ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1158 แผ่นศิลาลึกลับ
เห็นชัดว่าไส้เดือนสัมผัสได้ถึงความเร็วที่เปลี่ยนไปของหลิ่วหมิง มันร้องคำรามด้วยความหวาดกลัว ร่างกายทิ้งตัวลงเบื้องล่างอย่างฉับพลัน หนีเข้าไปในหุบเขาแห่งหนึ่งด้านล่างทันที
ในเวลาเดียวกันมันก็หันหัวกลับมาพ่นลำแสงสีเทาหนาเส้นหนึ่งโจมตีหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงขยับมือทำท่าเคล็ดกระบี่ ปราณกระบี่สีม่วงรอบร่างเปล่งแสงสว่างจ้าหมุนวนรอบร่าง จากนั้นก่อตัวเป็นกระบี่ยักษ์สีม่วงกึ่งโปร่งใสขนาดร้อยจั้งเล่มหนึ่งในพริบตา เส้นสายฟ้าสีม่วงเส้นแล้วส้นเล่าวนล้อมอยู่บนตัวกระบี่
วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งนั่นเอง!
กระบี่ยักษ์ยังไม่ทันขยับ อากาศรอบด้านพลั่นสั่นสะเทือนเป็นวงคลื่นที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
หลังจากเลื่อนเข้าสู่ระดับแก่นแท้ พลังของหลิ่วหมิงยามใช้วิชาลับชนิดนี้มากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
กระบี่ยักษ์สีม่วงฟันลงมาแผ่วเบาก็โจมตีลำแสงสีเทาที่ไส้เดือนพ่นออกมาจนสลาย ต่อจากนั้นขยับวูบเดียวก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวไส้เดือน
ไส้เดือนถูกจิตกระบี่ท่วมฟ้าสายหนึ่งบีบเข้าใกล้จึงหวาดผวาอย่างห้ามไม่ได้ กระบี่ยักษ์สีม่วงว่องไวนัก มันทำทันเพียงสร้างแสงคุ้มกันร่างสีเทาชั้นหนึ่ง กระบี่ยักษ์ก็พาลมปราณยิ่งใหญ่ฟันลงมาแล้ว
ในตอนนี้เองผิวของกระบี่ยักษ์พลันเกิดเสียงอสนีบาตคำราม อสนีบาตสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าฉับพลันปรากฏ ชั่วพริบตากระบี่ยักษ์สีม่วงกลายเป็นกระบี่สายฟ้าสีทอง
กระบี่สายฟ้าสีทองพร่าเลือนวูบหนึ่งก็แล่นผ่านร่างกายของไส้เดือนในพริบตา แสงสีเทาบนร่างของมันฉีกแยกจากกันเสียงดังประหนึ่งกระดาษ
ร่างกายของแมลงโงนเงนอยู่กลางท้องฟ้า พริบตาเดียวตรงหน้าอกกับส่วนท้องก็สะบั้นเป็นสอง โลหิตสีเทานับไม่ถ้วนสาดกระจาย
กระบี่ยักษ์สีทองกะพริบแสงแล้วสลายตัวไป เผยร่างของหลิ่วหมิงออกมา
เวลานี้บนร่างของเขามีอสนีบาตสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าวนล้อมดุจเทพสายฟ้าสีทององค์หนึ่ง บนหน้าอกมีตราสัญลักษณ์ห้าสีอันลี้ลับซับซ้อนดวงหนึ่งปรากฏ นั่นก็คือตราสัญลักษณ์ของวิชาสายฟ้าสวรรค์นั่นเอง
แสงอสนีบาตสีทองเปล่งแสงวูบเดียวก็หายไป หลิ่วหมิงสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย แต่ในดวงตาฉายแววยินดีอยู่เจือจาง
