ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1056 เคล็ดวิชาพันกลั่นวารี
“พี่อิ่นหาน พวกเรามาถึงแล้ว!”
ทั้งสองคนอ้อมต้นไม้สีเทาอ่อนโล่งเตียนหลายต้นแล้วหยุดอยู่ด้านข้างศิลายักษ์ก้อนหนึ่งตรงไหล่เขา
บนใบหน้าของหลิ่วหมิงปรากฏสีหน้าประหลาดใจจางๆ เขาอาศัยจิตสัมผัสอันแข็งแกร่งของตนสำรวจสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียดตั้งแต่ไกลรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่พบชั้นจำกัดอันใดที่นี่ทั้งสิ้น
ระหว่างที่หลิ่วหมิงสงสัยอยู่นั่นเอง โยวหลานก็ไปถึงด้านข้างก้อนหินยักษ์ก้อนนั้นแล้วเคาะบนก้อนหินยักษ์เป็นจังหวะติดกันหลายครั้ง
“ครืน” เสียงสั่นไหวดังขึ้น ก้อนหินยักษ์เลื่อนออกช้าๆ เผยให้เห็นถ้ำสีดำใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่ง
“พี่อิ่นหาน พวกเราไปกันเถอะ”
โยวหลานก้าวไปข้างหน้าแล้วมองเข้าไปในถ้ำ หลังจากพบว่าไม่มีสิ่งผิดปกติจึงหันกลับมาเรียกหลิ่วหมิงเสียงดัง
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปด้วยกันกับนาง
ทันทีที่เหยียบเข้าไปในถ้ำ ทางเดินทอดยาวสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกหลิ่วหมิง
บันไดศิลาสีเทาลาดชันขั้นแล้วขั้นเล่าทอดคดเคี้ยวไปเบื้องหน้า มุ่งตรงเข้าไปในตัวภูเขา สองฟากฝั่งของทางเดิน ผลึกหินสีดำก้อนแล้วก้อนเล่าทอแสงเรืองๆ เพิ่มสีสันประหลาดเล็กน้อยให้แก่ทางเดินเส้นนี้
ไม่รู้ว่าเพราะอิทธิพลจากบรรยากาศในสถานที่แห่งนี้หรือเปล่า หลิ่วหมิงกับโยวหลานจึงเดินตามทางไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้สนทนากันอีก
หลิ่วหมิงเดินไปพลางก็ลูบแหวนวงหนาสีดำบนนิ้วหัวแม่มือของมือขวาไปด้วย ในใจกะประมาณสมบัติที่ตนมีวันนี้ซ้ำไปซ้ำมา
สิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนในยมโลกไม่ใช่หินจิตวิญญาณแต่เป็นหินยมโลก
ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในทางปีศาจร้าย เขาสังหารภูตผีไปไม่น้อย แม้ส่วนใหญ่จะถูกอสูรเลี้ยงทั้งสองตัวกินเข้าไป แต่ก็ยังมีวัตถุดิบจากร่างของภูตผีระดับผลึกไปจนถึงระดับแก่นแท้เก็บเอาไว้อยู่บ้าง สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับหลอมอาวุธยมโลกหรือโอสถในที่แห่งนี้ได้
หลายวันมานี้เขาเข้าออกตลาดเมืองเหลิ่งเยวี่ยทุกสามวันห้าวัน แลกวัตถุดิบจากภูตผีระดับผลึกและระดับต่ำกว่านั้นจำนวนหนึ่งเป็นหินยมโลกได้แปดพันกว่าก้อน
อย่าได้ดูเบาหินยมโลกเท่านี้ ในยมโลกนี่เป็นทรัพย์สมบัติจำนวนไม่ธรรมดาแล้ว
ต้องรู้ว่า ภารกิจที่จวนเจ้าเมืองแจกจ่าย มีรางวัลเป็นหินยมโลกไม่กี่สิบก้อนไปจนถึงหลายร้อยก้อนตามความยากง่ายของมัน ภารกิจที่ให้รางวัลเป็นหินยมโลกหลักพันก้อนบ้างก็เสียเวลานาน บ้างก็ทำสำเร็จได้ยากยิ่ง งานอย่างเช่นการจับหรือจัดหาภูตผี ภูตผีระดับของเหลวจิตวิญญาณตัวหนึ่งก็แลกหินยมโลกได้เพียงสิบถึงยี่สิบก้อนเท่านั้น
