ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 835
ตอนที่ 835 ฝักกระบี่ว่างเปล่า (ต้น)
หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าทันที ผู้เฒ่าอ้วนผู้นี้ความคิดลึกล้ำ ทั้งยังชำนาญศาสตร์ยันต์และค่ายกลเช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังเป็นผู้ฝึกร่างระดับแก่นแท้ขั้นกลางคนหนึ่งอีก
ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายใช้วิชาของผู้ฝึกร่างย่อมบ่งบอกว่าบริเวณใกล้ๆ ไม่มีค่ายกลอื่นวางไว้แล้ว
ในใจเขาความคิดแล่นเร็วจี๋ แต่การเคลื่อนไหวไม่หยุดสักนิด ขณะที่เงาหมัดกำลังจะมาถึง ทันใดนั้นบนแผ่นหลังแสงสีเงินก็สว่างวาบ ปีกเนื้อสีเงินคู่หนึ่งปรากฏออกมา
ปีกทั้งคู่กระพือทีหนึ่ง คนก็กลายเป็นแสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไป การโจมตีของเงาหมัดสีทองพุ่งผ่านใต้ตัวเขาไปกระแทกลงบนพื้นใกล้ๆ ดังเปรี้ยง
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นขึ้นหนึ่งหน!
หลังฝุ่นทรายที่ปลิวว่อนสงบ แสงสีทองก็ดับหายไป บนพื้นก็ปรากฏหลุมยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งหลุมหนึ่ง
“เร็ว!”
หลิ่วหมิงที่อยู่กลางท้องฟ้าตวาดเสียงเบาคำหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ กระบี่ว่างเปล่าพุ่งออกมากลางอากาศในทันใด หลังมันส่งเสียงกังวานใสก็กลายเป็นรุ้งทองสิบกว่าจั้งโถมออกมา
แม้ผู้เฒ่าอ้วนจะรู้นานแล้วว่ากระบี่ว่างเปล่าของหลิ่วหมิงทรงพลังไม่น้อย แต่เมื่อจิตกระบี่มโหฬารครอบทับลงมา ในใจก็ยังคงพรั่นพรึงอย่างยิ่ง เขาสะบัดแขนเสื้อ เรียกค้อนเล็กที่ส่องแสงสีดำขมุกขมัวออกมาอีกครั้ง หลังเหวี่ยงไปด้านหน้า มันก็ขยายใหญ่หลายจั้งขวางอยู่หน้าร่างเขา
เสียง “ปัง” ดังขึ้นทีหนึ่ง
หลังแสงสีทองกับค้อนยักษ์สีดำปะทะกันอย่างรุนแรง แสงสีทองสายแล้วสายเล่ากับปราณดำหลายสายก็เกี่ยวกระหวัดกันกลางอากาศ ทั้งสองฝ่ายชนปะทะจนระเบิดกลายเป็นสะเก็ดไฟเจิดจ้าดวงแล้วดวงเล่า
ตอนนี้เองปีกทั้งคู่บนแผ่นหลังของหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านบนก็กระพืออีกครั้ง เขาเลือนหายไปจากบนท้องฟ้าสูงอีกหน
ในเวลานี้เองสองมือของผู้เฒ่าอ้วนก็คลายจากค้อนยักษ์สีดำ หมุนตัวเหวี่ยงแขนต่อยหนึ่งหมัดย้อนไปด้านหลังร่างในทันใด
แทบจะในเวลาพร้อมกัน ด้านหลังเขาก็เกิดคลื่นสั่นสะเทือนขึ้น หลิ่วหมิงปรากฏตัวออกมาด้านหลังอีกฝ่ายพอดี
เสียง “ฟุบ” ดังขึ้น!
“หลิ่วหมิง” ถูกกำปั้นสีทองโจมตีจนแตกสลายกลายเป็นไอหมอกสีดำกลุ่มหนึ่ง
นี่กลับเป็นเงาติดตาร่างหนึ่งเท่านั้น!
