยมโลกปวดใจอย่างยิ่ง แต่ก็ทำอันใดไม่ได้
เขาเพิ่งเหยียบถึงที่แห่งนี้ย่อมไม่คิดสร้างความวุ่นวายเพียงเพื่อเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้จนดึงความสนใจของกลุ่มอำนาจในที่แห่งนี้มา
จะว่าไปแล้วระหว่างที่เขาเดินทางร่วมกับถูคุนผู้นี้ เขาก็ได้ข่าวอื่นที่น่าสนใจมาไม่มากก็น้อย
“พี่อิ่นหาน ไม่ปิดบังท่าน ตอนนี้กลุ่มอำนาจในอาณาเขตล้านลี้ต่อสู้กันบ่อยขึ้นทุกที ทุกวันนี้ภูตผีระดับล่างเหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่ยินดีถูกจ้างมาเป็นตัวเบี้ย ครั้งนี้ต้องขอบคุณที่พี่อิ่นหานแสดงวิชาแปลงรูปลักษณ์สองสามกระบวนท่าข่มภูตผีเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ครั้งนี้จึงกลับไปส่งมอบภารกิจได้” ถูคุนหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา
“พี่ถูเกรงใจเกินไปแล้ว พลังของท่านจะรวบรวมภูตผีระดับล่างเหล่านี้ไม่ได้ได้อย่างไร ความจริงแล้วพี่ถูเพียงใจกว้างจึงไม่ยินดีลงมือก็เท่านั้น” หลิ่วหมิงหัวเราะพลางตอบกลับมาเรียบๆ
“ฮ่ะๆ หัวหน้าของภูตผีเหล่านี้ไม่ได้ธรรมดาเช่นที่เห็นภายนอกหรอก เห็นเขาเอาแต่รับปากพวกเราท่าเดียวเช่นนั้น ถ้าพวกเราลงมือทำร้ายเขาบาดเจ็บขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” ถูคุนคิดอะไรขึ้นมาได้จึงถอนหายใจแล้วโบกมือ
“คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเหมือนไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“ฮ่ะๆ ในเมื่อเผ่าภูตผีระดับล่างเหล่านี้อยู่รอดมาได้ ไม่ถูกเผ่าอื่นที่แข็งแกร่งกลืนกินหายไป ย่อมมีวิธีในการเอาตัวรอดของพวกมัน เบื้องหลังพวกมันน่าจะมีที่พึ่งอยู่ ไม่แน่อาจเป็นคนใหญ่โตบางคนในเมืองที่ข้ากับเจ้ารู้จักก็เป็นได้ “ถูคุนเอ่ยตอบ
ตอนนี้หลิ่วหมิงจึงพยักหน้าเหมือนคิดอะไรได้
ระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนากันก็เดินผ่านป่าออกมาแล้ว หลิ่วหมิงรู้สึกว่าเบื้องหน้าฉับพลันสว่างไสว
ห่างออกไปหลายรอยจั้งมีเมืองมหึมาดุจยอดเขายักษ์ตั้งตระหง่านอยู่แห่งหนึ่ง บนประตูเมืองมีอักษรโบราณแลดูแข็งแกร่งเห็นเด่นชัดอยู่สามตัวเขียนไว้ว่า ‘เมืองเหลิ่งเยวี่ย’
แม้ก่อนหน้านี้เขาจะรู้สภาพของเมืองเหลิ่งเยวี่ยมาคร่าวๆ แล้ว แต่เมื่อเห็นเมืองแห่งนี้จริงๆ ในใจก็ยังตกตะลึงอย่างห้ามไม่ได้
ที่นี่ค่อนข้างแตกต่างจากที่เขาจินตนาการเอาไว้ ทั้งเมืองไม่ได้แลดูน่าขนลุก มองจากข้างนอกกลับดูรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง
เมืองแห่งนี้สามด้านล้อมด้วยภูเขา กินพื้นที่ใหญ่พันกว่าหมู่ กำแพงเมืองรอบด้านล้วนก่อมาจากศิลายักษ์สีเทาไม่ทราบชื่อ ทุกช่วงระยะหนึ่งจะปักธงผืนใหญ่สีน้ำเงินที่ปลิวสะบัดตามสายลมผืนหนึ่งไว้
หอที่อยู่รอบด้านสูงเกือบร้อยจั้ง บนหอแต่ละแห่งล้วนมีผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกสวมชุดเกราะสีเทาหม่นหลายตนกำลังเดินไปมาด้วยสีหน้าระแวดระวัง
เมื่อพวกหลิ่วหมิงสองคนเดินมาถึงหน้าประตู ทหารสวมชุดเกราะสีเทาหม่นที่เฝ้าประตูเมืองสองตนก็ขวางทั้งสองตนเอาไว้
“พวกเจ้าสองตน แจ้งฐานะและชื่อแซ่มา!”