เมื่อผสานวิชาสายฟ้าสวรรค์เข้าไปในกระบี่ขู่หลุน พลังของกระบี่หลุนก็มากขึ้นอักโขอย่างเห็นได้ชัด มิเช่นนั้นแม้วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งเมื่อครู่จะทำร้ายแมลงระดับดาราพยากรณ์ได้ แต่ก็คงไม่อาจสะบั้นมันเป็นสองส่วนได้อย่างหมดจด
ร่างกายสองท่อนของไส้เดือนร่วงลงกระแทกพื้นหุบเขาดุจอุกกาบาต ฝุ่นดินนับไม่ถ้วนฟุ้งขึ้นมา
ทว่าตรงรอยแผลระหว่างร่างกายสองท่อนนี้กลับมีแสงสีเทาสายหนึ่งไหวเวียนวน จากนั้นทั้งสองท่อนพลันกลายเป็นแสงสีเทาสองสายหนีแยกไปสองทิศทาง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนั้นก็ตะลึงไปวูบหนึ่ง แต่ทันใดนั้นก็แค่นเสียงหยัน เขาตบหัวไหล่ซ้าย แสงเรืองรองสีน้ำเงินม้วนตัวเข้าไปล้อมร่างกายท่อนที่เป็นส่วนหัวของไส้เดือนอย่างว่องไวปานสายฟ้าแลบ ในเวลาเดียวกันมืออีกข้างหนึ่งก็ชิ้นิ้ว กระบี่บินขู่หลุนพุ่งพรวดดุจสายฟ้าไปยังทิศทางของร่างกายอีกครึ่งท่อน
แสงกระบี่ไวดุจสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็แล่นวนรอบร่างกายอีกครึ่งท่อน แล้ววนถอยย้อนกลับพร้อมเสียงหวีดแหลม “บึ๊ม” ร่างกายครึ่งท่อนของไส้เดือนฉับพลันสลายกลายเป็นผุยผง
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นแสงเรืองรองสีน้ำเงินก็ม้วนตัวกลับมาตรงหน้าหลิ่วหมิง
ด้านในแสงสีน้ำเงินหุ้มดวงแสงสีเทาดวงหนึ่งไว้ มันกำลังพุ่งชนซ้ายทีขวาทีดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ทว่าทุกครั้งที่มันสัมผัสถูกแสงสีน้ำเงิน แสงสีเทาของตัวมันก็ถูกแสงสีน้ำเงินกลืนกินเข้าไปไม่น้อย
หลังจากลองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดดวงแสงสีเทาก็ยอมอยู่เฉยๆ ด้านในมองเห็นคนขนาดจิ๋วที่ครึ่งร่างเป็นมนุษย์ครึ่งร่างเป็นไส้เดือนอยู่เลือนราง น่าจะเป็นดวงจิตของแมลงระดับดาราพยากรณ์ตัวนี้
“จู๋เสิน! นี่คือพลังของจู๋เสิน เจ้าหนู เจ้าฝึกปรือพลังนี้ได้อย่างไร?” ดวงจิตของแมลงกรีดร้องเสียงดุดันใส่หลิ่วหมิง
“พูดมากจริง!”
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วสองข้าง เขาคร้านจะเปลืองคำพูดกับดวงจิตของแมลงตัวนี้ มือข้างหนึ่งยื่นเข้าไปในแสงสีน้ำเงิน แสงสีดำแผ่ออกจากมือล้อมดวงจิตของแมลงไว้ด้านใน
วิชาลับค้นวิญญาณ!
แมลงระดับดาราพยากรณ์น่าจะรู้เรื่องราวไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังพลของแมลงที่กระจายอยู่ในเทือกเขาหม่อนเขียว มิเช่นนั้นหลิ่วหมิงคงสังหารดวงจิตดวงนี้ในหมัดเดียวไปนานแล้ว
“อ้าก!”
