ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 827
ตอนที่ 827 เจรจาร่วมมือ
“ระเบิด! ระเบิด! ระเบิด!”
พร้อมกับที่ปากผู้ฝึกฝนชุดขาวโพล่งคำว่า “ระเบิด” ออกมาต่อกัน ลูกบอลแสงสีขาวลูกแล้วลูกเล่าก็ปรากฏขึ้นตามต่อกันเบื้องหน้าโล่ดินหนาสีเหลืองแล้วทยอยระเบิด คลื่นรุนแรงซัดโถมออกมา
บนผิวของโล่ดินหนาแสงเรืองรองสีเหลืองสว่างโถมออกมาไม่หยุดเช่นกัน ทว่าเผชิญกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดมากเช่นนี้ระเบิดตัวเอง มันก็ทำท่าจะไม่ไหว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งทันที มือข้างหนึ่งยันโล่ดินหนาไว้ ปากเอ่ยท่องมนตร์ พลังเวททั้งร่างกรอกเข้าไปด้านในอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
แสงเรืองรองสีเหลืองทะลักออกมาจากผิวของโล่ดินหนาทันที เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นทีหนึ่ง ผิวของโล่ยักษ์ก็มีเงาภูเขาลูกย่อมๆ ลูกหนึ่งลอยออกมาจากโล่ มันโต้ลมขยายใหญ่จนกลายเป็นภูเขายักษ์ขนาดสามสี่สิบจั้งลูกหนึ่ง
เสียงเปรี้ยงดังสนั่น!
เข็มบินสีขาวอีกระลอกหนึ่งมาถึงพร้อมเสียงดังสนั่น จุดระเบิดขึ้นอีกระลอก ทว่าผิวของเงาภูเขาขนาดย่อมสีเหลืองส่องสว่างวูบวาบ ตั้งตระหง่านนิ่ง แข็งแกร่งประหนึ่งหินผา
ผู้ฝึกฝนชุดขาวเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยันทีหนึ่ง มือสะบัดอีกหน แสงรัศมีสีขาวยิ่งรวมตัวกันแน่นกว่าก่อนหน้านี้ เทออกมาจากในแขนเสื้อของเขาประหนึ่งห่าฝน
ทันใดนั้นท้องฟ้าครึ่งหนึ่งก็ถูกรัศมีสีขาวกลบ
“ทั้งหมดจงระเบิด!”
เขาเพียงคำรามเสียงต่ำแผ่วเบาครั้งหนึ่ง เสียง “เปรี้ยงๆ” ก็ดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาด ลูกบอลแสงสีขาวมากมายถี่ยิบระเบิดขึ้นพร้อมกัน ชั่วพริบตาประสานกันกลายเป็นดวงตะวันเจิดจ้าสีขาวมโหฬารอย่างยิ่งดวงหนึ่งกลบเงายอดเขาทั้งลูกไว้ด้านในจนมิด
เสียง “ครืน” ดังขึ้น!
ท่ามกลางแสงสีขาวที่ห้อมล้อม ภูเขาลูกย่อมสีเหลืองฉับพลันพังทลาย ทันใดนั้นแสงรัศมีสีขาวเต็มฟ้าก็ท่วมออกมา
แสงสีเหลืองสายหนึ่งดีดพุ่งถอยหลังออกมาจากกลางลูกบอลแสงสีขาว มันคือโล่ดินหนาที่แสงจิตวิญญาณหายไปแล้ว
ทว่าหลังแสงสีขาวดับลง หลิ่วหมิงก็ยังคงยืนตัวตรงนิ่งอยู่ที่เดิม ปราณดำชั้นหนึ่งพลุ่งพล่านอยู่รอบร่างซัดคลื่นปราณที่หลงเหลือออกจนหมด
หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อเก็บโล่ดินหนาที่พุ่งกลับมาแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ ประโยคหนึ่ง
“ท่านมีความสามารเพียงเท่านี้สินะ หากไม่มีฝีมืออย่างอื่นแล้ว ศึกวันนี้ก็ทำให้ผู้แซ่หลิ่งผิดหวังนัก”
คำนี้เอ่ยออกจากปากปุบ สีหน้าของผู้ฝึกฝนชุดขาวพลันย่ำแย่อย่างยิ่ง ผู้เฒ่าอ้วนที่ชมการต่อสู้อยู่บนยอดเขาใกล้ๆ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วย
“เอ่ยวาจาใหญ่โตนัก เจ้าตั้งรับสมบัติชิ้นต่อไปของข้าให้ได้ค่อยว่ากัน!”