บุรุษร่างกำยำผิดธรรมดาตนหนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงเหี้ยมกับพวกหลิ่วหมิงสองคน
“ข้าถูคุน ผู้นี้คืออิ่นหาน พวกเราสองตนต่างได้รับภารกิจจากเมืองเหลิ่งเยวี่ยจึงออกจากเมืองไป ยามนี้กลับมาเพื่อส่งมอบภารกิจ” ถูคุนประสานมือเอ่ยกับศิษย์ที่เฝ้าเมืองสองตนอย่างมีมารยาท
“อิ่นหาน ทำไมข้าไม่เคยได้ยินว่ามีคนอย่างเจ้าอยู่ด้วย? ไปทำภารกิจอะไรมา?” ทหารชุดเกราะร่างเตี้ยที่เฝ้าเมืองอีกตนหนึ่งก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วมองหลิ่วหมิงอย่างพิจารณา
“ข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ใต้การปกครองของท่านปี้โยวเมื่อไม่กี่ปีก่อน หลังจากนั้นก็ถูกส่งไปทำภารกิจข้างนอกทันที ดังนั้นท่านจึงอาจจะไม่เคยเห็นข้า” หลิ่วหมิงหัวใจกระตุก แต่บนใบหน้าไม่เผยสีหน้าผิดปกติออกมาแม้แต่น้อย เขาตอบกลับอย่างนิ่งสงบ
ต่อจากนั้นเขาจึงพลิกมือข้างหนึ่ง ป้ายประจำตัวที่เอามาจากบุรุษร่างใหญ่เผ่ายมโลกผู้นั้นก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้น พร้อมกันนั้นเขาก็จงใจเผยถุงสีเทาตุงๆ ที่อยู่ข้างเอว
“อ้อ มิน่าล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็เข้าไปเถอะ” ทหารเฝ้าเมืองร่างเตี้ยจ้องป้ายคำสั่งอยู่สองสามครั้งแล้วกวาดสายตาผ่านถุงบัญชาผีระดับล่างสองใบข้างเอวหลิ่วหมิง จากนั้นสีหน้าจึงผ่อนคลายลง ส่งป้ายประจำตัวคืนแก่ทั้งสองตนแล้วปล่อยทั้งสองตนไป
พ้นจากบริเวณประตูเมือง หลิ่วหมิงก็ลอบถอนหายใจ
หากไม่ใช่เพราะตนเข้าเมืองมาด้วยฐานะของเผ่ายมโลก เกรงว่าคงจะไม่ง่ายดายเช่นนี้
หลิ่วหมิงเข้ามาในเมืองก็รู้สึกได้ทันทีว่าถนนกว้างขวางด้านในตัวเมืองวังเวงอยู่นิดๆ สิ่งก่อสร้างสารพัดแบบสูงๆ ต่ำๆ กระจัดกระจายอยู่สองฟากฝั่ง ส่วนตรงใจกลางเมืองเบื้องหน้าเห็นป้อมปราการสี่เหลี่ยมหลังหนึ่งอยู่เลือนราง บนป้อมปราการปักธงผืนหนึ่งที่ประทับตัวอักษรขนาดใหญ่สองตัวเอาไว้ เขียนว่า ‘เหลิ่งเยวี่ย’
หลิ่วหมิงไม่รู้สึกแปลกเพราะระหว่างทางที่เขามา เขาฟังถูคุนผู้นี้เล่าสภาพภายในเมืองอย่างผ่านๆ มาบ้าง จึงรู้ว่าเผ่ายมโลกในเมืองแห่งนี้ส่วนใหญ่ล้วนออกไปทำภารกิจด้านนอก เผ่ายมโลกที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ล้วนอยู่รวมกันที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซึ่งเป็นสถานที่คล้ายตลาด