“เจ้าครอบครองพลังของจู๋เสิน…ย่อมเป็นคนที่พวกเราเผ่าหนอนผีเสื้อต้องสังหาร…ท่านราชินีหนอนผีเสื้อไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้!” ดวงจิตของแมลงระดับดาราพยากรณ์คำรามเสียงเหี้ยม เสียงเบาลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นความเงียบ
หลิ่วหมิงสีหน้าเรียบเฉยไม่สนใจแม้สักนิด ฝ่ามือเปล่งแสงสีดำสว่างจ้าล้อมดวงจิตของแมลงระดับดาราพยากรณ์ไว้ จากนั้นพลังจิตมหาศาลจึงแทรกเข้าไปด้านใน
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หลิ่วหมิงจึงลืมตาขึ้น สองมือถูกันทันที ดวงวิญญาณของแมลงกรีดร้องโหยหวนครั้งหนึ่งก่อนสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
ในตอนนี้เองลำแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งก็เหาะเร็วรี่มาถึง หลังจากกะพริบแสงวูบหนึ่ง เรือนร่างอรชรของหลงเหยียนเฟยก็ปรากฏตัวขึ้น
สตรีนางนี้เห็นศพของไส้เดือนบนพื้น รูม่านตาพลันหดเล็กลงเล็กน้อย จากนั้นดวงตาก็ฉายแววยินดี มือข้างหนึ่งยกขึ้นโบก กระบี่น้อยสีเงินที่แผ่ปราณกระบี่ดุดันเล่มหนึ่งลอยออกมาจากศพของแมลง เหาะฟึบกลับมาอยู่ในมือของนาง
กระบี่น้อยสีเงินแสงหม่นหมองลงไปบ้าง เห็นชัดว่าพลังจิตวิญญาณถูกทำลายตอนอยู่ในท้องของแมลงเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ในที่สุดหลงเหยียนเฟยก็ถอนหายใจ ดวงเนตรงามทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ศิษย์น้องหลิ่วฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ เวลาเพียงครู่เดียวก็สังหารแมลงระดับดาราพยากรณ์ตัวหนึ่งได้ตามลำพัง หากนำเรื่องนี้กลับไปรายงานนิกาย เกรงว่าคงจะได้รับรางวัลไม่น้อย”
“ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ แล้วหันกลับไปมองหุบเขาที่อยู่ไม่ไกลด้านหน้า
“พลังของศิษย์น้องในยามนี้คงเป็นลำดับหนึ่งใต้ระดับดาราพยากรณ์แล้ว น้องเจียหลานช่างมีวาสนาดีจริงๆ” หลงเหยียนเฟยมองหลิ่วหมิง ในน้ำเสียงเหมือนจะแฝงความอิจฉาอยู่เล็กน้อย
“ศิษย์พี่หลงมองข้าสูงเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงตอบเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย เขามองศพแมลงบนพื้นแวบหนึ่งแล้วจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบก วงล้อสีทองชิ้นหนึ่งลอยออกมา มันหมุนติ้วรอบหนึ่งก่อนจะหยุดแล้วกลายเป็นวงล้อสีทองจิ๋วขนาดหนึ่งฉื่อกว่าชิ้นหนึ่งร่วงลงในมือของเขา
“เรื่องทางนี้จบแล้ว ศิษย์พี่คุนด้านนั้นก็น่าจะเริ่มกวาดล้างแมลงในเหมืองแร่อยู่ รบกวนศิษย์พี่หลงมอบของสิ่งนี้ให้ศิษย์พี่คุน ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องจัดการสักหน่อย” หลิ่วหมิงส่งวงล้อสีทองจิ๋วให้หลงเหยียนเฟยแล้วไม่รอนางเอ่ยตอบ ร่างกายขยับวูบเดียวกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งเหาะจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
หลงเหยียนเฟยรับวงล้อสีทองจิ๋วมา แล้วมองเงาแผ่นหลังของหลิ่วหมิงที่ค่อยๆ หายลับไปไกลด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่ออย่างอึ้งๆ
แม้นางนึกสงสัยอยู่บ้างว่าหลิ่วหมิงต้องการจะทำอะไร แต่หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ไม่ได้ตามไป ตรงกันข้ามนางใช้เคล็ดกระบี่หมุนตัวเหาะกลับไปยังทางที่มา
เวลาครึ่งก้านธูปหลังจากนั้น หน้าหุบเขาแห่งหนึ่งบนยอดเขาหยก ร่างกายของหลิ่วหมิงยืนอยู่กลางท้องฟ้า เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เมื่อจิตสัมผัสไม่พบว่าหลงเหยีนเฟยติดตามมา สีหน้าจึงโล่งอกขึ้นเล็กน้อยแล้วมองถ้ำแห่งหนึ่งด้านหน้า
ในความทรงจำของแมลงระดับดาราพยากรณ์ตัวนั้น นอกจากเขาจะพบข้อมูลเกี่ยวกับแมลงบนเทือกเขาหม่อนเขียวแล้วยังพบความลับเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือถ้ำแห่งนี้ตรงหน้า
การที่แมลงระดับดาราพยากรณ์หนีมาทางทิศนี้มิใช่เรื่องไร้สาเหตุ!