แต่หากจับหรือหาเผ่ายมโลกเพิ่งเกิดจำนวนหนึ่งกลับมาที่เมืองได้ นั่นอย่างน้อยที่สุดก็จะได้รางวัลเป็นหินยมโลกระดับกลางห้าก้อน หากพรสวรรค์ของตนหนึ่งในนั้นดีก็จะได้รางวัลพิเศษต่างหาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่แปลกที่ เผ่ายมโลกที่มีพลังระดับนั้นอย่าง ‘อิ่นหาน’ จะวิ่งโร่เข้าหางานนี้
นอกจากหินยมโลกเหล่านี้ ในแหวนวงนี้ของหลิ่วหมิงยังเหลือวัตถุดิบหายากจากภูตผีระดับแก่นแท้อีกสามอย่าง เตรียมไว้สำหรับเวลาที่จำเป็น
สิ่งเหล่านั้นได้แก่ปีกของอสูรแห่งความมืดภูตนกเค้าแมว โครงกระดูกของผีดิบหมาป่าเพลิงรวมถึงตาทิพย์ของราชาผีตาเดียว
จากที่เขาเลียบเคียงถามในตลาดหลายวันนี้ เขารู้ว่าวัตถุดิบจากภูตผีระดับแก่นแท้เหล่านี้มีค่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แต่ละชิ้นอย่างน้อยก็มีค่าห้าสิบก้อนหินยมโลกระดับกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผีดิบหมาป่าเพลิงตัวนั้น พลังบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้วยังมีโครงกระดูกครบร่างอีก ถือเป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมที่จะนำไปสร้างหุ่นกระดูก
หุ่นกระดูกเป็นวิชาสร้างหุ่นแบบพิเศษของยมโลก แม้พลังจะลดลงจากตอนมีชีวิตไปไม่น้อย แต่ก็ดีว่าภูตผีตรงที่มันไม่ทรยศ ดังนั้นจึงเป็นที่ต้องการอย่างมาก
ระหว่างที่ครุ่นคิด ทั้งสองคนก็มาถึงสุดปลายทางเดินยาวอย่างรวดเร็วยิ่ง ประตูศิลาขนาดไม่ใหญ่บานหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา
ชายหนุ่มผอมแห้งสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีเทาตนหนึ่งรออยู่ที่หน้าประตูศิลาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาเห็นพวกหลิ่วหมิงสองคนเดินมาก็ยื่นเขนข้างหนึ่งขวางทั้งสองคนเอาไว้ทันที
โยวหลานเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดพร่ำ นางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ล้วงเทียบเชิญสีเทาที่หม่นหมองไร้แสงสองแผ่นออกมาจากในแขนเสื้อส่งไปยังมือของเขา
ชายหนุ่มผอมแห้งรับเทียบมาแล้วกวาดสายตารอบหนึ่ง ปากท่องมนตร์แผ่วเบาหลายประโยค จากนั้นอักขระสีเทาสองตัวก็ลอยขึ้นมาจากเทียบเชิญทั้งสองแผ่น พวกมันหมุนกลางอากาศก่อนจะกลายเป็นกลุ่มหมอกสองก้อนพุ่งมาล้อมร่างของพวกหลิ่วหมิงแต่ละคนไว้ด้านในทั้งตัว
หลิ่วหมิงหัวใจกระตุกไปวูบหนึ่ง แต่เมื่อพบว่าหมอกสีเทานี้ไม่ส่งผลกับการมองเห็นของตน เขาจึงปล่อยจิตสัมผัสออกไปกวาดบนร่างโยวหลานที่อยู่ด้านข้าง แล้วก็พบว่าทันทีที่จิตสัมผัสแตะถูกหมอกสีเทานั่นกลับถูกขวางอยู่ด้านนอกอย่างง่ายดาย
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงโล่งอกขึ้นบ้าง ความกังวลที่มีอยู่ก่อนหน้าหายไปหมดสิ้น
อึดใจต่อมาชายหนุ่มผอมแห้งผู้นั้นก็ยกมือผลักประตูศิลาให้เปิดออก พร้อมกับยื่นนิ้วออกมา ทำท่าบอกให้ทั้งสองคนเข้าไปทีละคน
