ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 819
ตอนที่ 819 โซ่เพลิงลี้ลับพันธนาการสวรรค์
พลังสายตาของหลิ่วหมิงมองได้ไกลอย่างที่สุด บนสุสานทั้งสามเขามองเห็นอักษรยักษ์คำว่า “ผนึก” ตัวหนึ่งอยู่เลือนราง ทว่ามันหม่นแสงยิ่งนักดั่งเปลวเทียนกลางสายลม พร้อมจะดับตลอดเวลา
“ผนึกใกล้วิกฤติแล้วจริงๆ พวกเจ้าสามตัวรนหาที่ตายเอง อย่าได้โทษข้าเลย!”
ผู้เฒ่าเทียนเหอใบหน้าประหนึ่งน้ำแข็ง มือใหญ่คว้าทีหนึ่ง ดวงตะวันมหึมาเหนือศีรษะก็ระเบิดเปลวไฟหนาสามเส้นออกมาในทันใด มันเปลี่ยนรูปร่างหลายหนจนกลายเป็นมือยักษ์สีขาวค้ำฟ้าสามฝ่ามือ พริบตาเดียวตบลงบนสุสานทั้งสาม
“ป้าบ” เสียงแผ่วเบาสามครั้งแทบจะดังออกมาพร้อมกัน อักษรคำว่า “ผนึก” บนสุสานทั้งสามส่งเสียงดังกึกก้องแล้วสลายไป
ผู้เฒ่าเทียนเหอทำลายผนึกด้วยตนเอง!
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!
สุสานทั้งสามสั่นไหว เสียงปึงดังขึ้นแล้วระเบิดออก แต่ละแห่งระเบิดปราณดำหนาประหนึ่งภูเขาลูกหนึ่งออกมาต้านมือยักษ์ค้ำฟ้าที่ตบลงมา
“ก๊าก ก๊าก ก๊าก! ผู้เฒ่าเทียนเหอ เจ้าก็แค่ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ขั้นต้นคนหนึ่ง ถึงกับทำลายผนึกครรภธาตุด้วยตัวเอง ไม่มีผนึกเหนี่ยวรั้ง เจ้าคิดว่าจะหนึ่งสู้สาม กำจัดพวกเราสามตนได้หรือ”
เสียงเสียดหูประหนึ่งโลหะเสียดสีกันดังขึ้นท่ามกลางปราณสีดำ ฟังจากเสียงนี้เห็นชัดว่าคือตรีศูลโลหิต
ปราณดำสามสายเปลี่ยนไปมาอย่างต่อเนื่อง ฟันมือยักษ์สีขาวทั้งหมดจนกระจุย
ปราณดำกะพริบวูบหนึ่ง ร่างกายของพวกตรีศูลโลหิตสามตัวก็ปรากฏออกมา
หนอนสีน้ำเงินมหึมายาวร้อยจั้งตัวหนึ่งส่องแสงสีน้ำเงินวูบวาบรอบร่าง หัวอวบอ้วนมีรูอากาศแถวหนึ่ง สองตาแดงฉานดั่งเลือด ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวคล้ายจะเงอะงะอย่างยิ่ง แต่ความจริงเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ
ข้างกายมันคือตะขาบยักษ์ขนาดใกล้เคียงกันตัวหนึ่ง เปลือกแต่ละข้อมันวาวสะท้อนแสง แลดูแข็งแกร่งประหนึ่งหินผา คล้ายกับว่าใต้หล้าไม่มีสิ่งใดโจมตีทำลายมันได้
แล้วยังมีเงาร่างมนุษย์สีเลือดมหึมาที่มีปีกคู่หนึ่งบนแผ่นหลังอีกร่างหนึ่ง รอบร่างถูกไอหมอกสีเลือดหนาทึบครอบคลุมอยู่ หน้าตาพร่าเลือนเห็นไม่ชัดอยู่บ้าง หางมหึมาสะบัดไปมา จุดที่วาดผ่านอากาศส่งเสียงดังฟึ่บฟั่บพักหนึ่ง
ปราณบนร่างทั้งสามรวมเข้าด้วยกันทะลุผ่านอุโมงค์มิติมา กดดันประหนึ่งจะโค่นขุนเขาคว่ำมหาสมุทร
แม้พวกหลิ่วหมิงสี่คนมีบุรุษหน้ากากทองแดงขวางอยู่เบื้องหน้าก็ยังรู้สึกอึดอัดวูบหนึ่ง
ผู้เฒ่าเทียนเหอเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มหยัน มือข้างหนึ่งกำสบายๆ ทีหนึ่ง มิติสีเทาฉับพลันก็เริ่มบิดเบี้ยวสั่นสะเทือน
ทั้งมิติมีทีท่าว่าจะยุบถล่มโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง!