ผู้ฝึกฝนชุดขาวโกรธจัดจนหัวเราะ มือข้างหนึ่งพลิก ม้วนภาพวาดที่ส่องแสงสีเหลืองขมุกขมัวม้วนหนึ่งก็ร่วงลงกลางฝ่ามือ จากนั้นเขาก็โยนเบาๆ อย่างเร็วไว พร้อมกันนั้นเคล็ดวิชาสายหนึ่งก็พุ่งหายเข้าไปด้านใน
ม้วนภาพคลี่ออกกลางอากาศ ในภาพวาดมีเสือตัวยักษ์สีขาวดูราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งกำลังย่อขาหมอบต่อหน้าดวงตะวันเจิดจ้าเหนือศีรษะ
ผู้ฝึกฝนชุดขาวสิบนิ้วเปลี่ยนแปรประหนึ่งวงล้อแล้วจิ้มออกไปด้านหน้า ยันต์สีทองตัวหนึ่งส่องสว่างปรากฏขึ้น หลังหมุนติ้วก็หยุดนิ่งกลางท้องฟ้า จากนั้นประทับลงบนม้วนภาพวาด
เสียงพยัคฆ์คำรามสายหนึ่งดังออกมา!
ดวงตะวันเจิดจ้าบนภาพวาดส่องแสงสีแดงสว่างจ้า เสือยักษ์สีขาวตัวนั้นฉับพลันเอี้ยวหัว เท้าหลังถีบทีหนึ่งกระโจนออกมาจากม้วนภาพวาด โต้ลมขยายขนาดจนใหญ่ยักษ์ห้าหกจั้ง
เวลานี้ถึงมองเห็นชัด พยัคฆ์ตัวนี้แลดูขาวโพลน แต่ลึกเข้าไปใต้ขนมีลวดลายจิตวิญญาณสีดำกับสีเหลืองตัดกันอยู่ ในดวงตายักษ์ขนาดเท่ากำปั้นทั้งคู่มีเปลวเพลิงสีทองสองดวงลุกโชนอยู่ ดูแล้วทรงพลังไม่น้อย
พยัคฆ์ตัวนี้ปรากฏตัวปุบก็แหงนหน้าคำราม ขาหน้าทั้งสองข้างฉับพลันกางกรงเล็บคมสีทองยาวครึ่งฉื่อออกมา ตะปบสายลมอันตรายโถมตรงเข้าใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสออกไป สัมผัสได้ถึงปราณน่าหลาดกลัวที่แผ่ออกมาจากบนตัวเสือยักษ์อยู่เลือนราง หลังดวงตาฉายแววประหลาดใจ มือข้างหนึ่งก็ชี้กลางหว่างคิ้ว
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง กระบี่บินสีทองยาวสองฉื่อแปดชุ่นเล่มหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา หลังส่งเสียงกังวานใสทีหนึ่งก็กลายเป็นรุ้งทองยาวสิบกว่าจั้งสายหนึ่งซัดออกไป
พยัคฆ์ขาวร้องคำรามโกรธเกรี้ยว กรงเล็บหน้าสองข้างตวัด เงากรงเล็บสีทองมากมายถี่ยิบพุ่งเข้าใส่รุ้งทองในทันใด
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
แสงสีทองระลอกหนึ่งส่องสว่าง รุ้งน่าตะลึงสีทองทะลวงผ่านเงากรงเล็บชั้นแล้วชั้นเล่าไปทันทีพร้อมกับระเบิดแสงสีขาวน้ำนมดวงหนึ่งออกมา จากนั้นพุ่งผ่านบนร่างมหึมาของพยัคฆ์ขาวไป
ร่างกายของเสือยักษ์สีขาวพลันชะงักนิ่งกลางอากาศแล้วร้องครวญคราง เส้นไหมแวววาวสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งออกจากทุกหนทุกแห่งบนร่าง
เสียง “ปัง” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
เสือยักษ์สีขาวระเบิดกลางอากาศกลายเป็นไอหมอกสีขาวสายแล้วสายเล่ากระจัดกระจาย พร้อมกันนั้นม้วนภาพเบื้องหน้าร่างผู้ฝึกฝนชุดขาวก็ส่งเสียง “ชี่ๆ” ลุกไหม้ตัวเองกลายเป็นขี้เถ้าปลิวไป
รุ้งน่าตะลึงสีทองวนกลางอากาศรอบหนึ่งก็กลายเป็นแถบแสงซัดเข้าใส่ผู้ฝึกฝนชุดขาวอีกครั้ง
“รนหาที่ตาย เจ้าถึงกับกล้าใช้กระบี่บินทำลายภาพพยัคฆ์ขาวเฝ้าตะวันของข้า!”
ผู้ฝึกฝนชุดขาวโกรธจัดขึ้นมาในทันใด เขาไม่หลีกไม่หลบแต่พลิกมืออีกหน แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งสว่างขึ้น ในมือปรากฏอาวุธจิตวิญญาณระฆังน้อยที่ส่องแสงสีเขียวขมุกขมัวใบหนึ่ง
ยังไม่ทันที่ปากเขาจะส่งเสียงท่องมนตร์ เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นด้านข้าง แสงสีเทาดวงหนึ่งพุ่งชนบนรุ้งน่าตะลึงสีทองทันที
เสียงเปรี้ยงดังสนั่น กระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งดีดกลับมา กลางแสงสีเทามีค้อนน้อยสีเงินอ่อนอันหนึ่งปรากฏขึ้นเลือนราง!
บุรุษตัวอ้วนที่เดิมชมการต่อสู้อยู่ด้านข้างผู้นั้นนั่นเองที่โยนสิ่งนี้มากะทันหัน ขวางวิชาขี่กระบี่ของหลิ่วหมิงไว้
หลิ่วหมิงหน้าถมึงทึง มือหนึ่งกวักเรียก กระบี่ว่างเปล่าฉับพลันส่งเสียงครวญครางพุ่งเร็วรี่กลับมา
ครู่ต่อมาเงาร่างบนยอดเขาไม่ไกลก็ขยับวูบ ผู้เฒ่าอ้วนยิ้มน้อยๆ ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศระหว่างหลิ่วหมิงกับผู้ฝึกฝนชุดขาว
“ท่านลงมือเวลานี้ คิดจะสองรุมหนึ่งหรือ?” หลิ่วหมิงมองผู้เฒ่าอ้วนทีหนึ่งแล้วเอ่ยถามหนึ่งประโยคด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ กระบี่บินสีทองหน้าร่างเริ่มสั่นเล็กน้อย ส่งเสียงดังอื้ออึงเบาๆ ออกมา
ผู้ฝึกฝนชุดขาวฝั่งตรงข้ามเห็นพรรคพวกสอดมือยุ่ง แม้ไม่ได้พูดอันใด แต่บนใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าไม่พอใจจางๆ เช่นเดียวกัน
“ฮ่ะๆ สหายเข้าใจผิดแล้ว! ข้าเพียงเห็นว่าวิชากระบี่บินของท่านยอดเยี่ยม จึงอยากกล่อมให้ทั้งสองคนวางอาวุธผูกมิตรกันแทนเท่านั้น” บุรุษอวบอ้วนหัวเราะฮ่ะๆ ประสานมือคำนับหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ผู้อาวุโสหวง ท่านกับข้าสองคนร่วมมือกันยังกังวลว่าจะจัดการคนผู้นี้ไม่ได้หรือ? เหตุใดกลับจะสมานฉันท์กับเขา” ผู้ฝึกฝนชุดขาวกลับโมโหขึ้นมาเล็กน้อย แววตาดุดันฉายผ่านดวงตาพร้อมตวาดถาม
“นายน้อยอย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าพูดเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของข้า อภัยที่ข้าตาฝ้าฟาง ขอเรียนถามในมือสหายท่านนี้ครอบครองกระบี่บินพลังจิตวิญญาณธาตุว่างเปล่าหรือไม่?” หลังผู้เฒ่าอ้วนเอี้ยวศีรษะส่งสายตาให้ผู้ฝึกฝนสีขาวทีหนึ่ง สายตาก็มองมาหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง จากนั้นเอ่ยถามอย่างไม่รีบไม่ช้า
“ไม่ผิด แล้วอย่างไร?” หลิ่วหมิงได้ยิน ในใจสะท้านทว่าตอบกลับด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน
“ถ้าเช่นนี้ก็ไม่ผิดแล้ว ในเมื่อสหายต้องการเพียงพอนผลึกม่วงตัวนี้ยิ่งยวดเช่นนี้ คิดว่าก็คงมีเป้าหมายเดียวกับพวกเรา คงมาเพื่อปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนั้นที่เร้นกายอยู่ลึกในเทือกเขาแห่งนี้สินะ?” ผู้อาวุโสหวงยิ้มตาหยีเอ่ยขึ้น
“พวกท่านมาที่นี่เพื่อปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าเหมือนกัน!” แม้ในใจหลิ่วหมิงคาดเดาได้อยู่ลางๆ นานแล้ว แต่ได้ยินอีกฝ่ายว่าเช่นนี้ สีหน้าก็ยังคงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ไม่ผิด ในเมื่อพวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน ไยไม่ร่วมมือล่าปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนั้น ต้องมาสู้เอาเป็นเอาตายกันตรงนี้เล่า?” ผู้เฒ่าอวบอ้วนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
หลิ่วหมิงเม้มริมฝีปากไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาทันที ทว่าบนใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิด
ผู้เฒ่าอ้วนเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยกล่อมต่อ
“พี่ชายดูก็รู้ว่าเป็นคนฉลาด จากการประลองเมื่อครู่ก็คงมองออกแล้วว่านายน้อยตระกูลข้ามีอาวุธจิตวิญญาณมากมาย ไม่มีทางเอาชนะได้ง่ายๆ หากสู้กันต่อ เกรงว่าสู้เอาจริงเอาจังขึ้นมา ถึงเวลาไม่ว่าใครพลังปราณก็เสียหายหนัก คิดหมายปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนี้อีกก็คงยากยิ่งกว่ายาก สหายตามหาที่นี่พบก็คงรู้ว่าปีศาจอสูรตัวนี้พลังระดับแก่นแท้เหมือนกัน สิ่งที่ท่านหวังพึ่งก็คงเป็นกระบี่บินธาตุว่างเปล่าเล่มนี้ในมือสินะ ส่วนพวกเราสองคนเพื่อการเดินทางครั้งนี้ได้เตรียมสมบัติที่ใช้ประโยชน์ได้มาหลายชิ้น หากพวกเราสองฝั่งร่วมมือกัน โอกาสสำเร็จย่อมมากขึ้นหลายส่วน”
“อ้อ หากเป็นตามที่ท่านว่า รอถึงท้ายที่สุดพวกเราได้ปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนี้มา จะแบ่งสรรอย่างไร?” หลิ่วหมิงสายตาเปล่งประกายวิบวับแล้วเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ
เป็นดังที่อีกฝ่ายว่าปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่ามีพรสวรรค์ในวิชาหลบหนีผ่านมิติ นั่นเป็นสิ่งที่เขากังวลอย่างยิ่ง แม้เขามีกระบี่บินว่างเปล่าแต่ก็ยังไม่มั่นใจเต็มที่ว่าจะทำลายวิชาหลบหนีของอสูรตัวนี้ได้