ตอนที่ผู้เฒ่าอ้วนรู้ตัว ทันใดนั้นอากาศข้างร่างก็สั่นไหว หลิ่วหมิงอีกคนปรากฏตัวขึ้น สองแขนสะบัด เหวี่ยงหลายสิบหมัดเข้าใส่เขาประหนึ่งสายฝนกระหน่ำ
ผู้เฒ่าอ้วนผวา ร่างกายพุ่งถอย จากนั้นอ้าปากถ่มแผ่นกลมสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมา สมบัติชิ้นนี้หมุนติ้วหน้าร่างรอบหนึ่งก็กลายเป็นม่านสีเหลืองแข็งหนาผืนหนึ่งปกป้องเขาไว้ด้านใน
เงาหมัดสีดำหมัดแล้วหมัดเล่ากระหน่ำลงบนม่านสีเหลืองประหนึ่งฝนเท เสียงฝนกระทบดังเกรียวกราว!
ม่านแสงสีเหลืองสั่นสะเทือนพักหนึ่งจากนั้นก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ทำท่าจะทานไม่ไหวในทันใด
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้นทีหนึ่ง!
เวลาเพียงสองสามลมหายใจ ม่านแสงก็พังทลาย
ชั่วพริบตาเงาหมัดมากมายก็กระหน่ำต่อยลงบนร่างผู้เฒ่า
“เป็นไปได้อย่างไร…”
ผู้เฒ่าอ้วนตกตะลึง สองขากระทืบพื้นถอยพรวดออกไปหลายจั้งถึงหวุดหวิดตั้งร่างมั่นคงได้ ปราณแกร่งรอบร่างเหลือเพียงชั้นบางๆ ชั้นหนึ่งหลังการโจมตีของเงาหมัดมากมาย
เวลานี้เองร่างกายของหลิ่วหมิงก็หายไปประหนึ่งภูตผีอีกครั้ง
เพียงหนึ่งลมหายใจให้หลัง เงาดำสามร่างก็ปรากฏขึ้นข้างกายเขา สิบนิ้วดีดทีเดียว ปราณกระบี่สีทองสายแล้วสายเล่าพลันซัดบ้าคลั่งออกมา
ผู้เฒ่าอ้วนตกตะลึงยิ่ง ทว่าอย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ขั้นกลาง ย่อมไม่ใช่กลุ่มคนที่จะจัดการได้ง่ายๆ มือข้างหนึ่งของเขาตั้งท่าเคล็ดวิชาอย่างไม่ต้องคิด แสงสีทองสาดออกมารอบร่างกลายเป็นเงาดอกบัวเลือนรางดอกหนึ่งห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ ต้านเงาหมัดที่พุ่งทะลวงมา จากนั้นแหวกท้องฟ้าหนีไปไกล
เมื่อผู้อาวุโสแห่งนิกายหยกทองผู้นี้สัมผัสได้ว่าพลังของหลิ่วหมิงแข็งแกร่งเช่นนี้ ส่วนตนก็บาดเจ็บหนัก จึงไม่สนใจไยดีกระทั่งอาวุธจิตวิญญาณค้อนเล็กสีดำชิ้นนั้น หนีเอาชีวิตรอดทันที
“ยามนี้จะไป ไม่รู้สึกว่าสายเกินไปแล้วหรือ?”
หลิ่วหมิงเอ่ยเสียงเย็นชา มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวัก กระบี่น้อยสีทองที่อยู่ไกลออกไปบนท้องฟ้าสั่นเบาๆ จากนั้นส่งเสียงใสกังวานกลายเป็นรุ้งกระบี่สีทองยาวเจ็ดแปดจั้งสายหนึ่งไล่ตามไปติดๆ
หลังเปล่งแสงดาราสีขาวน้ำนมดวงหนึ่งออกมาภายนอก รุ้งน่าตะลึงสีทองก็เพิ่มความเร็วขึ้นกลางอากาศ มันส่งเสียงดังกึกก้องแล้วหายวับไป
เมื่อรุ้งน่าตะลึงสีทองปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันก็ไล่ตามมาถึงสองสามจั้งหลังร่างผู้เฒ่าอ้วนแล้ว
ผู้เฒ่าอ้วนรู้สึกว่าหลังร่างมีปราณกระบี่สูงเทียมฟ้าไล่ตามมาไม่ลดละ เขาตกใจอย่างยิ่ง รีบร้อนสะบัดแขนเสื้อโยนยันต์ที่ส่องแสงเรืองๆ หลายแผ่นไปด้านหลัง พริบตาเดียวยันต์เหล่านั้นก็ระเบิดออกกลายเป็นม่านแสงหลายชั้นขวางอยู่หลังร่าง
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นต่อเนื่อง
รุ้งกระบี่เพียงสั่นเบาๆ ก็ทะลวงผ่านม่านแสงไปทันทีประหนึ่งโค่นไม้เฉา ทั้งยังสาดแสงกระบี่เย็นเยียบนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านไปในทันใด
“เจ้าหนู เจ้ากล้า…อ้าก!”