ต่อจากนั้นหลุมสีดำหลุมแล้วหลุมเล่าก็เปิดออกกลางฝ่ามือของเขา โซ่สีแดงหม่นเส้นแล้วเส้นเล่าฉับพลันพุ่งออกมาหลุมประหนึ่งตาข่ายฟ้า พริบตาพันธนาการพวกตรีศูลโลหิตสามตัวไว้
“โซ่เพลิงลี้ลับพันธนาการสวรรค์! ผู้เฒ่าเทียนเหอ เจ้าถึงกับใช้สมบัติแห่งจิตวิญญาณลี้ลับ!”
ทันใดนั้นตรีศูลโลหิตตวาดเสียงดุดัน แสงสีเลือดบนร่างสว่างจ้า ดิ้นรนไม่หยุด
อีกสองตัวที่เหลือก็กรีดร้องไม่หยุดเช่นกัน ทว่าแสงสีแดงอ่อนที่โซ่สีแดงหม่นเปล่งออกมาทำให้ทั้งสามตัวดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจหลุดเป็นอิสระได้
มือผู้เฒ่าเทียนเหอตั้งท่าเคล็ดวิชาจากนั้นก็สะบัดทีหนึ่ง แสงสีแดงฉานเส้นหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกจากมือร่วงลงบนโซ่สีแดงหม่นที่มัดทั้งสามตัวอยู่ ทันใดนั้นโซ่ทั้งเส้นก็ส่องสว่าง
ต่อจากนั้นเสียงท่องมนตร์งึมงำยากเข้าใจก็ดังออกมาจากปากของผู้เฒ่าเทียนเหอช้าๆ
โซ่สีแดงหม่นฉับพลันฉายแสงเปลวไฟสว่างจ้า พร้อมกันนั้นคลื่นเปลวเพลิงประหนึ่งท่วมฟ้าสายแล้วสายเล่าก็บินพุ่งออกมาจากด้านในโซ่ รอบร่างพวกตรีศูลโลหิตสามตัวเกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ เสียงคำรามโหยหวนดังออกมาไม่หยุด
เดิมทีทั้งสามตัวยังดิ้นรนได้อยู่บ้าง ทว่าเมื่อคลื่นเปลวเพลิงนี้แผดเผา ทันใดนั้นกระทั่งกระดิกสักนิดก็ไม่อาจทำได้แล้ว
“มา!”
มือใหญ่ของผู้เฒ่าเทียนเหอยื่นออกมาจากในแขนเสื้อแล้วคว้ารุนแรงไปยังอากาศด้านหน้า
โซ่สีแดงหม่นลากดึงทีหนึ่ง ร่างต้นของพวกตรีศูลโลหิตสามตัวก็ถูกลากเข้ามาในมิติสีเทา ร่วงตรงดิ่งลงบนพื้นที่ว่างห่างจากหน้าร่างผู้เฒ่าเทียนเหอไปสิบกว่าจั้งทันที
“จงดับสูญ!”
