ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 860
ความเจ็บปวดสาหัสส่งมาจากหน้าอก หลิ่วหมิงอ้าปากกว้างรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
“เจ้าหนู ข้าคือเตาปาหลงแห่งเกาะมฤตยู คืนวันนี้ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเอาเจ้าเป็นอาหารมื้อค่ำ ข้าไม่ได้ลิ้มรสเนื้อมานานนักแล้ว!” ใบหน้าอัปลักษณ์ดุร้ายยื่นเข้ามาตรงหน้าหลิ่วหมิง อวัยวะทั้งห้าบนหน้าบิดเบี้ยว ปากก็เหมือนกำลังกลืนน้ำลายที่ไหลออกมาอยู่
“อาเฉียน!”
ร่างกายของหลิ่วหมิงสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง บุรุษผู้มีรอยแผลเป็นจากดาบเต็มหน้าที่กำลังจะกินเขาผู้นี้ตรงหน้าก็คืออาเฉียนที่คอยดูแลเขาอย่างดีผู้นั้น แล้วเขายังเป็นความอบอุ่นเพียงน้อยนิดที่เขาได้สัมผัสในช่วงเวลาหลายปีบนเกาะมฤตยูด้วย
“อาเฉียนอะไร ข้าคือเตาปาหลง!” อาเฉียนมองหลิ่วหมิงอย่างเย็นชา เท้าออกแรงเหยียบลงมาหลายครั้ง
เสียงกึกดังขึ้น หลิ่วหมิงรู้สึกได้ว่ากระดูกซี่โครงของเขาหักไปซี่หนึ่ง
ความเจ็บปวดดั่งถูกทิ่มแทงหัวใจเกิดขึ้นทันที ทำให้เขาหวิดจะหมดสติไป
“ไม่ ไม่ใช่แบบนี้…” ร่างกายผอมแกร็นของหลิ่วหมิงดิ้นรนหมายจะดิ้นหลุดออกไปจากเท้าใหญ่ที่เหยียบหน้าอกของเขาอยู่
ความทรงจำน่าหวาดกลัวต่างๆ นานาบนเกาะมฤตยูฉายชัดขึ้นในสมองเขาอีกครั้ง ทว่าความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวกลับกลายเป็นจิตสังหารอันเลือดเย็น
หลิ่วหมิงอยากจะกุมหัวร่ำไห้คร่ำครวญเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งผู้ไร้กำลังและเดียวดาย
ในเวลานี้เองอาเฉียนก็หยิบมีดแหลมเล่มหนึ่งมาจากมือคนผู้หนึ่งด้านข้าง เขาถือมันไว้ในมือแกว่งจนเกิดประกายเป็นรูปบุปผา จากนั้นประกายเย็นเยียบก็พุ่งวูบ มีดแหลมแทงเข้าที่หน้าอกของหลิ่วหมิงดุจสายฟ้าแลบ
“อ้าก!”
ร่างกายของหลิ่วหมิงฉับพลันมีพละกำลังสายหนึ่งผุดขึ้นมา ร่างกายเขาสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เขาจับเท้าใหญ่ที่เหยียบอยู่บนอกของเขาแล้วออกแรงผลัก
อาเฉียนล้มลงไป ส่วนมีดแหลมในมือก็ร่วงไปด้านข้างดัง “เคร้ง”
หลิ่วหมิงคำรามเสียงดังแล้วแย่งมีดแหลมเล่มหนึ่งมา เขากัดฟันกรอด กระดูกทั้งร่างพากันส่งเสียงดัง จากนั้นขยับมีดแทงเข้าไปในร่างอาเฉียนอย่างแรง ปลายมีดทะลุผ่านหัวใจ
อาเฉียนกรีดร้องออกมาจากนั้นกลายเป็นควันดำสายหนึ่ง ภาพเกาะมฤตยูรอบด้านก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฟ้าดินพลิกตลบรอบหนึ่ง หลิ่วหมิงหอบหายใจหนักหน่วง ดวงตาทอประกายแล้วก็พบว่าเขากลับมาถึงห้องศิลาที่ตำหนักหลิงหลงของตระกูลโอวหยางอีกครั้งแล้ว รอบด้านยังคงเป็นโลกของแสงสีน้ำเงิน แต่ท่ามกลางแสงสีน้ำเงินมียันต์สีน้ำเงินมากมายกำลังบินร่อนกลางอากาศเข้าๆ ออกๆ ร่างกายเขาไม่หยุด
พลังงานเย็นสบายสายแล้วสายเล่าส่งเข้ามาในร่างเขาไม่หยุด
อาการหอบของหลิ่วหมิงค่อยๆ สงบลง ประกายแสงที่โชนฉายออกมาจากดวงตายิ่งสว่างขึ้นทุกที ชั่วครู่ให้หลังเขาจึงแหงนหน้าหัวเราะลั่นออกมากะทันหัน
ตอนนี้ภาพมายาของจิตมารระหว่างการทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน ในที่สุดก็ถูกเขาทำลายจนหมดสิ้นแล้ว!
