ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1162 สู้กับระดับดาราพยากรณ์อีกหน (ต้น)
เมื่อเห็นแมลงยักษ์ระดับแก่นแท้ของเผ่าหนอนผีเสื้อสองตัวล้มลงบนพื้นในพริบตา เผิงเยวี่ยพลันหน้าซีดเผือด ไม่อยากเชื่อสายตาตนเองอยู่บ้าง
“พวกเจ้าเป็น…คนของนิกายยอดบริสุทธิ์หรือ? คนผู้นั้นเมื่อครู่คือผู้ใด?” เผิงเยวี่ยถามบุรุษใบหน้าเหลี่ยมคนหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์
“ผู้ที่อยู่ใต้ระดับดาราพยากรณ์แล้วสังหารแมลงระดับแก่นแท้สองตัวได้ง่ายดายชั่วยกฝ่ามือย่อมเป็นศิษย์พี่หลิ่วหลิ่วหมิงศิษย์ลับแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ของพวกเราน่ะสิ!” บุรุษหน้าเหลี่ยมไม่ร่ำไร เอ่ยออกมาอย่างแฝงความภาคภูมิใจ
แม้เสียงพูดไม่ดัง แต่กลับส่งมาถึงหูศิษย์นิกายเทียนกงทุกคนที่นั่นชัดเจนยิ่งนัก ทุกคนเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาทันที
เผิงเยวี่ยถึงขนาดยืนอึ้งอยู่กับที่!
แม้ยามได้ยินเสียงมังกรพยัคฆ์อันคุ้นเคยนั่น ชั่วแวบหนึ่งเขาก็คิดว่าอาจเป็นหลิ่วหมิง แต่พลังอันแข็งแกร่งของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาปฏิเสธข้อสันนิษฐานนี้ในพริบตา เวลานี้หลังได้ฟังคำตอบที่แท้จริง ในใจตกตะลึงเพียงไรคิดดูก็รู้
ถึงอย่างไร “หลิ่วหมิง” ผู้นี้ที่อีกฝ่ายพูดถึงในอดีตก็เคยพลังระดับใกล้เคียงกับตน
แม้การต่อสู้ที่นี่ยังดำเนินต่อไป แต่เพราะแมลงระดับแก่นแท้สองตัวตายแล้ว อีกทั้งมีกำลังเสริมของนิกายยอดบริสุทธิ์เข้าร่วม ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์จึงโจมตีโต้กลับประหนึ่งหมาป่าบุกฝูงแกะ แมลงรอบด้านฉับพลันถูกโจมตีถอยร่นแตกกระเจิง
……
ในวันหนึ่งหลังจากนั้นครึ่งค่อนปี
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเทือกเขาหยกฝันที่ตั้งตระกูลโอวหยาง ที่แห่งนี้เดิมทีเป็นที่ตั้งของเมืองหนานหมิงซึ่งมีประชากรอยู่เกือบสิบล้านคน ทว่ายามนี้เมืองที่เคยใหญ่โตกลับไร้ความรุ่งโรจน์ที่เคยมี
แม่น้ำหนานหมิงหน้าตัวเมืองแห้งขอด กำแพงเมืองรอบด้านกลายเป็นซากปรักหักพัง ร้านค้า บ้านเรือนรวมถึงตำหนักพระราชวังและที่ว่าการขุนนางในเมืองต่างเละเทะระเนระนาด
ศพของผู้เฒ่าเด็กสตรีที่ยังคงมีสีหน้าหวาดผวาพบเห็นได้ทั่วทุกหนแห่ง แสงตะวันร้อนแรงสาดส่องให้ศพส่งกลิ่นเหม็นฉึ่งตลบอบอวล
หากมีผู้ฝึกฝนใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านความหายนะก็จะพบว่าทั้งเมืองหนานหมิงไม่มีผู้รอดชีวิตแม้สักคน สิ่งที่ยึดครองเมืองอยู่กลับเป็นแมลงยักษ์เผ่าหนอนผีเสื้อมากมายล้นหลามหลายหมื่นตัว
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหนานหมิง แมลงยักษ์ร่างมนุษย์ที่ขนาดใหญ่กว่าแมลงตัวอื่นไม่น้อยตัวหนึ่งลอยอยู่บนท้องนภา
ทั้งร่างของมันสีแดงปลอด สองแขนลักษณะเป็นก้าม ผิวที่เป็นเกล็ดสีแดงมีประกายสีดำไหลวนอยู่เลือนราง บนแผ่นหลังมีหางยาวสองจั้งกว่าเส้นหนึ่งแกว่งไกวซ้ายขวาอยู่กลางอากาศ ลมปราณที่แผ่ออกมาเห็นชัดว่าบรรลุระดับดาราพยากรณ์ขั้นกลาง
ด้านหลังร่างของมันมีแมลงยักษ์เผ่าหนอนผีเสื้อที่พลังไม่ต่ำต้อยสิบกว่าตัวยืนอยู่ แม้ยังไม่ได้กลายร่างเป็นมนุษย์ แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมาอย่างน้อยก็พลังระดับแก่นแท้
ในเวลาเดียวกันท่ามกลางผืนป่ารกครึ้มแห่งหนึ่งระหว่างเมืองหนานหมิงกับเทือกเขาหยกฝัน ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ที่สวมเสื้อผ้าแตกต่างกันหลายสิบคนกำลังเก็บงำลมปราณซุ่มซ่อนอยู่ที่นี่
พิจารณาจากเสื้อผ้าจะพบว่าคนเหล่านี้มาจากนิกายยอดบริสุทธิ์ นิกายปีศาจลี้ลับ สำนักเฮ่าหรานรวมถึงตระกูลโอวหยาง ระดับพลังล้วนสูงกว่าระดับผลึก อีกทั้งในหมู่พวกเขายังมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สิบกว่าคน
“ท่านเซียนโอวหยาง ข่าวที่ตระกูลโอวหยางของพวกท่านบอกมาก่อนหน้านี้ไม่น่าเชื่อถือเท่าใด แม้ทางนั้นจะมีแมลงระดับแก่นแท้เพียงสิบกว่าตัวดังที่แจ้ง แต่ตอนนี้กลับมีระดับดาราพยากรณ์เพิ่มมาหนึ่งตัว ท่านแน่ใจหรือว่าหลิ่วหมิงผู้นั้นจะล่อมันออกมาได้สำเร็จ?” ผู้ที่เอ่ยคือผู้เฒ่าคิ้วขาวที่สวมชุดของนิกายปีศาจลี้ลับคนหนึ่ง ใบหน้าเขาเผยสีหน้าอดรนทนไม่ไหวเล็กน้อย
“แม้ตอนนี้หลิ่วหมิงผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลาย แต่ได้ยินว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเขาเป็นเพียงผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนคนหนึ่ง คงจะใช้วิชาลับต้องห้ามอันใดฝืนเลื่อนขั้นกระมัง รากฐานพลังไม่มั่นคงก็ช่างเถิด อย่าถ่วงแข้งถ่วงขาพวกเราก็แล้วกัน” บัณฑิตคิ้วขาวจากสำนักเฮ่าหรานอีกคนหนึ่งถือพัดกระดาษหยกขาวเล่มหนึ่งในมือขณะที่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าดูแคลน
“ครั้งนี้สหายทุกท่านกรุณาเดินทางมาไกลเพื่อช่วยเหลือตระกูลโอวหยางของเรา โอวหยางเชี่ยนขอขอบคุณยิ่งนัก ในเมื่อยามนี้พันธมิตรส่งศิษย์พี่หลิ่วมาเป็นผู้ดูแลภารกิจครั้งนี้ พวกเขาย่อมมีเหตุผล ถึงเวลาพวกเราทำตามคำสั่งของเขาก็พอ” หญิงสาวเรือนร่างเพรียวบางดวงหน้าดุจภาพวาดผู้สวมกระโปรงสีม่วงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเอ่ยออกมาเรียบๆ
นางก็คือโอวหยางเชี่ยน
แม้นางเอ่ยเช่นนี้ แต่คิ้วเรียวงามก็ขมวดนิดๆ ลึกลงไปในดวงตาแฝงแววกังวลอยู่เลือนราง
หลังจากต้านกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อมาหลายปี ยามนี้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์กับเผ่าหนอนผีเสื้อตกอยู่ในสภาวะสมดุล แต่ละวันมีผู้ฝึกฝนไม่น้อยตายในสงคราม กลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งวิ่งวุ่นจนเหนื่อยล้า สูญเสียกำลังไปไม่น้อย
สถานการณ์ของตระกูลโอวหยางในเวลานี้มิอาจมองในแง่ดีได้นัก
นอกจากเขตตะวันออกเฉียงใต้ ยามนี้ตะวันตกเฉียงเหนือกับตะวันออกเฉียงเหนือสองทิศถูกกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อยึดครองไปแล้ว อีกทั้งจำนวนมากเสียยิ่งกว่าที่แห่งนี้ เมื่อรวมเมืองหนานหมิงก็มีเมืองขนาดใหญ่ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสิบกว่าเมืองแล้วที่ถูกตีแตก พวกมันท่าทางเหมือนจะถอนรากถอนโคนตระกูลโอวหยาง
แม้ผู้อาวุโสระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ในตระกูลจะออกโรงดูแลมหาค่ายกลพิทักษ์สำนัก ส่วนผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์สองคนที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บก็พาผู้ฝึกฝนในตระกูลออกไปต่อต้าน ในเวลาสั้นๆ คงไม่มีอันตรายถึงขั้นตระกูลพินาศ แต่หากเป็นเช่นนี้ระยะยาว ท้ายที่สุดตระกูลก็คงจะเสียหายจนไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้
ดังนั้นตระกูลโอวหยางจึงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรด้วยความจนปัญญา
สตรีนางนี้หลายปีก่อนเพิ่งผนึกแก่นแท้ ยามนี้ชีวิตเผชิญกับอันตรายจึงเดินทางมาติดต่อกับกำลังเสริมที่พันธมิตรส่งมาเพื่อร่วมต่อต้านกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อหลายหมื่นตัวที่ยึดครองทางตะวันออกเฉียงใต้อยู่ หัวหน้าที่พันธมิตรส่งมาก็บังเอิญเป็นหลิ่วหมิงที่รู้จักมักคุ้นกับนาง นี่จึงทำให้นางวางใจลงได้บ้าง
“ในเมื่อท่านเซียนโอวหยางเอ่ยเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็สงบใจรอดูเหตุการณ์เถิด หวังว่าหลิ่วหมิงในคำเล่าลือผู้นี้จะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง” บัณฑิตคิ้วขาวจากสำนักเฮ่าหรานได้ยินก็โบกพัดกระดาษหยกขาวในมือเบาๆ แล้วเอ่ยออกมาเช่นนี้
“ดูเร็ว ศิษย์พี่หลิ่วลงมือแล้ว!” ในตอนนี้เองชายหนุ่มหน้าแป้นจากนิกายยอดบริสุทธิ์อีกคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้นเบาๆ
ทุกคนได้ยินก็ตื่นตัวทันทีแล้วรีบเลื่อนสายตาไปยังเมืองหนานหมิงที่อยู่ตรงหน้า
บนท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหนานหมิง เผ่าหนอนผีเสื้อร่างมนุษย์ระดับดาราพยากรณ์ที่เดิมทีหลับตาทำสมาธิอยู่ฉับพลันลืมตาขึ้น แล้วแค่นเสียงหยันออกมาคำหนึ่ง แขนที่เหมือนก้ามยักษ์สีแดงฉานสองข้างสะบัดไปด้านหน้า
ฟึบ!
เงาก้ามยักษ์สีแดงขนาดใหญ่อย่างน่าเหลือเชื่อข้างหนึ่งก่อตัวขึ้นกลางอากาศ ใหญ่ยักษ์ถึงร้อยจั้ง ทั่วทั้งก้ามมีเปลวเพลิงสีแดงฉานลุกพรึ่บก่อนจะหนีบไปด้านหน้า
ผลปรากฏว่าอากาศเบื้องหน้าเกิดคลื่นสั่นไหวระลอกหนึ่ง จากนั้นชายหนุ่มผู้สวมอาภรณ์สีน้ำเงินรอบร่างมีปราณดำวนเวียนผู้หนึ่งก็พุ่งออกมา เขาไม่พูดพร่ำร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่ง ฉับพลันเงาคนที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการสามร่างกระโจนออกมา จากนั้นเงาร่างทั้งสี่ก็พุ่งพรวดถอยหลังพร้อมกัน
“ฉึบ!” เสียงดังสนั่นดังขึ้นหลายครั้ง!
เงาก้ามยักษ์สีแดงพร่าเลือนวูบหนึ่งแล้วหนีบเงาคนสามร่างในนั้นขาดในทันใด เหลือเพียงเงาร่างสุดท้ายที่จู่ๆ บนร่างเปล่งแสงสีเหลืองเข้ม “ตึง” หยุดเงาก้ามยักษ์สีแดงไปได้ชั่วครู่ จากนั้นบนแผ่นหลังพลันเปล่งแสงสีเงิน เพิ่มความเร็วหนีไปด้านหน้าต่อ
“เหอะ! เด็กเผ่ามนุษย์ระดับแก่นแท้ขั้นปลายกระจอกๆ คิดจะใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำ รนหาที่ตาย! พวกเจ้าเฝ้าที่นี่ไว้อย่าไปไหน ข้าจะไปยืดเส้นยืดสายสักหน่อย!” ดวงตาของเผ่าหนอนผีเสื้อร่างมนุษย์ระดับดาราพยากรณ์ทอประกายโหดเหี้ยม หลังจากใช้ภาษาเผ่าหนอนผีเสื้อออกคำสั่งอย่างรวดเร็วประโยคหนึ่ง แสงสีแดงรอบร่างก็ม้วนตัวออกมากลายเป็นเมฆสีแดงก้อนหนึ่งไล่ตามไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“เผ่ามนุษย์เหล่านี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ยามนี้ศึกใหญ่กำลังใกล้เข้ามา จะให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดมิได้ พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ พวกเราจะตามไปดูสักหน่อย” ในหมู่เผ่าหนอนผีเสื้อระดับแก่นแท้สิบกว่าตัวที่เหลืออยู่ เผ่าหนอนผีเสื้อระดับแก่นแท้ขั้นปลายที่หน้าตาเหมือนแมลงปีกแข็งแต่มีเขาข้างหนึ่งบนหัวเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ จากนั้นจึงโบกมือข้างหนึ่งเรียกแมลงระดับล่างพันกว่าตัวแล้วพาเผ่าหนอนผีเสื้อระดับแก่นแท้หกเจ็ดตัวตามเผ่าหนอนผีเสื้อระดับดาราพยากรณ์ไปติดๆ
ชายหนุ่มผู้ปรากฏตัวต่อหน้ากองทัพเผ่าหนอนผีเสื้ออย่างกะทันหันผู้นี้ย่อมคือหลิ่วหมิงนั่นเอง!
นับตั้งแต่เขาเลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับแก่นแท้ขั้นปลายที่นิกาย สถานการณ์บนแผ่นดินก็ยิ่งตึงเครียด เขาจึงถูกจินเลี่ยหยางส่งไปทำภารกิจบ่อยครั้ง เนื่องจากภารกิจหลายครั้งทำสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก วันนี้เขาจึงถูกมองเป็นคนสำคัญของพันธมิตรจงเทียน ได้เป็นหัวหน้าของแต่ละภารกิจ
ยามนี้เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลที่ไล่มาทางด้านหลังจึงเลิกคิ้วแล้วเพิ่มพลังเวทในร่าง ปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังเปล่งแสงสีเงินสว่างจ้าเพิ่มความเร็วขึ้นอีกหลายส่วนมุ่งไปด้านข้างป่าทึบที่อยู่ด้านหน้า
เผ่าหนอนผีเสื้อระดับดาราพยากรณ์ที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้พลันกรีดร้องเสียงประหลาดครั้งหนึ่ง เมฆสีแดงรอบร่างพวยพุ่ง ไล่ตามไปด้านหน้าอย่างไม่ยินยอมถูกทิ้งไว้ด้านหลัง
พริบตาเดียวทั้งสองก็ไล่ตามกันเสียงดังหวีดหวิดอยู่กลางท้องฟ้าจนเกือบจะผ่านข้างป่าทึบไป