เขาไม่ได้ตรงไปที่ตลาดทันที หลังจากบอกลาและแยกทางกับถูคุน เขาก็เลือกพักในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่อยู่ค่อนข้างห่างไกลแห่งหนึ่งที่ขอบเมืองเหลิ่งเยวี่ย
เที่ยงวันต่อมาหลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ห้องลับด้านในห้องพักของโรงเตี๊ยม เขามองดูแผนที่บนกระดาษหนังสีเหลืองแผ่นหนึ่งในมือด้วยสีหน้ายินดี
นี่คือแผนที่เมืองเหลิ่งเยวี่ยและบริเวณรอบด้าน เช้าวันนี้เขาเดินทางไปตลาดใช้หินยมโลกระดับล่างก้อนหนึ่งแลกมา
แผนที่ระบุว่าเมืองเหลิ่งเยวี่ยตั้งอยู่ในสถานที่นามว่า “แดนวารีมืด” เมืองแห่งนี้เป็นเพียงกลุ่มอำนาจระดับกลางที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งหนึ่ง กลุ่มอำนาจเช่นเมืองเหลิ่งเยวี่ยนี้ บนแดนมืดแห่งนี้มีมากถึงหลายร้อยแห่ง
แต่กลุ่มอำนาจหลายร้อยแห่งในดินแดนนี้ล้วนสวามิภักดิ์ต่อเมืองปี้โยว ซึ่งเป็นเมืองเอกของเผ่ายมโลกในดินแดนผืนนี้
เจ้าเมืองของเมืองปี้โยวคือราชายมโลกปี้โยว เขาเป็นหนึ่งในผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ทั้งเก้าของเผ่ายมโลกในปัจจุบัน พลังลึกล้ำไม่อาจหยั่ง
และแดนวารีมืดแห่งนี้ก็คือดินแดนที่มีสาขาของแม่น้ำมืดอยู่มากที่สุดในหมู่แดนมืดทั้งเก้าแห่งของยมโลก
นี่ทำให้หลิ่วหมิงโล่งอกยิ่งนัก!
อย่างไรยมโลกแห่งนี้ก็ใหญ่เกินไปแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะแผ่นดินใดในเก้าแดนมืดล้วนกว้างขวางไร้ขอบเขต อีกทั้งระหว่างแดนมืด นอกจากเมืองแล้วยังมีสถานที่อันตรายมากมายกระจายอยู่ทั่วไปหมด สถานที่อันตรายบางแห่งซึ่งทำสัญลักษณ์อยู่บนแผนที่ แม้แต่เจ้าเมืองระดับดาราพยากรณ์จำนวนหนึ่งก็ไม่กล้าเข้าไปง่ายๆ
เขาอ่านแผนที่อย่างละเอียดอีกพักหนึ่ง คิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดเล็กน้อย
เพราะดูจากบนแผนที่ แม้แต่ตำแหน่งแม่น้ำมืดที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างจากเมืองเหลิ่งเยวี่ยที่เขาอยู่ตอนนี้ไกลยิ่งนัก พลังของเขาในตอนนี้ การจะอาศัยกำลังของตนเดินทางไปที่นั่น แค่เหาะอย่างเดียวก็ต้องใช้เวลาครึ่งค่อนปี
อีกทั้งจากสัญลักษณ์บนแผนที่ จะไปถึงสถานที่แห่งนั้นต้องผ่านพื้นที่อันตรายอันเลื่องชื่อของแดนวารีมืดอีกหลายแห่ง สถานที่อันตรายเหล่านี้มีเพียงเผ่ายมโลกที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งจึงจะมีวิธีผ่านไปได้อย่างราบรื่น พลังของเขาในตอนนี้บุกเดี่ยวฝ่าไปแทบจะเป็นไปไม่ได้