ยังไม่ทันที่พวกตรีศูลโลหิตสามตัวจะเอ่ยปาก ผู้เฒ่าเทียนเหอก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง เสื้อสีขาวสะบัดจนเกิดเสียง หนวดเคราสีขาวอ้าออกตวาดเบาๆ อย่างโกรธเกรี้ยว แสงสีขาวก้อนหนึ่งในมือฉับพลันลอยหลุดออกจากมือ หมุนติ้วก่อตัวเป็นวังน้ำวนสีขาวขยายหดไม่หยุด พุ่งเร็วรี่ไปยังดวงตะวันสีขาวเบื้องบน
ดวงตะวันยักษ์เหนือศีรษะก็หมุนวนตามมัน ทั้งยังพ่นลำแสงยักษ์เส้นผ่านศูนย์กลางหลายจั้งสายหนึ่งลงมาเบื้องล่าง โจมตีเข้าใส่พวกตรีศูลโลหิตสามตัวในทันใด
พลังจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินอันมหาศาลอย่างยิ่งสายหนึ่งสาดลงมาจากดวงตะวันบนท้องฟ้า นอกจากนี้ยังซัดออกมาสี่ด้านแปดทิศโดยมีลำแสงสีขาวเป็นศูนย์กลาง
เวลานี้ราวกับว่าดวงตะวันดวงนี้บนท้องฟ้าเป็นศูนย์กลางของโลก ผู้ครอบครองสรรพชีวิต
แม้ผู้เฒ่าเทียนเหอจะเล็กกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับดวงตะวันยักษ์ดวงนี้ ทว่ากลับทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกวาเขาควบคุมดวงตะวันดวงนี้ได้อย่างสิ้นเชิง!
ไม่ว่าพวกหลิ่วหมิงสี่คนหรือทูตทั้งสองจากวังสวรรค์ เวลานี้ล้วนอดไม่ได้เกิดความรู้สึกต้องการจะคุกเข่าหมอบกราบขึ้นมา
“เปรี้ยง” เสียงดังสนั่นสะเทือนแก้วหูแทบดับดังขึ้น!
ในที่สุดลำแสงสีขาวก็ร่วงลงบนร่างของพวกตรีศูลโลหิตทั้งสามตัว ดวงตะวันเจิดจ้าสีขาวเส้นผ่านศูนย์กลางหลายจั้งอีกดวงหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็กลืนพวกตรีศูลโลหิตสามตัวไปด้านใน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างถึงสิบกว่าจั้งแล้ว
หลิ่วหมิงหรี่สองตาลงเล็กน้อย มองเห็นลางๆ ว่าใจกลางดวงตะวันเจิดจ้ามีเงาร่างสามร่างขยับไหวอยู่ พอมองออกว่าเป็นพวกตรีศูลโลหิตสามคน แต่เวลานี้พวกมันคล้ายถูกพลังมหาศาลบางอย่างบีบอัด ร่างกายหดเล็กบิดเบี้ยวผิดรูปไม่หยุด!
“ปัง ปัง ปัง” เสียงแผ่วเบาสามครั้งดังออกมา!
ร่างกายของพวกตรีศูลโลหิตสามตัวในที่สุดก็ทนรับแรงกดดันของพลังมหาศาลสายนี้ไม่ได้ ถูกบีบอัดจนระเบิดตามต่อกัน กลายเป็นเลือดเนื้อปลิวว่อนขนาดไม่เท่ากันนับไม่ถ้วน
เลือดเนื้อเหล่านี้ถูกพลังมหาศาลบีบอัดต่อเนื่องท่ามกลางแสงสีขาวจนระเบิดไม่หยุด ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นควันสีเขียวสายแล้วสายเล่า มลายหายไปไร้ร่องรอย
สัตว์ประหลาดต่างโลกที่พลังลึกล้ำไม่อาจหยั่งสามตัว หายไปจากโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ในเวลาเพียงชั่วครู่
