ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 855
เวทีเสวียนหยวนที่ยามปกติครึกครื้น ยามนี้กลับมีคนยืนอยู่ที่ขอบเวทีศิลาเพียงสามคนได้แก่หัวหน้าตระกูลโอวหยาง โอวหยางซินและหลงเซวียนจากนิกายปีศาจลี้ลับ
โอวหยางซินกำลังเอ่ยอะไรเสียงเบากับหัวหน้าตระกูลโอวหยาง ส่วนหลงเซวียนสีหน้าดังเช่นปกติยืนอยู่ด้านข้างอย่างนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา
เวลานี้เองปากทางเข้าหุบเขาก็มีลำแสงสีม่วงเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น มันกระพริบวูบวาบไม่กี่หนก็หยุดอยู่บนเวที
หลังแสงสีม่วงดับลงก็เผยให้เห็นบุรุษเคราเฟิ้มอาภรณ์สีม่วงผู้หนึ่ง โอวหยางอิงนั่นเอง
“คารวะหัวหน้าตระกูล!” โอวหยางอิงเพิ่งยืนมั่นคงก็ประสานมือเอ่ยเสียงกังวานกับหัวหน้าตระกูลโอวหยาง
“คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสอิงจะเลิกเก็บตัวแล้ว หากจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสอิงกำลังทะลวงระดับพลังอยู่กระมัง” โอวหยางซินที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ลำบากผู้อาวุโสซินให้เป็นห่วงแล้ว หลายวันก่อนได้ยินว่ามีคนถือตราของข้าเดินทางมาเยี่ยมเยือนเทือกเขาหยกฝัน ข้าจึงได้แต่เลิกเก็บตัวก่อนเวลา” โอวหยางอิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
โอวหยางซินได้ยิน ดวงตาก็ฉายแววตามีเลศนัยเล็กน้อยแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
ปกติการตอนรับคนนอกที่มาเยือนตระกูลโอวหยาง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้อาวุโสซินที่ออกหน้าจัดการ
เพราะเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับนิกายปีศาจลี้ลับ เขาจึงอาศัยช่วงที่อีกฝ่ายเก็บตัว จงใจปิดบังข่าวที่หลิ่วหมิงเดินทางมายืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ไว้ ดังนั้นแม้หลิ่วหมิงจะมาถึงหลายวันแล้ว แต่นอกจากหัวหน้าตระกูลกับผู้อาวุโสที่ดูแลไม่กี่คน ในตระกูลก็ไม่มีใครรู้สักเท่าไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอวหยางอิง โอวหยางซินสั่งศิษย์ในสังกัดอย่างเด็ดขาดว่าจำต้องปิดบังข่าวนี้จากเขาให้ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ตรงนี้ก็เห็นชัดว่ามีคนแจ้งข่าวกับเขาแล้วสินะ?
“ผู้นี้คงเป็นศิษย์หลานหลงจากนิกายปีศาจลี้ลับกระมัง?” โอวหยางอิงเคลื่อนสายตามาจับบนร่างหลงเซวียนแล้วหยุดบนเส้นผมสีเขียวบนศีรษะเขาชั่วครู่เป็นพิเศษ จากนั้นจึงหรี่ตาสองข้างลงพลางเอ่ยถามขึ้นมา
“หลงเซวียนคารวะผู้อาวุโสอิง” หลงเซวียนเก็บท่าทีหยิ่งทะนงไปแล้วประสานมือคำนับ
“จะว่าไปแล้ว หลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ผู้นั้นเหตุใดยังไม่มา ให้พวกเราตั้งหลายคนรอคนรุ่นหลังอย่างเขาคนเดียว ไม่เข้าท่าจริงๆ” โอวหยางซินมองหัวหน้าตระกูลโอวหยางเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนาแล้วเอ่ยขึ้นมา
“ผู้อาวุโสซินโปรดอย่าใจร้อน ยังไม่ถึงเวลาเที่ยงวัน…ท่านดู พวกเขามาแล้วไม่ใช่หรือ?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน สายตาทอดมองไปทางปากทางเข้าหุบเขา แล้วทันใดนั้นก็ยื่นมือชี้พร้อมเอ่ยขึ้นมา
บนท้องนภาเหนือปากทางเข้าหุบเขาเมฆดำแถบหนึ่งลอยมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก บนก้อนเมฆมีชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาก็คือหลิ่วหมิง
หลังร่างเขายังมีแสงสองดวงเคลื่อนตามติดมาด้วย โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินสองคนนั่นเอง
หลังผ่านไปสองสามลมหายใจทั้งสามคนก็ร่อนลงบนเวที
“หลิ่วหมิงคารวะผู้อาวุโสทั้งสาม” ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงเห็นคนทั้งหลายบนเวทีแต่ไกลแล้ว แม้ไม่รู้จักบุรุษเคราเฟิ้มผู้นั้น แต่เขาก็ยังค้อมกายเล็กน้อยให้ทั้งสามคน จากนั้นกวาดสายตาไปทางหลงเซวียนด้านข้าง
โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวคำนับหัวหน้าตระกูลโอวหยางกับผู้อาวุโสทั้งสองครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ไม่สนใจไยดีหลงเซวียนที่อยู่ด้านข้าง พวกนางมองเมินเหมือนไม่เห็นแล้วไปยืนอีกด้านหนึ่ง
หลงเซวียนเห็นโอวหยางเชี่ยน โอวหยางฉินกับหลิ่วหมิงมาด้วยกัน แววตาเหี้ยมเกรียมก็ปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้าง เขาก็ไม่เป็นฝ่ายเอ่ยอันใดขึ้นมาเช่นเดียวกัน
“แม้ยังไม่ถึงเที่ยงวัน แต่ในเมื่อศิษย์หลานทั้งสองมาถึงแล้ว เริ่มการประลองเร็วหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง ข้าห้ามศิษย์ในตระกูลไม่ให้เข้ามาในที่แห่งนี้แล้ว ศิษย์หลานทั้งสองไม่ต้องพะวงสิ่งใด ใช้พลังได้เต็มที่ การประลองครั้งนี้ให้ผู้อาวุโสอิงเป็นกรรมการก็แล้วกัน” หัวหน้าตระกูลโอวหยางหัวเราะแล้วมองบุรุษเคราเฟิ้มที่ยืนอยู่ข้างกาย
“อะไรกัน คนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสอิงหรือ? ผู้อาวุโสตระกูลโอวหยางคนนั้นที่เดิมทีอินจิ่วหลิงให้เขามาหา!” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมตะลึงจนอดไม่ได้มองบุรุษเคราเฟิ้มหนหนึ่ง
ชายวัยกลางคนชุดม่วงได้ยินก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
บุรุษเคราเฟิ้มตอบรับจากนั้นทะยานร่างเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือเวที
หลิ่วหมิงกับหลงเซวียนสบตากันทีหนึ่ง จุดที่สายตาประสานกันราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน จากนั้นทั้งสองก็ทะยานร่างขึ้นฟ้าพร้อมกัน ร่อนลงใจกลางเวทีแทบจะในเวลาเดียวกันแล้วยืนประจันหน้ากัน