ด้วยเหตุนี้หลังจากหลิ่วหมิงขบคิดอยู่เนิ่นนาน ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจอยู่ในเมืองเหลิ่วเยวี่ยชั่วคราว รอเขารู้สภาพของยมโลกกับเผ่ายมโลกดีแล้วค่อยหาโอกาสจากไป แล้วจะได้ตระเตรียมสิ่งจำเป็นในการเอาชีวิตรอดในโลกแห่งนี้จำนวนหนึ่งไว้ล่วงหน้าด้วย
ห่างจากเมืองเหลิ่งเยวี่ยไปร้อยกว่าลี้ มีหุบเขาน้อยที่แลดูเงียบสงบอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง
ภูเขาแห่งนี้กินพื้นที่ราวหนึ่งหมู่กว่า เมื่อเทียบกับที่อื่นเห็นชัดว่าปราณยมโลกเบาบางกว่าอยู่บ้าง ภูเขาทั้งลูกนอกจากต้นไม้สีเทาอ่อนโล่งเตียนไม่กี่ต้นก็มีแต่ก้อนศิลาตั้งโด่ก้อนแล้วก้อนเล่า เป็นภูเขารกร้างธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป
เวลานี้ลำแสงสีดำสายหนึ่งกับสีฟ้าสายหนึ่งเหาะเร็วรี่จากที่ไกลมาถึง
ด้านในลำแสงสีดำคือบุรุษร่างใหญ่ใบหน้าไร้สีเลือดผู้หนึ่ง เขาก็คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกนามว่า ‘อิ่นหาน’ นั่นเอง
ด้านในลำแสงสีฟ้าข้างกายเขาคือสตรีเส้นผมสีม่วงแต่งหน้าฉูดฉาดผู้หนึ่ง สีหน้าซีดเป็นสีเทาดุจเดียวกัน นางก็คือสตรีเผ่ายมโลกที่หลิ่วหมิงเพิ่งรู้จักไม่นานมานี้นามว่าโยวหลาน
เวลาหนึ่งเดือนกว่าที่อยู่ในเมืองเหลิ่งเยวี่ย หลิ่วหมิงแทบจะเข้าออกร้านค้าทุกร้านในเมืองเหลิ่งเยวี่ยจนทั่ว แต่สิ่งที่ได้มากลับไม่มากนัก เขาได้รู้เกี่ยวกับวัตถุดิบของเผ่ายมโลกบางอย่างและอาวุธยมโลกที่อาศัยปราณหยินในการใช้งาน แต่ไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับเคล็ดวิชากระดูกดำจากที่ใดทั้งสิ้น
ดังนั้นเขาจึงเริ่มใช้ตัวตนของอิ่นหานไปผูกมิตรกับยอดฝีมือเผ่ายมโลกที่พลังระดับเดียวกันจำนวนหนึ่ง เพื่อสืบหาข่าวที่ตนต้องการจากคนเหล่านี้
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงผิดหวังอยู่บ้างก็คือแม้ในเวลาสั้นๆ สิบกว่าวันเขาจะผูกมิตรกับเผ่ายมโลกพลังระดับผลึกขั้นปลายไปจนถึงระดับแก่นแท้ขั้นต้นหลายตน แต่ข่าวสารที่ได้จากเผ่ายมโลกเหล่านี้กลับน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ยังดีที่สตรีนางหนึ่งในนั้นที่ชื่อโยวหลานรู้จักสถานที่แลกเปลี่ยนสิ่งของอันลึกลับแห่งหนึ่งใกล้เมืองเหลิ่งเยวี่ย เมื่อหลายวันก่อนมีข่าวลือออกมาว่าในงานแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะมีเคล็ดวิชากลั่นหยดพลังวารีที่หลิ่วหมิงต้องการ ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงนัดเดินทางไปยังงานแลกเปลี่ยนด้วยกัน หวังว่าจะได้บางสิ่งกลับมา