พวกหลิ่วหมิงด้านหลังร่างผู้เฒ่าเทียนเหอประจักษ์การลงมือของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ครั้งนี้กับตาตนเอง มองดูจนตระหนกขวัญสะท้าน เปิดหูเปิดตาอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าชุดขาวผู้น่าเกรงขามโดยไม่ต้องมีโทสะ สองสามท่าก็สังหารพวกต่างเผ่าระดับเดียวกันสามตัวได้ทันที แม้หยิบยืมพลังจากโซ่สีแดงหม่นเส้นนั้น แต่ความยิ่งใหญ่ของพลังของเขาก็ยังเหนือกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้ไปมากมายนัก
ผู้เฒ่าเทียนเหอกวาดสายตามอง หลังแน่ใจว่าศพและวิญญาณของพวกต่างเผ่าสามตัวกลับคืนสู่ความว่างเปล่าหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้ถึงถอนหายใจแผ่วเบา
เขาสะบัดมือข้างหนึ่ง ดวงตะวันเจิดจ้าสีขาวเบื้องหน้าพลันสลายตัวกลายเป็นแสงสีขาวจุดแล้วจุดเล่า โซ่สีแดงหม่นส่งเสียงดัง “ฟึบ” ทีหนึ่งก็พุ่งมุดเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
นาทีต่อมาดวงตะวันยักษ์ที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าก็กลายเป็นแสงสีขาวนับหมื่นสายกระจายไปรอบด้าน ครู่เดียวก็หายไปจากกลางท้องฟ้า
มือข้างหนึ่งของผู้เฒ่าเทียนเหอกวักขึ้นข้างบนอย่างสบายๆ แสงสีขาวเส้นหนึ่งก็จมลงในมือของเขา หลังแสงสีขาวดับหายไปจึงปรากฏกระจกผลึกสีขาวดูผุผังบานหนึ่ง
สายตาหลิ่วหมิงมองไปทางกระจกผลึกบนมือของผู้เฒ่าเทียนเหอแวบหนึ่ง เห็นด้านบนวาดภาพดวงตะวันที่ค่อนข้างโบราณดวงหนึ่งไว้คล้ายภาพสัญลักษณ์บางอย่าง นอกจากนี้ก็ไม่มีจุดใดประหลาดอีก
เขากำลังจะพินิจให้ละเอียดอีกหน ผู้เฒ่าเทียนเหอก็พลิกมือเก็บกระจกบานนี้ไปเสียแล้ว
“ยินดีกับผู้อาวุโสที่ประหัตประหารปีศาจสามตัวนี้ได้!” เสวียนอู่กับเสวียนอิงสองคนสบตากันแล้วก้าวสองก้าวไปข้างหน้า ประสานมือให้ผู้เฒ่าเทียนเหอจากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนอบน้อมทันที
บนหน้าผู้เฒ่าเทียนเหอกลับไม่มีสีหน้ายินดีแม้แต่น้อย หลังโบกมือให้ทั้งสองคนก็หมุนตัวมองมาหาพวกหลิ่วเหอสี่คนแล้วเอ่ยเรียบๆ
“ครั้งนี้ในแดนลึกลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น งานประตูสวรรค์จะสิ้นสุดเท่านี้ เสวียนอู่ เรื่องต่อจากนี้ยกให้เจ้าจัดการ!”
“ศิษย์รับคำสั่ง!” บุรุษหน้ากากทองแดงได้ยินก็รีบร้อนเอ่ยตอบ
ผู้เฒ่าเทียนเหอพยักหน้า บนใบหน้าฉับพลันเผยสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาไม่พูดคำใดอีก มือข้างหนึ่งที่มีประกายแสงสีขาววิบวับก็ยกขึ้นเบาๆ
ทันใดนั้นกลางอากาศด้านข้างก็ปรากฏเส้นสีขาวยาวหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่ง เส้นสีขาวฉับพลันแยกออกซ้ายขวาเผยเส้นทางเส้นหนึ่งออกมา สิ่งที่เข้าสู่สายตาล้วนเป็นแสงสีขาวแถบหนึ่ง
ร่างกายของผู้เฒ่าเทียนเหอโฉบจมเข้าไปในทางเส้นนี้ หายไปไร้ร่องรอย
พร้อมกับที่ผู้เฒ่าเทียนเหอเข้าไป ทันใดนั้นเส้นสีขาวก็ปิดลงต่อหน้าทุกคน
เสวียนอู่กับเสวียนอิงยังคงรักษาท่าทางนอบน้อมอยู่ตลอด หลังรอจนผู้เฒ่าเทียนเหอจากไปแล้วถึงยืดกายขึ้น