“พี่อิ่นหาน น้องเข้าไปก่อนแล้ว” โยวหลานเอ่ยกับหลิ่วหมิงประโยคหนึ่ง ร่างกายก็พุ่งเข้าไปด้านใน
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็เข้าประตูตามหลังไป เขาเห็นแสงสว่างจ้าวูบหนึ่ง หลังจากนั้นห้องโถงสี่เหลี่ยมขนาดยี่สิบถึงสามสิบจั้งห้องหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า
ห้องโถงมืดสลัวอยู่บ้าง ด้านในมีเก้าอี้หินสีเทายี่สิบถึงสามสิบตัว เกือบครึ่งในนั้นมีคนนั่งอยู่แล้ว ชาวเผ่ายมโลกเหล่านี้ต่างมีหมอกสีเทาล้อมอยู่ดุจเดียวกัน ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้
ส่วนด้านหน้าสุดเป็นโต๊ะศิลาทรงสี่เหลี่ยมเตี้ยๆ ยาวสองถึงสามจั้งตัวหนึ่ง เวลานี้บนนั้นว่างเปล่า
หลิ่วหมิงไม่สนใจ เขาหาเก้าอี้ที่มุมหนึ่งแล้วนั่งลงรอคอยอย่างเงียบสงบ
เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป ผู้คนในห้องโถงสี่เหลี่ยมก็มากขึ้นเรื่อยๆ เก้าอี้ถูกจับจองจนเต็ม คนที่เหลือก็ไม่ใส่ใจยืนรอคอยอยู่ตรงพื้นที่ว่างรอบด้าน
หลิ่วหมิงกวาดสายตามอง ทั้งห้องโถงมีเผ่ายมโลกอยู่ราวสี่สิบถึงห้าสิบตนแล้ว
ในเวลานี้เองเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นหน้าโต๊ะศิลาเบื้องหน้า ผู้เฒ่าเผ่ายมโลกผู้ไว้หนวดสามปอยผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น แรงกดดันจิตวิญญาณแผ่ออกมาผลุบๆ โผล่ๆ
“เผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ขั้นปลาย!” หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว ลอบเอ่ยในใจ
จะว่าไปแล้ว นี่เป็นเผ่ายมโลกระดับพลังสูงที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมานับแต่เข้ามาในยมโลก มองแวบแรกนอกจากผิวบนใบหน้าที่ซีดเป็นสีเทา ไม่มีสีเลือดสักนิด ก็ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกับผู้เฒ่าเผ่ามนุษย์เลย
“ข้าเป็นใคร ผู้ที่อยู่ที่นี่คงมีไม่กี่คนที่ไม่รู้จัก ข้าจะไม่เปลืองน้ำลายแนะนำตัว งานแลกเปลี่ยนในวันนี้เป็นดังเช่นปกติ ทุกท่านใช้ของแลกของกันเอง ขอเพียงไม่ทำเรื่องฝ่าฝืนกฎเป็นพอ ตามธรรมเนียม เมื่อการแลกเปลี่ยนลุล่วง พวกเราจะหักค่าใช้จ่ายเป็นหินยมโลกห้าส่วนในร้อย ทุกท่านไม่มีคำถามกระมัง?” ผู้เฒ่าหนวดยาวยืนตั้งหลักมั่นคงก็เอ่ยปากพูดทันที
เมื่อคำนี้เอ่ยออกมา สายตาของทุกคนในห้องโถงก็ถูกดึงไปในพริบตา ไม่มีผู้ใดแย้งประการใด
ผู้เฒ่าหนวดยาวเห็นเช่นนี้จึงพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากกระแอมครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อ
“ถึงเวลาสมควรแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มเลยเถิด” ระหว่างคำพูดทั้งสองท่อนของผู้เฒ่าเว้นวรรคเพียงไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ดูท่าการถามก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงคำพูดตามมารยาทเป็นพิธีเท่านั้น