ผู้เฒ่าอ้วนร้องเสียงดังได้สองสามครั้ง แม้เขาดิ้นรนโยนอาวุธจิตวิญญาณป้องกันหลายชิ้นออกมาอีก แต่ชั่วพริบตาแสงกระบี่มากมายก็ฟาดฟันร่างเขากระจุย หลังกรีดร้องโหยหวน ร่างกายก็ถูกฟันเป็นท่อนๆ ร่วงลงไปเบื้องล่าง กระทั่งวิญญาณในร่างเขาก็ถูกแสงกระบี่ฟันเป็นชิ้นๆ ด้วย ไม่มีโอกาสหนีรอดสักนิด
เสียง “ปัง” ดังขึ้น!
เมื่อชิ้นส่วนขาดวิ่นของผู้เฒ่าอ้วนร่วงลงพื้น ร่างกายของเขาก็กลับคืนสภาพเดิมก่อนหน้า
แสงกระบี่เต็มฟ้าดับลง ร่างกายของหลิ่วหมิงปรากฏขึ้นอีกครั้งจากนั้นกวาดจิตสัมผัสลงไป หลังแน่ใจว่าอีกฝ่ายตายจนไม่อาจตายได้อีกแล้ว เขาถึงกวักมือทีหนึ่งเรียกกระบี่น้อยสีทองกับยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองกลับมา
หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็โฉบวูบไปปรากฏตัวข้างศพของผู้เฒ่า มือข้างหนึ่งดึงกำไลเก็บของอันประณีตไม่ธรรมดาวงนั้นบนมืออีกฝ่ายมาไว้ในมือ แล้วยกมือปล่อยลูกบอลเพลิงขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งออกมาเผาศพเขากลายเป็นขี้เถ้าอยู่ตรงนั้น
เมื่อเขาปล่อยจิตสัมผัสสำรวจภายในกำไลเก็บของก็เผยสีหน้ายินดีออกมาทันที
นิกายหยกทองแห่งนี้ไม่เสียทีเป็นนิกายใหญ่อายุหมื่นปีที่ทรัพยากรการฝึกฝนพรั่งพร้อม ในกำไลเก็บของของคนผู้นี้นอกจากศพของอสูรกวางชะมดกับอาวุธจิตวิญญาณมากมายแล้ว หญ้าจิตวิญญาณ โอสถจิตวิญญาณและยันต์ต่างๆ ก็มีนับไม่ถ้วน ในมุมหนึ่งยังมีหินจิตวิญญาณกองอยู่ประหนึ่งภูเขา นับดูคร่าวๆ อย่างน้อยก็มีมหาศาลถึงยี่สิบสามสิบล้าน เรียกได้ว่าเขาได้ลาภก้อนโตทีเดียว
คิดถึงตรงนี้เขาก็อดไม่ได้มองไปทางศพของเฟิงชิงโม่อีกด้านหนึ่ง แววตาร้อนแรงจางๆ แล่นผ่านดวงตาไปอย่างห้ามไม่ได้
กระทั่งผู้อาวุโสตัวเล็กๆ คนหนึ่งในนิกายยังมีทรัพย์สมบัติปานนี้ เฟิงชิงโม่ผู้นั้นที่มีฐานะเป็นประมุขน้อย นั่นยิ่งไม่ต้องพูดแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็หยิบกำไลเก็บของของเฟิงชิงโม่มากวาดจิตสัมผัสอย่างรีบร้อนบ้าง
ไม่ผิดจากที่คาด คนผู้นี้มั่งคั่งอย่างที่สุดจริงๆ
แค่หินจิตวิญญาณติดตัวก็พกมาไม่น้อยกว่าสามสิบล้าน นอกจากนี้โอสถจิตวิญญาณ ยันต์ อาวุธเวท ธงค่ายกลนานาชนิดก็นับไม่ถ้วน
แน่นอนหลิ่วหมิงถ่ายของเหล่านี้มาไว้ในแหวนย่อส่วนอย่างไม่เกรงใจสักนิด
ทว่าตอนที่เขากำลังจะถ่ายหินจิตวิญญาณทั้งหมดไปนั้น เขาก็พบกล่องไหมสีม่วงอ่อนที่ค่อนข้างประณีตใบหนึ่งใต้หินจิตวิญญาณที่กองอยู่ในกำไลเก็บของของอีกฝ่าย
หลิ่วหมิงฉุกใจคิดบางอย่างจึงหยิบกล่องผ้าไหมใบนี้ออกมาทันที
หลังสะบัดมือเปิดก็พบคัมภีร์หยกสีขาวเล่มหนึ่งนอนอยู่ด้านใน
“สิ่งใดกัน ต้องซ่อนไว้มิดชิดเช่นนี้เชียว”
หลิ่วหมิงแนบคัมภีร์หยกเล่มนี้กับหน้าผากอย่างสงสัยใคร่รู้ จิตสัมผัสจมดิ่งลงไปด้านในทันที
“สูตรโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์!”
หลังความตกตะลึงจางหาย หลิ่วหมิงพลันตื่นเต้นยินดี
จะว่าไปเขาก็ไม่ได้เพิ่งเคยได้ยินชื่อโอสถชนิดนี้เป็นครั้งแรก ตอนที่เขายังเป็นศิษย์สายนอกอยู่ ของรางวัลที่หลวงจีนกระดูกหยกผู้ฝึกฝนชั่วร้ายซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้นั้นมอบให้เขาก็คือโอสถชนิดนี้
ได้ยินว่าโอสถนี้ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง เป็นโอสถชนิดหนึ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกหรือกระทั่งระดับแก่นแท้กินเพื่อหลอมร่างชำระกระดูกได้
ยามนี้เขาย่อมไม่สะดวกศึกษาอย่างละเอียด เมื่ออ่านคร่าวๆ รอบหนึ่งแล้วจึงเก็บสูตรโอสถเข้าไปในแหวนย่อส่วน หลังจากนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นปล่อยลูกไฟหลายดวงออกมาเผาศพเฟิงชิงโม่เป็นจุณเช่นเดียวกัน
เมื่อเขาแน่ใจแล้วว่าที่แห่งนี้ไม่มีร่องรอยอื่นใดอีกก็ใช้เคล็ดวิชากลายเป็นแสงสีทองเส้นหนึ่ง แหวกท้องฟ้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ทันที
ได้เนื้อหนังของอสูรแห่งความว่างเปล่าซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้มาแล้ว ภารกิจเร่งด่วนยามนี้ย่อมเป็นการกลับไปถ้ำที่พักในสำนักให้เร็วที่สุด
……
ในเวลาเดียวกันหน้าถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงที่ยอดเขาลั่วโยวในนิกายยอดบริสุทธิ์ เงาแผ่นหลังอ้อนแอ้นในชุดกระโปรงสีเขียวหยกร่างหนึ่งก็กำลังเดินกลับไปมาอยู่หน้าประตูถ้ำที่พัก
เมื่อเจ้าของเงาแผ่นหลังหันร่างกลับมาก็เผยใบหน้างามล้ำดวงหนึ่ง สตรีผู้นี้ก็คือเจียหลานนั่นเอง
ครึ่งปีไม่พบหน้า สตรีผู้นี้ยังคงสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม แต่ตรงหว่างคิ้วคล้ายจะมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา
ความกังวล ความเหงาหรือว่าความคาดหวังหน่อยๆ?
เจียหลานยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็ถอยหายใจแผ่วเบา มือทำท่าเคล็ดวิชาทำให้รอบร่างเกิดรอยกระเพื่อมจางๆ จากนั้นร่างกายก็พร่าเลือนกลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งลอยล่องจากไปไกล
……
หลายเดือนให้หลังหลิ่วหมิงเพิ่งเดินทางจากดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือกลับมาถึงภาคกลางของแผ่นดินจงเทียน จากนั้นตรงดิ่งไปยังเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
ระหว่างทางเขาเปลี่ยนโฉมหน้าหลายครั้ง แล้วยังถือโอกาสไปตลาดที่ลอบจดจำไว้ครั้นเดินทางเมื่อครั้งก่อนอีกหลายแห่งเพื่อขายโอสถ ยันต์และอาวุธเวทที่ไม่สะดุดตานักจำนวนหนึ่งซึ่งได้มาจากคนของนิกายหยกทองทั้งสองคน ถึงจะเป็นแค่ของเล็กน้อยแต่รวมกันแล้วก็ขายได้หินจิตวิญญาณมหาศาลหลายสิบล้านก้อน
แน่นอนเขายังซื้อหาวัตถุดิบจำเป็นที่เหลือจำนวนหนึ่งมาจากตลาดเหล่านี้ด้วย
เมื่อหลิ่วหมิงกลับมาถึงถ้ำที่พักก็ตรงไปยังห้องศิลาที่เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์อยู่ทันที
เขาออกไปข้างนอกเพื่อตามหาอสูรแห่งความว่างเปล่าเกือบหนึ่งปี ไม่รู้ว่าสภาพของอสูรเลี้ยงสองตัวนี้ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ผลปรากฏว่าเขาเพิ่งเหยียบเข้ามาในห้องศิลาก็พบก้อนปราณทรงกลมสีดำขลับสองก้อนลอยอยู่กลางอากาศ ด้านในมีแมงป่องกระดูกสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่งกับศีรษะบุรุษที่มีเส้นผมสีเขียวเต็มหัวศีรษะหนึ่งอยู่
เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์นั่นเอง!
แต่เวลานี้ทั้งสองกลับคืนรูปลักษณ์ที่แท้จริง บนร่างมีพลังหยินปริมาณมากล้อมอยู่
“นายท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์คล้ายสัมผัสได้ถึงการมาของหลิ่วหมิงจึงตื่นจากสภาวะฝึกฝนในทันใด พวกมันส่ายร่างทีหนึ่งก็กลายเป็นสาวน้อยชุดตาข่ายดำกับเด็กน้อยชุดเขียวพากันคำนับหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อมทันที
“ข้าเพิ่งกลับมาอยากดูสภาพของพวกเจ้าสักหน่อย ตอนนี้ดูท่าอาการบาดเจ็บของพวกเจ้าคงไม่เป็นไรมากแล้ว” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ พลางโบกมือให้ทั้งสองคนลุกขึ้น
อสูรเลี้ยงสองตัวนี้กินโอสถจิตวิญญาณจำนวนมากที่เขาทิ้งไว้ให้เข้าไป ยามนี้อาการบาดเจ็บบนร่างจึงหายดีดังเดิมแล้ว อีกทั้งพลังยังเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยด้วย
หลิ่วหมิงคุยกับอสูรเลี้ยงทั้งสองตัวสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เขาก็สั่งให้ทั้งสองตัวสงบใจฝึกฝนต่อ ส่วนเขาหมุนตัวเข้าไปในห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนกรนคร่อกๆ
การออกไปข้างนอกครั้งนี้แม้มีเรื่องไม่คาดฝันอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็รวบรวมวัตถุดิบที่จำเป็นในการหลอมฝักกระบี่ได้ครบ กระนั้นการระหกระเหินเดินทางไกลเช่นนี้ย่อมทำให้กายใจเหนื่อยล้า คาดว่าไม่พักสามวันห้าวันคงไม่มีทางฟื้นกลับไปมีสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดดังเดิมได้