ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1167 ศึกตัดสิน (1)
เดิมทีทุกคนยังอยากจะเพิ่มคนไปอีกสักสองคน แต่อาวุธเวทชิ้นนี้ของประมุขหอเป๋ยโต่วทนรับพลังได้จำกัด มันทนรับพลังจิตสัมผัสของระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ห้าคนก็ถึงขีดจำกัดแล้ว
ประมุขหอเป๋ยโต่วสะบัดมือข้างหนึ่ง กระจกที่ทอแสงสีขาวขมุกขมัวบานหนึ่งปรากฏในมือของเขา จากนั้นเขาจึงท่องมนตร์แผ่วเบาหลายคำ บานกระจกพลันปรากฏอักขระโบราณหลายตัว
ประมุขหอเป๋ยโต่วผงกศีรษะเล็กน้อย พวกผู้เฒ่าอาภรณ์สีดำก็แสดงสีหน้าเข้าใจทันที พวกเขาหรี่ตา คลื่นล่องหนระลอกหนึ่งกลางอากาศโถมเข้าไปในบานกระจกสีขาว
กระจกสีขาวเปล่งแสงสว่างจ้าแสบตาออกมาจากผิว พริบตาเดียวก็ขยายขนาดขึ้นหลายเท่า เมื่อประมุขหอเป๋ยโต่วส่งเคล็ดวิชาหลายสายเข้าไปอย่างต่อเนื่อง แสงบนบานกระจกก็กระพริบวูบหนึ่ง จากนั้นจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์หลายเท่าพลันทะลักออกมาดุจพายุแล้วถาโถมไปยังกองทัพใหญ่ของเผ่าหนอนผีเสื้อที่ยอดเขาสองโลก
จุดที่จิตสัมผัสกวาดผ่าน แมลงระดับล่างดำทะมึนบนพื้นดินของยอดเขาสองโลกล้วนหมอบลงกับพื้นตัวสั่นระริก
บนยอดเขาสีดำสนิทลูกหนึ่งของยอดเขาสองโลก เงาสีดำสิบกว่าร่างรวมตัวกันอยู่ที่นั่น เมื่อเพ่งมองให้ละเอียดจะพบว่าเป็นสตรีสาวอาภรณ์สีดำที่หน้าตาเหมือนกันสิบกว่าคน เห็นชัดว่าพวกนางล้วนเป็นร่างแยกของราชินีหนอนผีเสื้อ
ทันใดนั้นพวกนางก็เหมือนจะสัมผัสถึงบางสิ่ง จึงหันไปมองทางเมืองหนานฮุยอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าเผยสีหน้าเกรี้ยวกราดออกมาเล็กน้อย
อึดใจต่อมาร่างแยกของราชินีหนอนผีเสื้อสิบกว่าร่างก็ตวาดเบาๆ ออกมาพร้อมกัน มือข้างหนึ่งจิ้มตรงหว่างคิ้ว จิตสัมผัสอันแข็งแกร่งสิบกว่าสายรวมตัวเข้าด้วยกันแล้วพุ่งชนพายุจิตสัมผัสที่แผ่ออกมาจากกระจกส่องหล้า
บึ๊ม! เสียงระเบิดดังสนั่นฟ้า
พลังล่องหนสองสายปะทะกันกลางนภา เกิดเสียงดังก้องบนท้องฟ้าเหนือยอดเขาสองโลกประหนึ่งอสนีบาตฟาด
สายลมแรงสายแล้วสายเล่าหอบพัดออกไปทั่วทิศ แมลงระดับล่างข้างใต้ถูกสายลมแรงพัดหอบปลิวออกไปประหนึ่งเส้นฟางพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
เสียงระเบิดดังขึ้นบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง สายลมแรงสายแล้วสายเล่าก่อตัวเป็นกระแสลมปั่นป่วนสีขาวทำให้ท้องนภากระเพื่อมเป็นคลื่นรุนแรงระลอกแล้วระลอกเล่า
หลายลมหายใจหลังจากนั้น ท้องนภาจึงฟื้นกลับมาเงียบสงบ
เหนือยอดเขาสีดำ ร่างแยกของราชินีหนอนผีเสื้อสิบกว่าตัวเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมาพร้อมกัน
ไกลออกไปในเมืองหนานฮุยที่อยู่ห่างหลายร้อยลี้ ร่างกายของประมุขหอเป๋ยโต่วสั่นสะท้าน เขาแค่นเสียงดังเหอะออกมาจากปาก ก่อนที่แสงสว่างของกระจกส่องหล้าด้านหน้าจะสั่นไหว แสงสีขาวด้านบนสลายหายไปอย่างฉับพลัน
พวกผู้เฒ่าอาภรณ์สีดำสี่คนต่างสีหน้าซีดขาวเล็กน้อยเช่นเดียวกัน แต่พริบตาเดียวก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติ
พลังจิตร้ายกาจนัก ถึงกับโจมตีพวกเราห้าคนที่รวมพลังกันได้ในครั้งเดียว ประมุขหอเป๋ยโต่วโคจรพลังเวทในร่าง หลังผ่านไปสองสามลมหายใจสีหน้าจึงฟื้นกลับเป็นปกติ จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับที่ดวงตาทอประกายวูบหนึ่ง
แม้เป็นเช่นนั้น แต่อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็ยืนยันจำนวนร่างแยกของราชินีหนอนผีเสื้อเหล่านั้นได้แล้ว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าร่างแยกเหล่านี้จะมากกว่าที่พวกเราคาดไว้กันตอนแรกมากนัก มีมากถึงสิบหกตัว ดูท่าจังหวะที่จะร่วมทัพออกศึกต้องหารือกันให้ดีอีกสักรอบแล้ว ปรมาจารย์มู่คงเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
สหายมู่คงกล่าวถูกต้องที่สุด ในเมื่อรู้จำนวนร่างแยกของราชินีหนอนผีเสื้อแล้ว พวกเราก็ต้องเตรียมมาตรการรับมือให้เหมาะสม สตรีอาภรณ์สีเหลืองจากนิกายเทียนกงพยักหน้าเอ่ยเสียงเข้ม
ช่วงเวลาต่อจากนั้นการประชุมลับดำเนินไปอีกหลายชั่วยามก่อนจะสิ้นสุดลงในที่สุด
……
เมื่อท้องฟ้าใกล้มืด จินเลี่ยหยางมาเยือนที่พักของพวกหลิ่วหมิง จากนั้นเรียกศิษย์ลับยี่สิบคนมารวมตัวกันที่ห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง หลิ่วหมิง ฉิวหลงจื่อ คุนอวี้ล้วนอยู่ในกลุ่มนั้น
ศิษย์พี่จิน ท่านเรียกพวกเรามารวมตัวกันอย่างรีบด่วนเช่นนี้ มีเรื่องอันใดหรือ? ฉิวหลงจื่อเอ่ยถามขึ้นมาก่อน
คนอื่นก็เผยสีหน้าสงสัยใคร่รู้เช่นกัน
ศิษย์น้องฉิวไม่ต้องใจร้อน เรื่องเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ศึกใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว พันธมิตรมีภารกิจสำคัญภารกิจหนึ่งจะมอบหมายให้ศิษย์ลับเช่นพวกเจ้า จินเลี่ยหยางสร้างม่านแสงกั้นเสียงสีทองอ่อนขึ้นมาชั้นหนึ่งล้อมคนทั้งหมดไว้ด้านใน จากนั้นจึงเอ่ยบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา สีหน้าของทุกคนที่นั่นล้วนเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลิ่วหมิงที่ยืนเงียบๆ อยู่ตรงมุมห้องแววตาวูบไหว
ในเมื่อเป็นภารกิจที่พันธมิตรสั่งมา พวกเราย่อมทุ่มสุดกำลังทำให้ลุล่วง ไม่ทราบว่าเนื้อหาภารกิจคือสิ่งใด? ผู้ฝึกฝนหญิงที่ผูกผมเปียเส้นน้อยหลายเส้นคนหนึ่งเอ่ยถาม
รายละเอียดของภารกิจก็คือ…
จินเลี่ยหยางเล่าเรื่องยาพิษที่พันธมิตรปรุงขึ้นเพื่อจัดการเหล่าแมลงโดยเฉพาะ จากนั้นอธิบายรายละเอียดของภารกิจวางยาพิษครั้งนี้
เมื่อจินเลี่ยหยางเล่าทุกสิ่งจบ ผู้คนที่นั่นล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เบื้องบนของพันธมิตรตระหนักถึงอันตรายในภารกิจครั้งนี้ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อใคร่ครวญทุกด้านก็ยังตัดสินใจว่าให้ศิษย์ลับระดับแก่นแท้อย่างพวกเจ้าทำภารกิจจะเหมาะสมที่สุด จินเลี่ยหยางเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของทุกคนจึงค่อยๆ อธิบาย
ทุกคนมองหน้ากัน ในเมื่อผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ออกคำสั่งด้วยตนเอง ประกอบกับสถานการณ์ในยามนี้ย่อมไม่มีหนทางให้ปฏิเสธ
หรือพูดอีกอย่างก็คือ อยากไปก็ต้องไป ไม่อยากไปก็ต้องไป!
พูดอีกแง่หนึ่ง หากสงครามใหญ่ครั้งนี้เผ่ามนุษย์ฝั่งนี้พ่ายแพ้ พวกเขาผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้เหล่านี้ก็คงไม่มีจุดจบที่ดีอันใดเช่นกัน รังคว่ำแล้ว ไหนเลยจะเหลือไข่ที่สมบูรณ์ พวกเขาย่อมเข้าใจเหตุผลประการนี้
ไม่ว่าเพื่อส่วนรวมหรือเพื่อตนเอง พวกเขาล้วนทำได้เพียงสู้เต็มที่เท่านั้น
หลิ่วหมิงไม่ได้สีหน้าเปลี่ยนไปมากเท่าใดนัก เขาเพียงอดไม่ได้ถอนหายใจอยู่ในใจเท่านั้น
กล่าวไปแล้วหลายปีนี้นับตั้งแต่ตนเข้าไปในทางปีศาจร้ายจนพลัดสู่ยมโลก จนกระทั่งกลับมาถึงแผ่นดินจงเทียน ตนมักจะเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามขนาดใหญ่เช่นนี้โดยเลือกไม่ได้อยู่เสมอ
คำนึงถึงความยากแสนเข็ญของภารกิจครั้งนี้ หลังจบสงครามใหญ่ผู้ฝึกฝนที่เข้าร่วมภารกิจนี้ทุกคนจะได้รับรางวัลมากมายที่พันธมิตรเผ่ามนุษย์จะมอบให้ จินเลี่ยหยางเปลี่ยนประเด็นแล้วเอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
เพิ่งเอ่ยจบ เขาก็งอนิ้วดีดครั้งหนึ่ง คัมภีร์หยกสีเขียวแถวหนึ่งพุ่งพรวดออกมาแล้วหล่นลงในมือทุกคนในที่แห่งนั้นคนละเล่ม
ลำดับขั้นตอนอย่างละเอียดของภารกิจเขียนไว้ในม้วนคัมภีร์หยกนี่แล้ว ส่วนสุดท้ายยังไล่รายการรางวัลที่พันธมิตรจะมอบให้เอาไว้ด้วย ศิษย์น้องทุกคนนำกลับไปอ่านให้ละเอียดเถิด จำไว้ หลังอ่านจบคัมภีร์หยกนี่จะทำลายตัวเอง
ต่อจากนั้นจินเลี่ยหยางก็สั่งพวกเขาอีกสองสามประโยคแล้วปล่อยทุกคนแยกย้ายกันไป
หลิ่วหมิงกลับมาถึงห้องพักของตนแล้วหยิบคัมภีร์หยกสีเขียวออกมาแนบกับหน้าผากทันที ผ่านไปเนิ่นนานจึงวางมันลง
ในคัมภีร์หยกอธิบายลำดับขั้นตอนคร่าวๆ ของภารกิจวางยาพิษครั้งนี้ไว้อย่างละเอียดยิ่ง
พันธมิตรจงเทียนจะตั้งกลุ่มยอดฝีมือระดับแก่นแท้อย่างศิษย์ลับของนิกายยอดบริสุทธิ์จำนวนหนึ่งร้อยกว่าคน เมื่อคำนึงถึงความต้องการที่จะให้ยาพิษสำแดงฤทธิ์ได้มากที่สุด พวกหลิ่วหมิงจะต้องฝ่าเข้าไปในกองทัพใหญ่ของเหล่าแมลงให้เร็วที่สุดหลังจากเปิดศึกเพื่อวางยาพิษ
นอกจากยาพิษก็ยังมียาอีกชนิดหนึ่งกระตุ้นให้แมลงระดับล่างคลุ้มคลั่ง ของสิ่งนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้การบังคับบัญชาของเผ่าหนอนผีเสื้อปั่นป่วน
ในใจหลิ่วหมิงค่อนข้างเห็นด้วยกับแผนการเหล่านี้ของกลุ่มพันธมิตร
ส่วนรางวัลย่อมมากมายยิ่งนัก นอกจากแต้มคุณูปการก้อนโตก้อนหนึ่งก็ยังมีสมบัติที่มีประโยชน์กับการฝึกฝนยิ่งนักอีกกองหนึ่งเช่นอาวุธเวท โอสถ วัตถุดิบจิตวิญญาณเป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอสถชนิดหนึ่งในนั้นที่ชื่อโอสถปลุกวิญญาณ