หลังจากพูดจบ ผู้เฒ่าก็หลบไปทางซ้ายสองสามก้าว ทิ้งตำแหน่งตรงกลางเอาไว้
อึดใจต่อมา ในที่นั้นพลันเงียบกริบ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงหรี่สองตาลงเล็กน้อย แต่ยังไม่เคลื่อนไหวอย่างใด
แต่สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินไปไม่นานนัก หลังจากแสงสีเทาสว่างวูบหนึ่งบนเวทีก็มีร่างที่ถูกหมอกสีเทาหุ้มอยู่ทั้งตัวร่างหนึ่งโผล่มา
เขายกแขนเสื้อขึ้น แสงสีดำบนมือกะพริบวูบหนึ่ง ทันใดนั้นบนโต๊ะด้านหน้าก็มีถุงสีเงินฟีบๆ ใบหนึ่งปรากฏขึ้น พร้อมกับสมุนไพรจิตวิญญาณสีม่วงที่มีปราณสีดำสายหนึ่งลอยวนเวียน
หลิ่วหมิงไม่รู้จักสมุนไพรจิตวิญญาณนั่น สายตาจึงเลื่อนไปจับที่ถุงสีเงินใบนั้น ของสิ่งนั้นดูคล้ายกับถุงบัญชาผีที่เขาได้มาก่อนหน้านี้อยู่บ้าง แต่มันประณีตกว่าไม่น้อย บนผิวมีลวดลายจิตวิญญาณไม่ทราบชื่อวาดอยู่ถี่ยิบ
“ถุงบัญชาผีระดับสูงที่ใส่ผีร้ายระดับแก่นแท้ได้หนึ่งใบกับหญ้าเซี่ยงหยินอายุพันปีหนึ่งต้น แลกกับหินยมโลกเท่านั้น ถุงบัญชาผีหินยมโลกสองพันก้อน หญ้าเซี่ยงหยินหินยมโลกสามพันก้อน”
“ถุงบัญชาผีระดับสูงหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยิน ในใจก็อึ้งไปชั่วครู่
ระหว่างที่เขายังครุ่นคิดอยู่นั่นเองก็มีคนเอ่ยราคาขึ้นมา
“ถุงบัญชาผีข้าเอา!”
“ข้าให้สองพันห้าร้อย!”
“หญ้าเซี่ยงหยินนั่นข้าให้หินยมโลกสามพันห้าร้อยก้อน!”
……..
พริบตาเดียวราคาของสองสิ่งที่คนผู้นี้หยิบออกมาก็ปีนสูงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายถุงบัญชาผีระดับสูงนั่นถูกคนซื้อไปด้วยราคาหินยมโลกสามพันแปดร้อยก้อน ส่วนหญ้าเซี่ยงหยินถูกประมูลไปด้วยราคาสูงหินยมโลกสี่พันแปดร้อยก้อน
คนผู้นั้นเหมือนจะพอใจกับราคานี้ หลังการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นจึงหยิบหินยมโลกถุงเล็กถุงหนึ่งโยนให้ผู้เฒ่าหนวดยาวที่ยืนอยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นจึงสนใจแต่กลับไปยังที่นั่งของตนเอง
“สุนัขยมโลกสองหัวหนึ่งตัว พลังระดับแก่นเสมือน หากเลี้ยงให้ดี มีหวังเลื่อนขึ้นระดับแก่นแท้ ราคาต่ำสุดหินยมโลกห้าพันก้อน” หลังจากคนผู้นั้นผละออกมา เผ่ายมโลกอีกตนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นหลังโต๊ะศิลา มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวัก เรียกผีสุนัขดุร้ายที่มีสองหัวขนาดราวหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งออกมา
……
ต่อจากนั้นสินค้าชิ้นแล้วชิ้นเล่าก็ถูกคนนำออกมาไม่ขาดสาย พวกมันทยอยถูกประมูลออกไปด้วยราคาไม่ธรรมดา
ทว่าแม้สิ่งของที่ปรากฏออกมาก่อนหน้านี้จะดูไม่เลว แต่ไม่มีประโยชน์อันใดต่อหลิ่วหมิง
ขณะที่หลิ่วหมิงคิดว่าครั้งนี้คงจะกลับไปมือเปล่าแล้วนั่นเอง เสียงหนึ่งก็ทำให้เขาตื่นเต้น
“เคล็ดวิชาพันกลั่นวารี เคล็ดวิชาเพียงหนึ่งเดียวที่กลั่นน้ำจากแม่น้ำมืดเป็นหยดพลังวารีได้ ขั้นต่ำหินยมโลกหนึ่งหมื่นก้อน!”