เวลานี้กำแพงระดับสีดำในทะเลจิตวิญญาณก็หายไปไร้ร่องรอยแล้วเช่นกัน พลังเวทไหลบ่าทะลักเข้ามาใจกลางทะเลจิตวิญญาณไม่ขาดประหนึ่งน้ำผุด วังวนพลังเวทสีดำสนิทปรากฏขึ้นกลางทะเลจิตวิญญาณ
ผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดที่ลอยอยู่ในทะเลจิตวิญญาณแผ่คลื่นพลังเวทรุนแรงระลอกแล้วระลอกเล่าออกมา
ผลึกสีเงินเก้าลูก ผลึกสีม่วงหนึ่งร้อยสี่สิบสี่ลูกทยอยเปล่งแสงรัศมีเจิดจ้าออกมา!
ในเวลาเดียวกันนี้ผลึกพลังเวททั้งหมดก็ถูกพลังล่องหนสายหนึ่งดึงรั้งให้ค่อยๆ รวมตัวตรงกลางช้าๆ!
สองตาของหลิ่วหมิงปิดสนิท สองมือทำท่ามืออันลึกลับท่าแล้วท่าเล่าไม่หยุด
เวลาผ่านไปทีละเล็กทีละน้อย ผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณในที่สุดก็รวมตัวเข้าด้วยกัน ก่อกำเนิดเป็นรูปทรงกลมที่ส่องแสงสีม่วงแวววาวทั้งลูกลูกหนึ่งอยู่เลือนราง
ตรงกลางลูกกลมนี้มีลักษณะกลวงเปล่า ที่เรียกว่าระดับแก่นเสมือนก็เพราะเป็นการรวมผลึกพลังเวททั้งหมดในร่างกลายเป็นก้อนเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการเข้าสู่ระดับแก่นแท้ ยิ่งผลึกมาก ลูกกลมที่ก่อตัวขึ้นมาก็ยิ่งแข็งแกร่ง ท้ายที่สุดเมื่อทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นแท้ โอกาสสำเร็จก็ยิ่งมากด้วย
ใจกลางลูกกลมมีประกายสายฟ้าสีทองอยู่ดวงหนึ่ง นั่นคือสายฟ้าสวรรค์ที่หลิ่วหมิงผนึกไว้ในทะเลจิตวิญญาณตอนที่อยู่ในหนานฮวงเมื่อหลายปีก่อน
ประกายสายฟ้าที่ปะทุออกมาจากสายฟ้าสีทองโจมตีบนผลึกพลังเวทแผ่วเบา ทำให้ผลึกพลังเวทสีม่วงค่อยๆ ถูกแสงสีทองเจิดจ้าสายแล้วสายเล่าย้อม
ปราณดำที่ห้อมล้อมอยู่บนร่างเขาทะลักออกมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย พวกมันล้อมร่างกายของเขาจนกลายเป็นลูกบอลหมอกสีดำลูกหนึ่ง ล้อมร่างกายเขาไว้ด้านในอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป ลูกบอลหมอกสีดำนอกร่างหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ปั่นป่วน ปริมาณไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่สีสันกลับเข้มข้นประหนึ่งหมึก อยู่ท่ามกลางแสงสีน้ำเงินแสบตาเต็มห้องแลดูสะดุดตายิ่งนัก
ในเวลาเดียวกันนี้ในห้องแห่งหนึ่งชั้นบนสุดของตำหนักหลิงหลง บุรุษชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งกับบุรุษชุดสีม่วงคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ โต๊ะไม้จันทน์ตัวหนึ่งเบื้องหน้าทั้งคู่วางกระจกทองแดงสีเหลืองมัวบานหนึ่งไว้
กระจกทองแดงรูปร่างดุจจันทร์เต็มดวง ด้านข้างเป็นโลหะสำริดแกะสลัก ด้านบนสลักมังกร ด้านล่างสลักพยัคฆ์ กระจกตรงกลางกลับไม่ใช่กระจกทองแดงธรรมดา ด้านในฉายภาพลูกบอลหมอกสีดำสนิทลูกหนึ่ง เป็นภาพหลิ่วหมิงที่อยู่ในห้องศิลานั่นเอง