เขาทุ่มเทกำลังมากมายกว่าจะได้รู้ว่ามีอสูรกวางชะมดว่างเปล่าตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่ที่นี่ หากมันถูกบีบจนทิ้งรังไปซ่อนที่อื่น ย่อมเป็นเรื่องที่เขาไม่ยินดีจะเห็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้การจับกวางชะมดว่างเปล่าตัวนี้ยังต้องการเครื่องหอมล่อรวมถึงอุปกรณ์อาคมพิเศษจำนวนหนึ่งอีก จากคำพูดของอีกฝ่ายดูท่าพวกเขาคงเตรียมการมาพร้อม หากร่วมมือกันคงประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายไปได้ไม่น้อย
“ปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนี้ที่จริงเป็นเพียงการทดสอบบทหนึ่งหลังนายน้อยตระกูลข้าเข้าสู่ระดับแก่นแท้เท่านั้น วัตถุดิบที่ได้จากอสูรแห่งความว่างเปล่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องเอามาให้ได้ ไม่เช่นนั้นเอาอย่างนี้เถิด วัตถุดิบจากอสูรว่างเปล่า ข้ากล้าตัดสินใจแทนนายน้อย สหายกับนายน้อยตระกูลข้าคนละครึ่งเป็นอย่างไร? ส่วนแก่นปีศาจของอสูรตัวนี้ หากพี่ชายยินดียกให้พวกเรา ข้าย่อมไม่เอาเปรียบพี่ชาย จะมอบหินจิตวิญญาณจำนวนมากพอให้สหายเป็นการชดเชย” ผู้เฒ่าอ้วนได้ยินน้ำเสียงผ่อนคลายลงของหลิ่วหมิง บนหน้าก็ยินดีรีบร้อนเสนอขึ้นมาอีกครั้ง
พูดจบ เขาก็ใช้สายตาไถ่ถามมองไปหาผู้ฝึกฝนขุดขาวที่อยู่ไม่ไกล
ผู้ฝึกฝนชุดขาวเวลานี้กลับทำท่าอย่างไรก็ได้ คล้ายยอมรับข้อเสนอของผู้เฒ่าอ้วนเงียบๆ
หลิ่วหมิงเห็นทุกสิ่งนี้อยู่สายตา สีหน้านิ่งสงบ ความคิดในใจแล่นเร็วรี่
แม้ในข้อมูลบันทึกไว้ว่าขนาดร่างของอสูรกวางชะมดว่างเปล่าตัวนี้ขนาดแค่หนึ่งจั้งกว่า แต่จากบันทึกวิธีหลอมพิเศษนั่น หากแค่นำวัตถุดิบมาใช้ทำฝักกระบี่ว่างเปล่า เอาหนังขนาดหนึ่งในสิบของมันมาก็เพียงพอแล้ว ส่วนแก่นปีศาจของปีศาจอสูรตัวนั้น เดิมทีเขาคิดว่าหลังได้มาจะขายมันในราคาสูง
“พูดเช่นนี้ก็มีเหตุผล ได้ ข้าจะร่วมมือกับท่านทั้งสองสักครั้ง” หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดชั่วครู่ ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวแล้วพยักหน้า
“ดีมาก เจ้ากับข้าสองฝ่ายร่วมมือกัน ปีศาจอสูรตัวนั้นย่อมเป็นของในกระเป๋า ถ้าเช่นนั้นขอข้าแนะนำใหม่อีกครั้ง ท่านนี้คือประมุขน้อยแห่งนิกายหยกทองของพวกเรา เฟิงชิงโม่ ขอเรียนถามสหายเรียกขานว่าอย่างไร?”
ผู้อาวุโสหัวเราะฮ่าๆ ร่างกายขยับวูบหนึ่งก็ปรากฏตัวข้างกายผู้ฝึกฝนชุดขาว มือข้างหนึ่งผายออกแนะนำ
ผู้ฝึกฝนชุดขาวเห็นเช่นนี้ แม้ไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่มือข้างหนึ่งก็พลิกเก็บอาวุธจิตวิญญาณระฆังน้อยเข้าไปในแขนเสื้อแล้วประสานมือให้หลิ่วหมิงอย่างเฉยชา