โอสถชนิดนี้เป็นโอสถที่หุบเขาเสินหนงปรุงขึ้นอย่างลับๆ หลิ่วหมิงเคยได้ยินแต่ชื่อเสียงอันลือลั่นของมัน เล่ากันว่าหากกินลงไปมันจะชำระล้างจิตมารที่เกิดขึ้นยามเลื่อนระดับชั้น เพิ่มโอกาสให้ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลายบรรลุร่างพลังเวทแห่งฟ้าดิน
เพียงแต่โอสถเม็ดนี้เป็นหนึ่งในโอสถลับของหุบเขาเสินหนงที่ปรุงยากยิ่งนัก โดยทั่วไปแล้วมักใช้ในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มอำนาจใหญ่อย่างพวกสี่ยอดนิกายใหญ่ น้อยนักที่จะหลุดมาข้างนอก เรียกได้ว่าขอเพียงเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ไม่มีผู้ใดไม่ปรารถนาของสิ่งนี้
หลิ่วหมิงวางคัมภีร์หยกลง ดวงตาทอประกายครู่หนึ่งก็หัวเราะฝืดเฝื่อน
แม้ของเหล่านี้จะดี แต่ก็ต้องรอหลังชนะสงครามใหญ่ครั้งนี้จบจึงจะได้มา
ระหว่างที่เขาครุ่นคิดอยู่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาจากทางประตู
หลิ่วหมิงเปิดประตูห้องก็เห็นฉิวหลงจื่อ
ที่แท้ก็ศิษย์พี่ฉิวนี่เอง เชิญเข้ามาเถิด หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วเบี่ยงกายเอ่ยเชิญ
นับตั้งแต่หลิ่วหมิงกลายเป็นศิษย์ลับ ทั้งสองคนก็ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ ความสัมพันธ์ย่อมแน่นแฟ้นขึ้นไม่น้อย
ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าคิดเห็นเช่นไรกับภารกิจวางยาพิษครั้งนี้? ฉิวหลงจื่อถือคัมภีร์หยกสีเขียวเล่มนั้นไว้ในมือ ท่าทีร่าเริงในวันวานเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าเคร่งขรึม
ข้าจะมีความเห็นอันใดได้ ในเมื่อเป็นการตัดสินใจของเบื้องบน พวกเราก็ได้แต่ต้องฝืนทำเท่านั้น เพียงแต่ภารกิจของพวกเราคือฝ่าเข้าไปในกองทัพใหญ่ของเหล่าแมลง เรียกได้ว่ารอบทิศล้วนมีแต่ศัตรู ถึงเวลาคงต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ หลิ่วหมิงหัวเราะฝืดเฝื่อนเอ่ยตอบ
ในเมื่อพันธมิตรให้พวกเราไปก็น่าจะคิดหาหนทางดึงความสนใจแมลงระดับสูงของอีกฝ่ายไว้แล้วเพื่อสร้างโอกาสให้พวกเรา หากระวังสักหน่อยก็ไม่ใช่ว่าจะทำภารกิจลุล่วงแล้วถอยกลับออกมาอย่างปลอดภัยไม่ได้! ฉิวหลงจื่อเลิกคิ้วแล้วเอ่ยแช่มช้า
ศิษย์พี่ฉิวกล่าวถูกต้องยิ่งนัก หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ หลิ่วหมิงฟังแล้วก็พยักหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้
ฮ่าๆ ศิษย์น้องหลิ่วพลังแข็งแกร่งจนได้ฉายาว่าเป็นอันดับหนึ่งใต้ระดับดาราพยากรณ์ ตอนอยู่กลางกองทัพแมลงพวกนั้นดูแลศิษย์พี่คนนี้หน่อยเล่า ทันใดนั้นฉิวหลงจื่อก็หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา
ศิษย์พี่ล้อเล่นแล้ว ถึงเวลาไม่แน่อาจเป็นข้าที่ต้องการให้ท่านช่วยเหลือ หลิ่วหมิงยิ้มตอบ