เงาร่างสูงใหญ่ที่ถูกไอหมอกสีเทาล้อมอยู่ร่างหนึ่งปรากฏตัวหลังโต๊ะศิลาด้านหน้าตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ เขาพลิกมือเรียกคัมภีร์ที่แลดูทรุดโทรมเล็กน้อยเล่มหนึ่งออกมาแล้วเอ่ยเช่นนี้
ทว่าสถานการณ์หลังจากที่ของสิ่งนี้ปรากฏกลับแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างยิ่ง ทั้งห้องโถงเงียบกริบจนวังเวง
นี่ก็ไม่แปลก ตามราคาตลาดแล้ว หินยมโลกหนึ่งหมื่นก้อนไม่ใช่ราคาน้อยๆ มันเพียงพอแลกอาวุธยมโลกระดับสุดยอดได้ชิ้นหนึ่ง แค่เคล็ดวิชาหลอมสร้างวิชาเดียวเท่านี้ แพงเกินไปอยู่บ้างจริงๆ
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ฝืนกดอารมณ์ตื่นเต้นในใจลงไป
เคล็ดวิชากลั่นหยดพลังวารีทั่วไป เขามีอยู่แล้ว แต่น้ำจากแม่น้ำมืดไม่ใช่น้ำจากทะเลสาบหรือมหาสมุทรธรรมดา ต้องใช้เคล็ดวิชาพิเศษที่เกี่ยวข้องของเผ่ายมโลกจึงจะกลั่นออกมาได้
นี่เป็นเป้าหมายสำคัญที่เขาเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนครั้งนี้
แม้เขายังไม่เคยเห็นหยดพลังวารีที่กลั่นจากน้ำของแม่น้ำมืดกับตา แต่หลายวันก่อนเขาเคยได้ยินเถ้าแก่ของร้านบางร้านในเมืองพูดถึง ไม่ว่าใช้ฝึกฝนหรือใช้เป็นวัตถุดิบหลอมอาวุธ หยดพลังวารีที่กลั่นจากน้ำของแม่น้ำมืดล้วนเป็นสิ่งของมูลค่าสูงที่หยดพลังวารีซึ่งกลั่นจากสายน้ำธรรมดาไม่อาจเทียบได้
นี่ทำให้เขาวางแผนจะกลั่นหยดพลังวารีจากแม่น้ำมืดอย่างไม่ลังเลสักนิด
ประการแรกหากใช้กับการฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ หยดพลังวารีจากแม่น้ำมืดซึ่งเป็นน้ำจากแม่น้ำมืดที่ถูกบีบอัดย่อมใช้ฝึกฝนได้ผลดียิ่งขึ้น
ประการที่สองหากใช้กับมุกบรรพตธาราทั้งสิบสองลูก ไม่แน่อาวุธเวทที่หลอมออกมาอาจมีพลังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้น ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือต่อให้มีเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้อง การกลั่นหยดพลังวารีจากแม่น้ำมืดก็คงต้องเสียเวลาไม่น้อย
แต่หลิ่วหมิงไม่รีบร้อนเอ่ยราคา เขาเตรียมจะดูสถานการณ์สักพักก่อน
แม้ที่ตัวเขาจะมีหินยมโลกไม่มากถึงขนาดนั้น แต่หากนำวัตถุดิบจากภูตผีระดับแก่นแท้สองสามชิ้นนั้นออกมาแลกกับของสิ่งนี้ย่อมเหลือเฟือ