“การประลองครั้งนี้ข้าเป็นกรรรมการ ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ผู้ชนะจะได้ใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ของตระกูลโอวหยางเราหนึ่งครั้งและรับปากว่าจะทำงานใหญ่ชิ้นหนึ่งของตระกูลโอวหยางเราให้บรรลุ พวกเจ้าสองคนหากมีผู้ไม่ยินยอม ตอนนี้ก็ถอนตัวไปเสีย” โอวหยางอิงเอ่ยข้อตกลงช้าๆ รอบหนึ่ง พร้อมกันนั้นสายตาก็กวาดบนร่างทั้งสองคนด้านล่าง
ถึงเวลานี้หลิ่วหมิงย่อมไม่เอ่ยปากถอนตัว เขาเพียงยิ้มน้อยๆ ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
ส่วนหลงเซวียนฝั่งตรงข้ามจ้องหลิ่วหมิงเขม็งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ดีมาก! แต่ทั้งสองท่านล้วนไม่ใช่ศิษย์ตระกูลโอวหยางของเรา ดังนั้นยามประลองขอให้ประลองแต่สมควร อย่าลงมือสังหาร มิเช่นนั้นข้าจะบังคับหยุดการประลอง ประกาศให้ฝ่ายที่ฝ่าฝืนกฎแพ้” โอวหยางอิงเห็นทั้งสองคนล้วนไม่เอ่ยวาจาจึงเอ่ยขึ้นเสียงเคร่ง
“ได้”
“ไม่มีปัญหา”
ครั้งนี้หลิ่วหมิงกับหลงเซวียนล้วนพยักหน้า
“ดีมาก การประลองเริ่มขึ้น ณ บัดนี้”
โอวหยางอิงเอ่ยขึ้นแล้วสะบัดมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา ทันใดนั้นยันต์สีน้ำเงินนับไม่ถ้วนก็รุมล้อมบนเวทีเสวียนหยวนจากนั้นกลายเป็นม่านแสงครึ่งวงกลมสีน้ำเงินอ่อนชั้นหนึ่งกลางอากาศ กักพวกหลิ่วหมิงสองคนไว้ตรงกลาง
“หลิ่วหมิง อย่าคิดว่าได้อันดับหนึ่งจากงานประตูสวรรค์แล้วตนเองจะเยี่ยมยอดนัก วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจว่ามีเพียงข้าหลงเซวียนถึงจะเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ของสี่ยอดนิกายใหญ่” หลงเซวียนเห็นเช่นนี้ ในดวงตาพลันทอประกายเย็นเยียบแล้วเอ่ยขึ้น
เพิ่งเอ่ยจบ เขาก็ท่องมนตร์อย่างเร็วไว เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นทีหนึ่ง บนร่างเขาก็มีเปลวเพลิงสีเขียวลุกโชน
แม้หลิ่วหมิงยืนอยู่ห่างหลายสิบจั้งก็ยังสัมผัสได้ถึงสายลมร้อนผ่าวสายหนึ่งที่ถาโถมเข้ามาใส่ใบหน้า ในใจจึงพรั่นพรึงเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา ปราณดำบนร่างทะลักออกมา พร้อมกับที่เคล็ดวิชาในมือเขาพร่าเลือนไป เงามังกรสีดำประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่า ร้องคำถามถาโถมออกมาทันที
หลงเซวียนฝั่งตรงข้ามเห็นเช่นนี้ก็ยกมือขึ้น อสรพิษประหลาดสีเขียวยาวหลายจั้งตัวหนึ่งทะลวงออกมาจากในแขนเสื้อแล้วพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม
อสรพิษประหลาดแยกเขี้ยว เกล็ดบนร่างอสรพิษถูกเปลวเพลิงสีเขียวลุกไหม้หุ้มไว้ มันอ้าปากส่งเสียงดังฟ่อๆ ออกมา
เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง
หนึ่งมังกรหนึ่งอสรพิษปะทะกันกลางอากาศ หากพูดถึงแค่ขนาด เงามังกรสีดำเห็นชัดว่าใหญ่กว่าเท่าหนึ่ง แต่ครู่ต่อมาเสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้น จากนั้นเงาสองร่างก็ระเบิดพร้อมกันกลายเป็นปราณสีดำกับเพลิงสีเขียวเต็มฟ้าแผ่ขยายไปสี่ด้านแปดทิศ
ทั้งสองพลังสูสีทัดเทียม!