วันต่อมาหลังจากจินเลี่ยหยางแจ้งภารกิจกับพวกหลิ่วหมิง การเคลื่อนกำลังพลของผู้ฝึกฝนแต่ละนิกายในเมืองหนานฮุยก็เกิดถี่ขึ้น ผู้ที่สติปัญญาเฉียบคมต่างตระหนักได้ว่าศึกตัดสินกำลังจะเปิดฉากขึ้นแล้ว
เช้าตรู่วันที่สามแสงหลากสีก็ส่องสว่างในค่ายใหญ่ที่ทอดยาวหลายสิบลี้ของเมืองหนานฮุย เสียงกัมปนาทดังขึ้น ขณะที่ผู้ฝึกฝนซึ่งสั่งสมกำลังมาพร้อมแล้วจากแต่ละนิกายบังคับลำแสงหลากสีจำนวนมหาศาลเข้าโอบล้อมยอดเขาสองโลก
ระหว่างที่เหาะไปด้านหน้า ขบวนขนาดมโหฬารก็เปลี่ยนตำแหน่งอย่างเป็นระเบียบ ตั้งกระบวนทัพขนาดใหญ่โตกระบวนแล้วกระบวนเล่า
ผู้ที่อยู่ด้านหน้าของกระบวนทัพย่อมเป็นศิษย์ของสี่ยอดนิกายใหญ่ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากที่สุดในสนามรบยามนี้ก็คือเรือรบนภาทมิฬนับร้อยลำของนิกายเทียนกงที่เรียงรายเป็นทิวแถว
เรือรบนภาทมิฬเหล่านี้ยาวถึงร้อยจั้ง มุมต่างๆ ของลำเรือล้วนมีแสงหม่นๆ หุ้มไว้อย่างแน่นหนา แลดูดุจปราการเหล็กกล้า
สองฝั่งของเรือรบมีปืนใหญ่สีดำทะมึนหลายสิบกระบอกเรียงเป็นแถวเล็งตรงไปยังด้านหน้า บนผิวมียันต์เคลื่อนวนไม่หยุด
บนเรือรบแต่ละลำล้วนมีผู้ฝึกฝนที่สวมอาภรณ์ของนิกายเทียนกงอยู่หลายสิบคน มือถืออาวุธเวทหุ่นหลากสีเอาไว้
เรือรบร้อยกว่าลำที่เรียงหน้ากระดานประหนึ่งกำแพงเมืองบนท้องฟ้าขวางอยู่ด้านหน้า
ด้านข้างเรือรบนภาทมิฬเหล่านี้คือศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ผู้สวมอาภรณ์สีคราม ศิษย์เหล่านี้ถืออาวุธจิตวิญญาณกับอาวุธเวทนานาชนิดไว้ในมือ เมื่ออยู่ท่ามกลางกระบวนทัพทั้งหมดแลดูสะดุดสายตาอย่างยิ่ง แล้วจำนวนคนก็มากมายที่สุดด้วย
กระบวนทัพของนิกายปีศาจลี้ลับเรียงแถวอยู่อีกฝั่งหนึ่งของขบวนเรือนิกายเทียนกง พวกเขาสวมอาภรณ์ยาวสีดำปลอด เปลวเพลิงที่อัดแน่นด้วยไอปีศาจหุ้มอยู่รอบตัวผู้ฝึกฝนนิกายปีศาจลี้ลับเหล่านี้ แต่ละคนต่างถืออาวุธมารคมกริบสารพัดรูปร่างพิสดาร แต่ละคนเผยสีหน้าโหดเหี้ยม มองจากไกลๆ ประหนึ่งเมฆฝนดำทะมึนก้อนหนึ่งถาโถมมา
กองทัพใหญ่ของเผ่าหนอนผีเสื้อเคยลอบจู่โจมนิกายปีศาจลี้ลับแล้วสังหารผู้อาวุโสระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ไปคนหนึ่ง หากพูดถึงความแค้นที่มีแต่เผ่าหนอนผีเสื้อ นิกายปีศาจลี้ลับย่อมเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยสักนิด
ผู้ฝึกฝนจากสำนักเฮ่าหรานแลดูจำนวนน้อยที่สุด พวกเขาหยิบอุปกรณ์วางค่ายกลเช่นธงค่ายกลกับแผ่นค่ายกลชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมาจากถุงเก็บของข้างเอวเป็นระยะ จากนั้นวิ่งตระเวนแทรกไปทั่วกองทัพของเผ่ามนุษย์เพื่อตั้งอุปกรณ์ค่ายกลในมือเป็นรูปแบบพิเศษบางอย่าง