ทว่ายามที่เผ่าหนอนผีเสื้อระดับดาราพยากรณ์ตัวนั้นเหาะผ่านชายป่า มุมปากกลับยกขึ้นเล็กน้อย เมฆสีแดงรอบร่างแบ่งตัวเป็นพายุหมุนสีแดงฉานหลายลูกกวาดเข้าใส่เบื้องล่างอย่างเร็วผิดธรรมดา
พริบตาที่พลังกวาดออกมา ป่าที่อยู่ด้านล่างก็ถูกเป่าจนเอนซ้ายเอียงขวา ราวกับป่าทั้งผืนจะหักโค่นในทันใด
ในตอนนี้เองป่าทึบด้านล่างก็มีเงาคนหลายสิบคนพุ่งออกมาจากตำแหน่งต่างๆ แต่ะคนเผยสีหน้าหวาดหวั่นรีบกระตุ้นแสงจิตวิญญาณคุ้มกันร่าง
เดิมทีแผนของพวกเขาคือล้อมโจมตีดึงแมลงระดับดาราพยากรณ์ตัวนี้จากด้านหลัง คิดไม่ถึงว่ากลับถูกอีกฝ่ายมองออกเสียก่อน
“เหอะ มีอุบายซ่อนอยู่จริงๆ! สังหารเผ่ามนุษย์ไม่รู้จักกลัวตายพวกนี้ให้สิ้น!” แมลงปีกแข็งระดับแก่นแท้ขั้นปลายที่มีเขาข้างหนึ่งบนหัวตัวนั้นเห็นสถานการณ์จากบนท้องฟ้าห่างไปด้านหลังพันจั้ง ก็เอ่ยขึ้นเช่นนี้ จากนั้นนำกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อยั้วเยี้ยด้านหลังเลี้ยวเปลี่ยนทิศเหาะไปยังป่าทึบ
เผ่าหนอนผีเสื้อร่างมนุษย์ระดับดาราพยากรณ์มองเงาร่างของหลิ่วหมิงที่ไม่ลดความเร็วลงเบื้องหน้า ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปวูบหนึ่งก่อนจะสะบัดแขนข้างหนึ่งลงด้านล่าง เหวี่ยงใส่ทิศทางที่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์อยู่
“ฟึบ” เงาก้ามยักษ์ข้างหนึ่งที่มีหมอกสีแดงรายล้อมปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า หนีบเข้าใส่บัณฑิตคิ้วขาว
บัณฑิตคิ้วขาวตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี ร่างกายขยับหมายจะหลบ ทว่าสายไปเสียแล้ว
พลังอันแข็งแกร่งซัดเข้ามา ยังไม่ทันปะทะถูกบัณฑิต แรงกดดันล่องหนสายหนึ่งก็ร่วงลงมาใส่
แสงจิตวิญญาณคุ้มกันร่างสีขาวรอบตัวบัณฑิตคิ้วขาวแตกสลายเสียงดังลั่น หน้าอกสะท้านเฮือกหนึ่งประหนึ่งถูกศิลายักษ์หนักพันชั่งกระแทกลงบนร่าง เขาพ่นเลือดออกจากปากทันที ร่างกายลอยอยู่กลางท้องฟ้ากระดิกไม่ได้แม้แต่น้อย
คนที่เหลือตกใจจนหน้าถอดสี พวกเขาต่างใช้อาวุธจิตวิญญาณในมือส่งเสาแสงหลากสีหลายสิบเส้นออกไปหมายจะขวางเงาก้ามยักษ์ที่กำลังร่วงลงมา
“ปึง” เสียงดังสนั่นดังขึ้นหลายครั้ง
เมื่อลำแสงปะทะบนเงาก้ามกลางท้องฟ้า พวกมันกลับระเบิดในพริบตาส่งคลื่นอันน่าหวาดกลัวแผ่ขยายออกมาเป็นวง
การโจมตีเหล่านี้เพียงทำให้เงาก้ามหม่นแสงลงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่อาจขัดขวางมันจากการร่วงลงมาได้ ขณะที่บัณฑิตคิ้วขาวกำลังจะถูกสังหาร
ในตอนนั้นเองเงาคนร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาปรากฏตัวด้านหลังบัณฑิตคิ้วขาวดุจภูตพราย เขาก็คือหลิ่วหมิงที่เห็นความผิดปกติแล้วย้อนกลับมานั่นเอง ในเวลาเดียวกันนั้นเงาหัวพยัคฆ์ขนาดเท่าตึกหัวหนึ่งก็โจมตีออกไปพร้อมเสียงสายลมพัดดังฮู่