นี่ทำให้ม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็กลงเล็กน้อย
“วิชาที่ศิษย์หลานหลิ่วฝึกฝนคือวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬวิชาสายวิญญาณของศิษย์สายในนิกายยอดบริสุทธิ์ เมื่อครู่ทั้งสองประมือกันด้วยสัตว์จำแลงจากพลังเวท เห็นชัดว่าพลังเวทของศิษย์หลานหลิ่วบริสุทธิ์กว่าอยู่บ้าง พลังก็เหนือกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง แต่ดันกลายเป็นเสมอเสียได้ น่าสนใจทีเดียว” หัวหน้าตระกูลโอวหยางที่อยู่นอกเวทีมองเห็นภาพนี้ บนใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา
โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินด้านข้างฟังแล้วก็อดไม่ได้สบตากันทีหนึ่ง จากนั้นเผยสีหน้ากังวลออกมาเล็กน้อยมรกต
“ผู้อาวุโสซิน ได้ยินว่าหลงเซวียนเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์หัวกะทิรุ่นนี้ของนิกายปีศาจลี้ลับ ไม่ทราบท่านมองออกหรือไม่ว่าวิชาที่เด็กคนนี้ใช้ตอนนี้เป็นวิชามารเพลิงมรกตชนิดใด?” ทันใดนั้นบุรุษผู้สง่างามก็หันหน้าไปมองโอวหยางซินแล้วเอ่ยถามนิ่งๆ ด้วยท่าทางสบายๆ
“โปรดอภัยที่ข้าตาไม่มีแววจึงมองไม่ออก แต่ได้ยินว่าหลังจากงานประตูสวรรค์หลงเซวียนฝึกฝนพลังใหม่ที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่งได้ คิดว่าคงเป็นวิชานี้” โอวหยางซินลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น
บุรุษผู้สง่างามยิ้มเล็กน้อย ลึกลงไปในดวงตาประกายแสงปรากฏขึ้นเลือนราง แต่ไม่ถามอันใดเพิ่มอีก
โอวหยางเชี่ยนเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นริมฝีปากงามก็เผยอขึ้นเหมือนจะเอ่ยวาจา แต่โอวหยางฉินที่อยู่ด้านข้างดึงแขนเสื้อนางเบาๆ พลางส่ายศีรษะนิดๆ จนแทบมองไม่เห็น
โอวหยางเชี่ยนกัดริมฝีปากเบาๆ แล้วเงียบไปเช่นกัน
สายตาของทั้งสามคนรวมอยู่บนเวทีอีกหน
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง
หลิ่วหมิงสะบัดมือข้างหนึ่ง ปราณดำที่สลายไปสายแล้วสายเล่าก็ม้วนตัวกลับมาทันที พวกมันรวมตัวกันใหม่อยู่ข้างกายเขาแล้วลอยละล่องเคลื่อนไหวเองไม่หยุด
“หลิ่วหมิง ในเมื่อเจ้าสังหารเผ่าประหลาดระดับแก่นแท้ในดินแดนแห่งมรดกของงานประตูสวรรค์ได้ก็คงไม่ได้มีความสามารถเท่านี้กระมัง ถ้ามีอย่างอื่นก็รีบแสดงออกมาเสียตอนนี้เถอะ ไม่เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวเกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยจริงๆ แล้ว!” หลงเซวียนคำรามหัวเราะลั่น จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตั้งท่าเคล็ดวิชา เปลวเพลิงสีเขียวบนร่างยิ่งสั่งสมยิ่งมากจนแทบจะกลบร่างกายของเขาไว้ด้านในจนมิด
ทันใดนั้นสองมือของหลงเซวียนก็บิดยืดไปด้านหน้า เสียง “ฟู่ๆ” ดังออกมา อสรพิษเปลวเพลิงสีเขียวเหมือนเมื่อครู่ทุกประการบินออกมาจากกลางเปลวไฟสีเขียวแล้วโถมเข้าใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว ปราณดำบนร่างเข้มข้นขึ้นในทันที
อสรพิษประหลาดสองตัวพาเสียงลมหวีดหวิวพุ่งตัดผ่านกันทีหนึ่งแล้วทะลุผ่านร่างหลิ่วหมิงไป แต่ร่างกายของเขากลับส่งเสียงดัง “ปัง” แล้วแตกกระจาย นี่เป็นเพียงเงาร่างหนึ่งเท่านั้น
ต่อจากนั้นไม่ไกลออกไปด้านหน้าก็มีคลื่นไหวกระเพื่อม ร่างต้นของหลิ่วหมิงปรากฏตัวออกมา เขาไม่พูดพร่ำก็สะบัดแขน หมัดที่มีปราณดำพันรอบหมัดหนึ่งต่อยออกมากลางอากาศส่งเสียงดังสนั่น
เสียงพยัคฆ์คำรามดังกึกก้อง!
เงาหมัดหัวพยัคฆ์สีดำสนิทประหนึ่งมีชีวิตข้างหนึ่งลอยออกมาแล้วกระแทกเข้าใส่หลงเซวียนประหนึ่งดาวตกพร้อมเสียงคำราม
พลังอันแข็งแกร่งที่แฝงมาบนเงาหมัดพุ่งแหวกอากาศจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น
หลงเซวียนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาตกตะลึงกับพลังกายเนื้ออันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงอยู่บ้าง แต่เพียงครู่เดียวสองมือก็ทำท่าเคล็ดวิชาหลายท่าอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงสีเขียวก่อตัวเพียงชั่วครู่ก็กลายเป็นดอกบัวสีเขียวดอกหนึ่งผลิดอกแล้วแย้มกลีบบานเบื้องหน้าเขาอย่างเร็วไว
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
กลีบดอกสีเขียวขนาดมหึมาต้านเงาหมัดสีดำสนิทไว้ กลีบดอกไม้เอนไปด้านหน้าเหมือนจะหุ้มหมัดนี้เข้าไป
ตามติดต่อจากนั้นดอกบัวสีเขียวก็พลันกลายเป็นเปลวเพลิงสีเขียวดวงหนึ่ง เสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังลั่น เพียงครู่เดียวเงาหมัดหัวพยัคฆ์ก็ไหม้เป็นขี้เถ้า
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ก็คิ้วขมวดเล็กน้อย
ชะงักไปเพียงครู่เดียว อสรพิษประหลาดที่มีไฟสีเขียวลุกท่วมสองตัวซึ่งเขาสลัดทิ้งไว้หลังร่างก็ย้อนกลับมา โถมเข้าใส่แผ่นหลังของเขาอย่างรวดเร็วกว่าเดิม
หลิ่วหมิงแค่นเสียงคำหนึ่งแล้วพลิกมือ โจมตีสองฝ่ามือใส่อากาศ
เสียงระเบิดดังแสบแก้วหู เงาฝ่ามือสีดำสองข้างลอยออกมา!
เห็นชัดว่าพลังป้องกันของอสรพิษเพลิงเขียวสู้ดอกบัวที่หลงเซวียนเสกออกมาเมื่อครู่ไม่ได้ เสียงครวญคราญดังขึ้นจากนั้นพวกมันก็ถูกโจมตีกระจุยกลายเป็นดาวตกดวงไฟสีเขียวลอยกระจายออกไป
ในเวลานี้เองร่างกายของหลงเซวียนก็ถูกเปลวเพลิงโหมกระหน่ำสีเขียวห่อหุ้มไว้ เสียงหัวเราะลั่นได้ใจของหลงเซวียนดังออกมาจากใจกลางเปลวเพลิง เสียงราวกับกำลังจะบ้าคลั่ง
“เอาล่ะ! หลิ่วหมิงเจ้ายอมแพ้ได้แล้ว อยู่ต่อหน้าเทพชิงหยาง เจ้าไม่มีโอกาสใดๆ อีกแล้ว!”
สิ้นเสียง เปลวเพลิงสีเขียวก็ลุกไหม้รุนแรงขึ้นกว่าเดิมแล้วเผยเงาของหลงเซวียนออกมา
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ร่างกายเขาขยายขึ้นเกือบหนึ่งเท่าจนกลายเป็นยักษ์สูงสามจั้งกว่าตนหนึ่ง นอกจากนี้บนร่างกายส่วนที่โผล่พ้นเสื้อผ้ายังปรากฏลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวประหลาดเหมือนไส้เดือนตัวแล้วตัวเล่า
นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุด บนแผ่นหลังของหลงเซวียนยังมีเปลวเพลิงสีเขียวโหมกระหน่ำก่อตัวกลายเป็นยักษ์สีเขียวสูงสิบกว่าจั้งตนหนึ่ง ใบหน้ามันพร่ามัวไม่ชัด แต่เห็นว่าบนศีรษะมีเขายาวโง้งคู่หนึ่ง ร่างกายสวมชุดเกราะ ขณะที่แขนกำยำหกข้างถืออาวุธต่างๆ นานาเช่นดาบ กระบี่ โล่
ไอปีศาจเข้มข้นสายหนึ่งแผ่ขยายไปสี่ด้านแปดทิศโดยมีมันเป็นศูนย์กลาง ราวกับว่าราชามารปรากฏกายขึ้นบนโลก