เสวียนอู่สะบัดมือข้างหนึ่ง แสงเรืองรองสีขาวแถบหนึ่งม้วนออกมาครอบพวกหลิ่วหมิงสิบเอ็ดคนที่เข้ามาในแดนแห่งมรดกไว้ด้านในทั้งหมดทันที
ในเวลาเดียวกันนี้ นอกจากพวกหลิ่วหมิงสี่คน เจ็ดคนที่เหลือซึ่งหมดสติไปเวลานี้ก็ทยอยได้สติขึ้นมาแล้ว มีหลายคนได้เห็นภาพผู้เฒ่าเทียนเหอสังหารพวกต่างเผ่าตอนสุดท้ายด้วยตาตนเอง บนใบหน้ายังคงมีสีหน้าตกตะลึงจางๆ ไม่หาย
แต่ใครก็ไม่ทันสังเกตว่าตรงหน้าอกที่ถูกเสื้อผ้าปกปิดอยู่ของศิษย์อัปลักษณ์แห่งนิกายปีศาจลี้ลับ มีหนอนน้อยสีแดงสดยาวไม่กี่ชุ่นตัวหนึ่งเกาะอยู่
หนอนตัวนี้ร่างกายยาวเรียว มีกรงเล็บหน้าตาคล้ายหนวดแปดเส้น ครึ่งค่อนร่างฝังลงไปใต้ผิวหนังของบุรุษอัปลักษณ์แล้วเผยออกมาเพียงส่วนหัว สองตาทอประกายสีเขียวลึกลับอย่างที่สุด
หลังจากนั้นหนอนน้อยสีแดงสดก็บิดร่างกาย มุดลงไปในผิวหนังอย่างช้าๆ
ศิษย์อัปลักษณ์แห่งนิกายปีศาจลี้ลับชะเง้อมองรอบด้าน ดูไปแล้วบนหน้ายังคงมีสีหน้าหงุดหงิดจางๆ แต่ไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบนหน้าอกของตนแม้แต่น้อย
ในเวลานี้เองหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปอยางเร็วไว หลังตรงหน้าพร่าเลือนไปวูบหนึ่ง พวกเขาก็หายไปจากในมิติสีเทาพร้อมกัน
ยอดเขาหิมะนอกแดนลึกลับประตูสวรรค์
เกาะยักษ์แห่งนั้นยังคงลอยตั้งตระหง่านอยู่กลางโดมแสงสีทองชั้นหนึ่งและหมุนวนเชื่องช้าไม่หยุด
กลางอากาศเบื้องหน้าเกาะ ก้อนแสงขนาดยักษ์ที่มีสีดำกับขาวเคียงคู่กันอยู่ก้อนนั้นก็หมุนวนเชื่องช้ากลางอากาศเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นแสงสีขาวเจิดจ้าแสบตาจุดหนึ่งก็สว่างขึ้นในก้อนแสงยักษ์
ครู่ต่อมาแสงสีขาวแถบหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านใน ร่อนลงบนพื้นที่ว่างบนเวทีตรงยอดเขาหิมะ
หลังแสงสีขาวดับลงก็เผยคนสิบกว่าคนด้านในออกมา คนที่นำหน้าสองคนก็คือเสวียนอู่กับเสวียนอิงสองทูตจากวังสวรรค์
ด้านหลังร่างทั้งสองคนคือพวกหลิ่วหมิงและบุรุษผมม่วง
เวลานี้รอบเวทีเหนือยอดเขาหิมะ ผู้คนจากนิกายต่างๆ ไม่น้อยรายล้อมอยู่มากมาย หลังเห็นพวกหลิ่วหมิงปรากฏตัวขึ้นก็ส่งเสียงฮือฮาในทันใด
เสวียนอู่กับเสวียนอิงปล่อยพวกหลิ่วหมิงลงแล้วก็ไม่รั้งรอขยับร่างวูบหนึ่ง แยกย้ายกันปรากฏตัวเบื้องหน้าป้ายศิลาโชคชะตา
ทั้งสองนั่งขัดสมาธิประจันหน้ากัน พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็พลิกทีหนึ่ง ในมือมีของสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา อาวุธจิตวิญญาณรูปแผ่นกลมในวันเปิดแดนลึกลับประตูสวรรค์ชิ้นนั้นนั่นเอง ลวดลายจิตวิญญาณโบราณมากมายด้านบนกำลังส่องแสงเรืองๆ อยู่
ในเวลาเดียวกับที่เสียงท่องมนตร์แผ่วต่ำดังออกมาจากริมฝีปากที่ขยับขมุบขมิบของทั้งสองคน นิ้วทั้งสิบที่สองมือก็ขยับทำท่าเคล็ดวิชาไม่หยุดประหนึ่งวงล้อ