หนึ่งในสองคนนั้นสวมชุดสีม่วงตัวใหญ่ ท่าทางสง่างามประหนึ่งหยก เขาก็คือโอวหยางเจี้ยนชิวหัวหน้าตระกูลโอวหยาง
ส่วนอีกคนที่สวมชุดสีน้ำเงิน เส้นผมหนวดเคราสีขาวโพลนก็คือผู้อาวุโสโอวหยางชิงเฟิงผู้พิทักษ์ตำหนักหลิงหลง
“นี่เพิ่งผ่านไปสองวันหนึ่งคืน เด็กคนนี้ก็ผ่านด่านเคราะห์จิตมารแล้ว เด็กคนนี้พรสวรรค์ไม่เลวจริงๆ” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินมองภาพในกระจกทองแดงแล้วจิ๊ปากชื่นชมในความยอดเยี่ยม
“เด็กคนนี้คว้าที่หนึ่งในงานประตูสวรรค์มาได้ พรสวรรค์ย่อมไม่ด้อย แต่ชั้นเชิงวิชาของเขาร้ายกาจจริงๆ หลงเซวียนผู้นั้นแห่งนิกายปีศาจลี้ลับฝึกฝนวิชาวิญญาณมารชิงหยางสำเร็จ ผลสุดท้ายประมือกับเขาครั้งหนึ่งสู้ได้ไม่กี่กระบวนก็พ่ายแพ้แล้ว” หัวหน้าตระกูลโอวหยางดวงตาเป็นประกายเล็กน้อยขณะที่ปากเอื้อนเอ่ย
“อ้อ? คิดไม่ถึงว่านอกจากมารเฒ่าเฮ่าคนนั้น นิกายปีศาจลี้ลับจะมีคนฝึกฝนวิชามารวิชานี้สำเร็จอีก ว่ากันว่าหลังฝึกวิชานี้สำเร็จ เรียกได้ว่าแทบจะไร้คู่ต่อกรในหมู่คนรุ่นเดียวกันแล้วแพ้ได้อย่างไร?” คิ้วขาวโพลนของผู้เฒ่าชุดน้ำเงินขยับครั้งสองครั้งจากนั้นเอ่ยถามเสียงเรียบอย่างรู้สึกสนใจ
“ที่จริงเดิมทีข้าก็คิดว่าหลิ่วหมิงผู้นี้จะแพ้ แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะอัญเชิญเงาเชอฮ่วนออกมาได้แล้วใช้พลังกลืนฟ้า ข่มเพลิงมรกตวิญญาณร้ายของวิชาวิญญาณมารชิงหยางอย่างสมบูรณ์” หัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“อสูรเชอฮ่วนหรือ!” ได้ยินคำนี้ ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินที่ท่าทางสบายๆ มาตลอดก็อดไม่ได้ตกตะลึง
“เด็กคนนี้ใช้วิชาลับพิเศษชนิดหนึ่งเรียกเงาเชอฮ่วนออกมา หากข้ามองไม่ผิดน่าจะเป็นวิชาลับภาพสัญลักษณ์บางอย่างของหนานฮวง” หลังหัวหน้าตระกูลโอวหยางครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยขึ้นช้าๆ
“หลิ่วหมิงคนนี้ที่ตัวมีวิชาลับไม่น้อย ดูท่านิกายยอดบริสุทธิ์จะมีเด็กมีแววขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว! ศิษย์อายุน้อยเหล่านั้นในตระกูลด้อยกว่าเขาอยู่ห่างไกลทีเดียว” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินถอนหายใจเอ่ยขึ้น
“แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนั้นก็มีหวังเพิ่มขึ้นไม่น้อยด้วย” หัวหน้าตระกูลโอวหยางได้ยินก็เงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเอ่ยออกมา
ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินลูบเครา สายตามองไปยังกระจกทองแดง
“เอ๋!”