เขาท่องมนตร์หลายประโยคออกจากปาก บนร่างแผ่แสงสีดำออกมาเป็นระยะ จากนั้นร่างกายขยับวูบเดียวก็เหาะเข้าไปในถ้ำ
ถ้ำแห่งนี้ลดเลี้ยวเคี้ยวคดทอดตัวลงไปใต้ดิน
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ เขาก็มาถึงถ้ำลาวาใต้ดินขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง บนกำแพงหินด้านหนึ่งมีประตูศิลาสี่เหลี่ยมสีดำขนาดหลายจั้งบานหนึ่งเปิดอยู่ เห็นชัดว่าเป็นสิ่งที่มีผู้สร้างขึ้น แต่เวลานี้ประตูศิลาถูกทำลายไปแล้ว
หลิ่วหมิงตั้งสติแล้วเหาะเข้าไปอย่างช้าๆ
ด้านหลังประตูศิลาคือห้องศิลาโอ่โถงขนาดหลายสิบจั้งแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนถ้ำที่พักของผู้ฝึกฝนสักคน
ในห้องศิลาว่างโล่ง มองปราดเดียวแทบไม่มีสิ่งใดอยู่ มีเพียงแท่นศิลาทรงกลมขนาดหลายจั้งแท่นหนึ่งที่นูนขึ้นมาจากบนพื้นตรงกลางเท่านั้น
แท่นศิลาแลดูค่อนข้างโบราณ น่าจะมีอายุมาไม่น้อยแล้ว ใจกลางแท่นวางแผ่นศิลาสีน้ำเงินแปลกตาขนาดหนึ่งจั้งกว่าชิ้นหนึ่งอยู่ บนนั้นสลักยันต์กับลวดลายค่ายกลไว้มากมายถี่ยิบนับไม่ถ้วน มองแวบแรกเหมือนจะเป็นแผ่นค่ายกลที่ซับซ้อนอย่างยิ่งแผ่นหนึ่ง
รอบแผ่นศิลาฝังหินจิตวิญญาณสีน้ำเงินไว้หลายสิบก้อน พวกมันแผ่แสงสว่างเรืองๆ หลิ่วหมิงรู้จักหินจิตวิญญาณเหล่านี้ มันก็คือศิลารวมจิตวิญญาณนั่นเอง
ยามนี้บนแผ่นศิลาสีน้ำเงินมีลำแสงสีน้ำเงินเส้นหนึ่งเชื่อมตรงไปยังเพดานถ้ำ
“ดูท่าทางแล้วนี่คงเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายค่ายกลหนึ่ง มิน่าแมลงระดับดาราพยากรณ์ตัวนั้นจึงหนีมาที่นี่” หลิ่วหมิงพินิจลวดลายค่ายกลบนแผ่นศิลาสีน้ำเงินอย่างละเอียด จากศาสตร์ค่ายกลที่เขารู้ ลวดลายค่ายกลเหล่านี้คล้ายคลึงกับค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เขาเคยเห็นในอดีต
แต่ก็เพียงคล้ายเท่านั้น ลวดลายค่ายกลบนแผ่นศิลาสีน้ำเงินแผ่นนี้ซับซ้อนกว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายอันใดที่เขาเคยพบเห็นมากมายนัก อีกทั้งลวดลายค่ายกลบนแผ่นศิลาก็มีส่วนหนึ่งหม่นหมองไร้ประกายราวกับว่าเสียหายไปแล้ว
จากความทรงจำของไส้เดือนระดับดาราพยากรณ์ตัวนั้น มันค้นพบค่ายกลแห่งนี้โดยบังเอิญ ก่อนหน้านี้มันไม่ได้ใส่ใจ ทว่าห้วงเวลาแห่งความเป็นความตายก่อนหน้านี้กลับนึกถึงที่แห่งนี้ขึ้นมาได้
หลิ่วหมิงมองแผ่นศิลาสีน้ำเงินตรงหน้า ดวงตาทอประกายระยิบระยับแล้วโบกมือ กิ้งก่าสีดำสนิทตัวหนึ่งถูกโยนเข้าไปในลำแสงสีน้ำเงิน
นี่คือปีศาจอสูรตัวน้อยที่เขาจับมาจากในหุบเขาเมื่อครู่
แสงสีน้ำเงินทอแสงสว่างวูบหนึ่ง กิ้งก่าสีดำก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ดวงตาของหลิ่วหมิงเผยแววตาดีใจออกมาทันที ค่ายกลสีน้ำเงินเก่าแก่อันนี้คือค่ายกลเคลื่อนย้ายอันหนึ่งแน่นอน เพราะค่ายกลรวมจิตวิญญาณขนาดเล็กที่ฝังอยูบนแผ่นศิลา จนถึงวันนี้มันจึงยังไม่เสื่อมฤทธิ์ และเนื่องจากโครงสร้างพิเศษจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทกระตุ้นให้ทำงานก็เคลื่อนย้ายได้
เขาเห็นชัดเจนว่าพลังจิตวิญญาณทั้งหมดของค่ายกลรวมจิตวิญญาณต่างรวมตัวอยู่บนแผ่นศิลาสีน้ำเงินแผ่นนี้ อีกทั้งแผ่นศิลากับแท่นศิลาด้านหลังก็ไม่เชื่อมติดกันสักนิด พูดอีกอย่างก็คือตัวแผ่นศิลาสีน้ำเงินแผ่นนี้คือค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เคลื่อนที่ได้ ขอเพียงส่งพลังเวทให้เพียงพอก็ทำงานได้แล้ว
เขาไม่เคยได้ยินว่ามีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เคลื่อนที่ได้มาก่อน โดยปกติแล้วค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างพื้นที่สองตำแหน่งล้วนจะกำหนดพิกัดของมิติที่แน่นอนเอาไว้ แต่ละฝั่งล้วนอยู่กับที่อย่างสมบูรณ์ เป็นไปไม่ได้ที่จะเคลื่อนตำแหน่ง
แต่แผ่นศิลาสีน้ำเงินแผ่นนี้ตรงหน้า…
หลิ่วหมิงเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงหน้าแท่นศิลา เขายื่นมือไปจับแผ่นศิลาสีน้ำเงินแล้วออกแรงยกขึ้นมา แผ่นศิลาสีน้ำเงินถูกเขาถือเอาไว้ในมือ แต่ทันใดนั้นแสงสีน้ำเงินที่แผ่ออกมาจากค่ายกลกลับสลายไปหมดสิ้น
เขาเปลี่ยนสีหน้าไปทันที จากนั้นวางแผ่นศิลาสีน้ำเงินกลับไปบนแท่นศิลาอีกครั้ง น่าเสียดายลวดลายค่ายกลบนแผ่นศิลาไม่มีวี่แววว่าจะเปล่งแสงขึ้นมาอีกแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงหน้าซีด แต่แล้วไม่นานเขาก็อุทานออกมาเบาๆ สายตาจับอยู่บนศิลารวมจิตวิญญาณที่ฝังอยู่บนแท่นศิลา
พลังจิตวิญญาณด้านในศิลารวมจิตวิญญาณหลายสิบลูกบนนั้น เวลานี้หายไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างกะทันหันคล้ายถูกบางสิ่งกลืนกินเข้าไปในชั่วอึดใจ