บนหน้าผู้เฒ่าชุดน้ำเงินฉับพลันเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ในกระจกทองแดงลูกบอลหมอกสีดำสนิทนอกร่างหลิ่วหมิงมีประกายสีม่วงอ่อนหลายสายแกว่งไกวอยู่แผ่วเบา
“รวดเร็วเช่นนี้ผลึกพลังเวทก็รวมตัวกันสำเร็จแล้ว” คิ้วขาวของผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเลิกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
หัวหน้าตระกูลโอวหยางมองแสงสีม่วงที่แกว่งไกวแผ่วเบาอยู่ จากนั้นคิ้วก็ขมวดเล็กน้อยคล้ายขบคิดอะไรบางอย่าง
ในตอนนี้เองลูกบอลหมอกรอบร่างหลิ่วหมิงก็ส่งเสียงแผ่วเบาหลายครั้ง ปราณดำฉับพลันระเบิดออก
หลังจากนั้นท้องฟ้าเหนือตำหนักหลิงหลงก็มีพลังปราณแห่งฟ้าดินมารวมตัวกันก่อเกิดเป็นวังน้ำวนพลังปราณมหึมาลูกหนึ่ง เมฆมงคลสีขาว สีแดง สีเหลืองนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
ท่ามกลางเมฆมงคล มีจุดแสงสีขาวไม่น้อยพุ่งผ่านไปมาประหนึ่งมัจฉาแหวกว่าย จุดแสงสีขาวแต่ละจุดล้วนมีประกายแสงสีม่วงอ่อนสายแล้วสายเล่าลอยออกมาดั่งดวงดารายามค่ำคืน
พลังปราณแห่งฟ้าดินไหลวนบ้าคลั่งส่งเสียงครวญครางยาวดั่งมหาสมุทรกรีดร้อง พุ่งตรงขึ้นไปยังเก้าชั้นฟ้า
“ดาราฉายแสง เด็กคนนี้เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนกลับเกิดปรากฏการณ์ประหลาดที่ยามเข้าสู่ระดับแก่นแท้ถึงจะมี!” ในตำหนักหลิงหลง ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินร้องตกใจ บนใบหน้ารักษาความนิ่งสงบไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไป ยามสลายผลึกผนึกแก่นแท้อย่างแท้จริงจะชักนำพลังจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินให้เคลื่อนไหวจนเกิดปรากฏการณ์ประหลาดของดวงดาราตามแต่คุณสมบัติของแก่นแท้ที่ก่อตัวขึ้นมา
แต่หลิ่วหมิงเพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้แล้ว ไม่แปลกที่ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินจะตกตะลึงเช่นนี้
หัวหน้าตระกูลโอวหยางเห็นเช่นนี้ สองตาก็พลันสว่างวูบขึ้นเช่นเดียวกัน แต่เขายังคงรักษาสีหน้าไว้ได้ ประกายประหลาดในดวงตาไหววูบ ไม่รู้ใคร่ครวญอะไรอยู่
เนื่องจากปรากฏประหลาดขณะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนของหลิ่วหมิงใหญ่โตอย่างที่สุดจึงทำให้ศิษย์มากมายของตะรกูลโอวหยางพากันหยุดมือจากเรื่องที่ทำอยู่แล้วเดินออกมาด้านนอก หลังมองเห็นเมฆมงคลก้อนมหึมาบนท้องฟ้าก็พากันตาโตอ้าปากค้าง
“ตรงนั้นคือที่ตั้งตำหนักหลิงหลง เหมือนจะมีคนเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสำเร็จแล้ว”
“ดูเร็ว นี่…เหมือนจะเป็นปรากฏการณ์ประหลาดของดวงดารา!”
“นี่เป็นศิษย์พี่อัจฉริยะคนไหนในตระกูลหรือ?”
ศิษย์ตระกูลโอวหยางมากมายมองเห็นปรากฏการณ์ประหลาดนี้ล้วนอุทานตกตะลึง
ผู้อาวุโสระดับแก่นแท้จำนวนหนึ่งเห็นแสงดารากลางเมฆมงคล สีหน้ายิ่งตกตะลึง คนไม่น้อยทะยานร่างเหาะไปทางตำหนักหลิงหลง
หลังปรากฏการณ์ประหลาดบนฟ้าเหนือตำหนักหลิงหลงคงอยู่เป็นเวลาครึ่งก้านธูปเต็มๆ ในที่สุดก็ค่อยๆ สลายไป ทุกสิ่งฟื้นคืนกลับมาสงบอีกครั้งในทันที
บนหออันประณีตแห่งหนึ่งบนเขาหยกฝัน สตรีสาวชุดม่วงสองคนกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างมองไปยังตำหนักหลิงหลงที่อยู่ไกลๆ
โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินสองพี่น้องนั่นเอง
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่หลิ่วจะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้เร็วเช่นนี้ นอกจากนี้ปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินนี่คล้ายจะไม่เหมือนคนอื่นๆ อยู่บ้าง” โอวหยางเชี่ยนใบหน้าแฝงแววตกตะลึง เอ่ยพึมพำขึ้นมา
“สหายหลิ่วกระทำสิ่งใดล้วนไม่ธรรมดา ข้ากลับไม่ตกใจเท่าใดนัก แต่พี่สาวท่านใกล้จะฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์แบบของระดับผลึกขั้นปลายแล้ว จะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนก็แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่โอสถชำระวิญญาณเม็ดนั้นให้สหายหลิ่วไปแล้ว ถึงเวลาต้องคิดหาวิธีไปขอจากท่านลุงชิงเฟิงมาอีกเม็ดถึงจะได้” โอวหยางฉินสายตาวูบไหวแล้วเอ่ยเช่นนี้
“ระดับแก่นเสมือนทะลวงง่ายปานนั้นหรือ พี่หลิ่วอัจฉริยะเช่นนั้นก็น่าจะเตรียมปัจจัยภายนอกไว้ช่วยเหลือไม่น้อยถึงทะลวงสำเร็จ เรื่องนี้ค่อยๆ ใคร่ครวญทีหลังเถิด” โอวหยางเชี่ยนถอนหายใจอย่างหมดความสนใจอยู่บ้าง
ในสิ่งก่อสร้างอีกแห่งนึ่งบนเทือกเขาหยกฝัน โอวหยางซินมองเมฆมงคลที่ค่อยๆ จางหายไปกลางท้องฟ้าไกลลิบๆ จากนั้นในดวงตาก็ฉายแววเหี้ยมเกรียมนิดๆ ออกมาไม่ทราบว่าในใจคิดอะไรอยู่
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งเดือน
หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ข่าวคนนอกตระกูลทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนที่ตำหนักหลิงหลงค่อยๆ เล่าลือกระจายไปในหมู่ศิษย์ตระกูลโอวหยางบนเทือกเขาหยกฝัน ชื่อหลิ่งหมิงจึงเป็นที่รู้จักของศิษย์ตระกูลโอวหยาง
แต่หนึ่งเดือนมานี้หลิ่วหมิงยังคงทำให้พลังเสถียรอยู่ในตำหนักหลิงหลง ไม่ได้โผล่หน้าออกมาดังนั้นศิษย์ตระกูลโอวหยางส่วนใหญ่จึงรู้จักเพียงชื่อเขาแต่ไม่เคยพบตัวคน
วันนี้ประตูใหญ่ของห้องลับที่สร้างเข้าไปในตัวภูเขาของตำหนักหลิงหลงเปิดออกดังปัง บุรุษชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากด้านในช้าๆ เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง