ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 862
“บิดเบือนความทรงจำ…ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แต่ผู้อาวุโสชิงหลิงลำบากเสียแรงปิดบังสถานที่ซึ่งบิดาเจ้าไปเช่นนี้ น่าจะมีเหตุผลกระมัง?” หลิ่วหมิงได้ยิน สายตาก็ทอประกาย เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
“นั่นก็เพราะนายท่านกับท่านพ่อสัญญากันไว้ หากท่านพ่อตามหาของสิ่งหนึ่งให้นายท่าน นายท่านจะปลดสัญญาเลือดในร่างท่านแม่ของข้า ปล่อยพวกเขาออกจากทะเลทรายกุ่ยโม่ ยามนั้นนายท่านถูกขังอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้รั่วไหล ดังนั้นจึงบิดเบือนความทรงจำของคนเผ่าทรายทั้งหมดแล้วส่งบิดาของข้าออกไปเพียงคนเดียว แต่จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่กลับมา” ซาฉู่เอ๋อร์เห็นว่าหลิ่วหมิงไม่โกรธก็ลอบโล่งใจ ริมฝีปากงามอธิบายแผ่วเบาต่อ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แต่วันนี้ผู้อาวุโสชิงหลิงแก้วิชาลับบนร่างแม่นางซาแล้ว ดูท่าหลายปีนี้แม่นางซาคงจะได้รับความไว้วางใจจากผู้อาวุโสชิงหลิงยิ่งนัก น่ายินดีน่าฉลองจริงๆ” หลังจากหลิ่วหมิงเข้าใจเรื่องราวก็แย้มยิ้มเอ่ยขึ้นมาทันที
“นายท่านดีต่อข้ามากจริงๆ แต่น่าเสียดายข้าออกจากทะเลกุ่ยโม่มาหลายปี จนวันนี้ก็ยังหาร่องรอยของบิดาไม่พบแม้แต่น้อย วันนี้ลำบากนักกว่าจะมาถึงตระกูลโอวหยาง แต่ท่านก็เห็นแล้วว่าหัวหน้าตระกูลโอวหยางไม่ยอมพบหน้าข้าเลย” ซาฉู่เอ๋อร์สีหน้าหม่นหมอง ริมฝีปากสีผลอิงเถาขบเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ในเมื่อผู้อาวุโสชิงหลิงให้บิดาของเจ้าตามหาของสิ่งหนึ่งให้เขา บางทีอาจเริ่มจากตรงนี้ได้” หลิ่วหมิงดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยปากเตือนสติ
“นายท่านไม่บอกข้าว่าบิดากำลังตามหาสิ่งใด ดังนั้นจำต้องคิดหาวิธีอื่น หลายวันนี้ข้าอยู่ใกล้ๆ เขาหยกฝันจึงได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพี่หลิ่วมาไม่น้อย ในเมื่อพี่หลิ่วเป็นศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์ ไม่ทราบจะช่วยน้องสาวสืบข่าวร่องรอยของบิดาอีกแรงได้หรือไม่?” ดวงเนตรงามของซาฉู่เอ๋อร์มองมาหาหลิ่วหมิงด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวัง
“เรื่องนี้…” หลิ่วหมิงลังเลอยู่บ้าง
แม้ก่อนหน้านี้ในตำหนักใหญ่ของตระกูลโอวหยาง โอวหยางซินจะเอ่ยปากปฏิเสธว่าโอวหยางหมิงไม่ใช่คนตระกูลโอวหยาง แต่จากปฏิกิริยาของเขาก็เห็นชัดว่ากำลังพูดโกหก
เป็นไปได้เกินครึ่งว่าบิดาของซาฉู๋เอ๋อร์จะพัวพันกับความลับซ่อนเร้นของตระกูลโอวหยาง นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับขุยตี้แห่งหนานฮวงอีกย่อมยิ่งสลับซับซ้อน บุ่มบ่ามเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด
แต่ด้วยมิตรภาพระหว่างซาฉู่เอ๋อร์กับเขาในทะเลทรายกุ่ยโม่ จะให้เขาเอ่ยปากปฏิเสธอย่างเด็ดขาด หลิ่วหมิงก็เอ่ยปากไม่ออกอยู่บ้าง
ขณะที่หลิ่วหมิงลำบากใจอย่างยิ่งอยู่นั่นเอง ซาฉู่เอ๋อร์ก็ถอนหายใจแผ่วเบาเอ่ยต่อว่า
“ฉู่เอ๋อร์เข้าใจว่าเรื่องนี้ทำให้คนลำบากใจอยู่บ้าง แต่น้องไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ จึงขอความช่วยเหลือจากพี่หลิ่ว ขอเพียงได้เงื่อนงำของบิดาสักนิดจากตระกูลโอวหยางก็พอ หากพบสถานการณ์ที่ยากจะตัดสินใจ พี่หลิ่ววางมือได้ตลอดเวลา น้องจะยังคงซาบซึ้งอย่างยิ่ง”
“ในเมื่อแม่นางซาพูดถึงขั้นนี้ ผู้แซ่หลิ่วไม่ช่วยก็แลดูจะแล้งน้ำใจเกินไป ได้ ข้าจะช่วยแม่นางฉู่เอ๋อร์สืบข่าวสักหน่อยแล้วกัน!” หลิ่วหมิงเห็นสีหน้าหม่นหมองของซาฉู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้นึกถึงตอนที่ตนเองคิดถึงบิดาบนเกาะมฤตยู ใจอ่อนยวบทันที ท้ายที่สุดจึงหัวเราะฝืดเฝื่อนแล้วตัดสินใจ
“ดีเหลือเกิน พี่หลิ่วมีบุญคุณใหญ่หลวง น้องจะไม่มีวันลืม” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็ดีใจยิ่งนัก คำนับอย่างอ่อนช้อยทีหนึ่ง
ต่อจากนั้นซาฉู่เอ๋อร์ก็เล่าเรื่องราวหลังออกจากทะเลทรายกุ่ยโม่มาตามหาโอวหยางหมิงให้ฟังสั้นๆ รอบหนึ่ง
หลิ่วหมิงฟังจบก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“ในเมื่อบิดาของเจ้าเป็นศิษย์ตระกูลโอวหยางแน่นอน เรื่องนี้อย่างไรก็คงต้องเริ่มต้นจากตระกูลโอวหยาง เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะลองถามสหายตระกูลโอวหยางสองคนดูก่อน”
พูดแล้วหลิ่วหมิงก็พลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลสีขาวแผ่นหนึ่งออกมา จากนั้นยิงเคล็ดวิชาหลายสายลงบนนั้นอย่างเร็วไว
บนแผ่นค่ายกลสีขาวมีตัวอักษรน้อยแถวหนึ่งลอยขึ้นมา หลังแสงสีขาวสว่างวูบหนึ่งก็หายไปไม่เห็น
เยี่ยเฮ่าด้านหลังร่างเขาเห็นสิ่งนี้ในดวงตาก็ฉายแววสนใจเล็กน้อย แต่ยังคงนั่งเรียบร้อยอย่างยิ่งไม่ถามสิ่งใดทั้งสิ้น
“หรือนี่จะเป็นแผ่นค่ายกลส่งสารที่ผู้ฝึกฝนของแผ่นดินกลางมักใช้กัน?” ซาฉู่เอ๋อร์มองสำรวจแผ่นค่ายกลสีขาวในมือหลิ่วหมิงอย่างสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง
หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วอดไม่ได้ยกมุมปากขึ้นนิดๆ
ซาฉู่เอ๋อร์ใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่ตั้งแต่เล็ก นิสัยไร้เดียงสาตรงไปตรงมา มีชีวิตตัดขาดจากโลกภายนอก วันนี้พลังบรรลุระดับผลึกแล้วแต่เรื่องมากมายที่เป็นความรู้ทั่วไปในโลกแห่งการฝึกฝนล้วนไม่รู้ ขุยตี้แห่งหนานฮวงกล้าวางใจปล่อยนางออกมาคนเดียวแล้วนางยังสามารถตามหาจนมาถึงตระกูลโอวหยางได้อย่างปลอดภัยอีก
ครึ่งค่อนชั่วยามให้หลัง ลำแสงสีม่วงสองสายก็พุ่งเร็วรี่มาจากท้องฟ้าไกลออกมาไป พวกมันกะพริบวูบหนึ่งแล้วร่อนลงมา เมื่อลำแสงดับหายไปก็เผยร่างของสองพี่น้องโอวหยาง
“พี่หลิ่วเหตุใดจึงจากไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้ ยังไม่ทันได้แสดงความยินดีที่ท่านเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสำเร็จต่อหน้าเลย” นัยน์ตาของโอวหยางเชี่ยนทอประกายวูบไหว เมื่อมองเห็นซาฉู่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หลังร่างหลิ่วหมิง ใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดเล็กน้อยออกมา
โอวหยางฉินข้างกายนางมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่จมูกงามกลับแค่นเสียงหยันเบาๆ
เห็นภาพนี้ ในใจหลิ่วหมิงก็อดไม่ได้ยิ้มเจื่อน เห็นชัดว่าสตรีทั้งสองรู้เรื่องที่หัวหน้าตระกูลโอวหยางเสนอการแต่งงานแต่ถูกเขาปฏิเสธแล้ว
แต่อารมณ์กระอักกระอ่วนเล็กน้อยนี่ถูกเขาสลัดทิ้งไปจากหัวอย่างรวดเร็วนัก เขาประสานมือตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้ารีบร้อนจากมาจึงไม่ทันได้บอกลาเซียนทั้งสอง เสียมารยาทแล้วขออภัยด้วย”
“พี่หลิ่วส่งข้อความเชิญพวกเราพี่น้องมาที่นี่อย่างเร่งด่วนเช่นนี้ คงจะไม่ใช่เพื่อสนทนาสัพเพเหระกระมัง เรียกมาเพื่อเหตุใดก็เชิญพูดให้กระจ่างเถิด” โอวหยางฉินเอ่ยอย่างเย็นชา
หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่ะๆ แล้วยกมือข้างหนึ่งชี้ซาฉู่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ฮ่ะๆ นั่นแน่นอน ทั้งสองท่านน่าจะยังจำแม่นางซาฉู่เอ๋อร์ที่เคยพบก่อนหน้านี้คนนี้ได้อยู่กระมัง นาง…”
“พี่หลิ่ว ท่านอยากถามข่าวของโอวหยางหมิงผู้นี้กับพวกเราพี่น้องกระมัง แต่ขออภัยยิ่งนัก เรื่องนี้พวกเราไม่อาจทำได้ เดิมทีพวกเราพี่น้องติดค้างน้ำใจพี่หลิ่วครั้งหนึ่ง คำขอร้องของท่านหากรู้ก็สมควรบอก แต่ผู้อาวุโสในตระกูลกำชับพวกเราสองคนอย่างเด็ดขาดว่าไม่อาจเอ่ยเรื่องของคนผู้นั้นกับผู้ใดอีก พวกเราพี่น้องอยู่ในตระกูลย่อมไม่กล้าฝ่าฝืน ขอโปรดอภัยด้วย” โอวหยางเชี่ยนยื่นมือออกมาขัดคำพูดของหลิ่วหมิงแล้วส่ายศีรษะเอ่ยขึ้น
ซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างได้ยินย่อมมีสีหน้าผิดหวัง
“ข้าไม่ระวังเอง ทำให้เซียนทั้งสองลำบากแล้ว” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่สีหน้าก็ฟื้นกลับเป็นปกติทันที
“ในเมื่อไม่มีเรื่องอื่น พวกเราก็จะกลับแล้ว วันหน้าพบกันใหม่” โอวหยางเชี่ยนประสานมือให้หลิ่วหมิงเล็กน้อยแล้วส่งสายตาให้โอวหยางฉินที่อยู่ด้านข้าง
จากนั้นทั้งสองคนก็หมุนตัวกลายเป็นลำแสงสีม่วงสองสายเหาะเร็วรี่ไปยังทิศทางที่มาอีกครั้ง
หลิ่วหมิงมองลำแสงของทั้งสองคนค่อยๆ ห่างออกไป สองตาหรี่ลงเล็กน้อยครู่หนึ่ง แต่บนใบหน้าไม่ได้เผยสีหน้าผิดหวังออกมาสักเท่าไร
เดิมทีเขาก็ไม่ได้คาดหวังกับการสืบถามเรื่องโอวหยางหมิงจากพวกนางทั้งสองคนอยู่แล้ว แต่จากการสนทนาครั้งนี้ทำให้รู้ว่าตระกูลโอวหยางมีคนชื่อโอวหยางหมิงอยู่จริงๆ
“ดูท่าตระกูลโอวหยางจะออกคำสั่งห้ามเอ่ยถึงไว้ จะสืบหาข่าวของบิดาเจ้าตรงๆ เกรงว่าคงจะไม่ได้ พวกเราจำต้องหาวิธีอื่น” หลิ่วหมิงมองซาฉู่เอ๋อร์ทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ทุกสิ่งแล้วแต่พี่หลิ่วจัดการ” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็ท่าทางฮึกเหิม คล้ายกับเชื่อใจหลิ่วหมิงอย่างที่สุด
หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็หยิบแผนที่บริเวณเทือกเขาหยกฝันฉบับหนึ่งออกมาจากตัว จากนั้นมองหาอย่างละเอียด
ครู่หนึ่งให้หลังคิ้วเรียวของเขาก็เลิกขึ้น ดวงตาทอประกาย
“พี่หลิ่วมีวิธีแล้วหรือ?” ซาฉู่เอ๋อร์เอ่ยถามด้วยสีหน้ายินดี
“ก็เรียกไม่ได้ว่าเป็นวิธีที่ดี แต่สถานการณ์ตอนนี้ ทั้งข้าและเจ้าล้วนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับตระกูลโอวหยางจึงได้แต่หาว่ามีคนที่รู้เกี่ยวกับพวกเขาพอช่วยได้หรือไม่” หลิ่วหมิงเก็บแผนที่ไป จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตั้งท่าเคล็ดวิชา ปราณดำก้อนหนึ่งหุ้มเขากับเยี่ยเฮ่าไว้แล้วมุ่งไปทิศหนึ่งนอกเขาหยกฝัน
ดวงเนตรงามของซาฉู่เอ๋อร์แวววาวแล้วรีบใช้ลำแสงติดตามไป
เทือกเขาหยกฝันในฐานะถิ่นฐานของตระกูลโอวหยางถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกฝนที่มีอยู่น้อยนักในแผ่นดินจงเทียน แม้แต่เทือกเขาขนาดเล็กโดยรอบก็มีพลังปราณแห่งฟ้าดินเข้มข้นอย่างยิ่ง ไม่เพียงมีผู้ฝึกฝนมากมายมารวมตัว เมืองใหญ่ของมนุษย์ธรรมดาหลายเมืองของแคว้นเฉินก็ตั้งอยู่ใกล้ๆ เทือกเขาหยกฝันด้วย
เมืองหนานหมิงเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในนั้น ตัวเมืองตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเทือกเขาหยกฝัน นอกเมืองคือแม่น้ำหนานหมิงแม่น้ำใหญ่อันดับหนึ่งของแคว้นเฉิน เพราะการกัดเซาะนานปีของแม่น้ำทำให้ผืนดินบริเวณเมืองหนานหมิงอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง การเดินทางทางน้ำก็สะดวกยิ่งนัก ดังนั้นเมืองใหญ่แห่งนี้จึงมีประชากรรวมตัวอยู่เกือบสิบล้านคน รุ่งเรืองไม่ธรรมดา
เช้าตรู่วันนี้บนถนนหินเขียวเส้นหนึ่งทางตะวันออกของเมืองหนานหมิง มีคนสองคนกำลังก้าวเดินเชื่องช้าอยู่
บุรุษหนุ่มด้านหน้าสวมเสื้อสีน้ำเงิน ด้านหลังมีร่างน้อยบอบบางร่างหนึ่งติดตาม ทั้งร่างห่ออยู่ใต้ผ้าคลุมผืนใหญ่ เส้นผมสีเงินหลายปอยร่วงลงมาเปะปะ ระหว่างที่เดินมองเห็นเรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรของนางได้เลือนราง ดูออกว่าเป็นสตรีผู้งามเป็นเลิศผู้หนึ่ง
สองคนนี้ก็คือหลิ่วหมิงกับซาฉู่เอ๋อร์นั่นเอง แต่เยี่ยเฮ่าไม่ได้อยู่ที่นี่
“พี่หลิ่ว เหตุใดท่านจึงพาข้ามาเมืองของมนุษย์ธรรมดาแห่งนี้เล่า?” ซาฉู่เอ๋อร์จัดการเส้นผมสีเงินที่ร่วงออกมานอกผ้าคลุม แม้บนร่างสวมชุดยาวอยู่ก็ยากจะปกปิดเสน่ห์เย้ายวนของสตรี ชักนำสายตาของคนเดินถนนให้มองมามากมาย
“แม่นางซาอย่ารีบร้อน ตามข้ามาก็พอ” หลิ่วหมิงสีหน้าเรียบเฉยแล้วไม่ได้อธิบาย สายตามองไปมาบนถนนหินเขียวเส้นใหญ่
เวลานี้เป็นยามสายบนถนนกว้างมีคนเดินไปมาขวักไขว่นานแล้ว รถและอาชาเคลื่อนเป็นทิวแถว สองข้างถนนมีร้านค้าตั้งเรียงราย เสียงตะโกนขายของดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ให้ได้ยินไม่ขาดหู เป็นภาพแห่งความเจริญรุ่งเรือง
ไม่นานนักสายตาของหลิ่วหมิงก็จับอยู่บนโรงรับจำนำแห่งหนึ่งริมถนนด้านหน้า สายตาพลันเป็นประกาย ยกเท้าเดินเข้าไปอย่างไม่ทิ้งร่องรอย
แม้ซาฉู่เอ๋อร์เต็มไปด้วยความสงสัยแต่ก็เดินตามไปด้วยดี
หลิ่วหมิงเพิ่งเดินเข้ามาในร้าน ลูกจ้างชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งก็ยิ้มแย้มเข้ามาต้อนรับ
“ท่านลูกค้าเชิญขอรับ เชิญนั่งด้านใน”
มองเข้าไปในร้านแห่งนี้ว่างเปล่าไม่มีใครสักคน ดูแล้วกิจการไม่ดี
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในร้าน ซาฉู่เอ๋อร์กลับไม่นั่ง สองตาใต้ผ้าคลุมกวาดตามองในร้านรอบหนึ่ง พร้อมกันนั้นจิตสัมผัสก็ค่อยๆ แผ่ออกไปคล้ายกำลังตรวจหาสิ่งใด
หลิ่วหมิงมองดูการกระทำของนาง ในใจลอบคิดว่าแม้สตรีผู้นี้ประสบการณ์ไม่มาก แต่ก็รอบคอบระมัดระวังพอตัว มิน่าจึงเดินทางจากหนานฮวงมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
“ท่านลูกค้า ท่านต้องการจำนำสิ่งใดขอรับ? ไม่ได้โม้นะขอรับ ถึงร้านของเราจะไม่ใหญ่แต่ก็เป็นร้านเก่าแก่อายุร้อยปีของเมืองหนานหมิง ท่านเชื่อถือได้เต็มที่” ลูกจ้างชุดน้ำเงินดูแล้วอายุเพิ่งจะสิบแปดสิบเก้าปี แต่พูดแก่ง ท่าทางฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง
“ข้ามาจากทางเหนือ วันนี้มาที่ร้านของเจ้าเพราะอยากจะจำนำสิ่งหนึ่ง” หลิ่วหมิงล้วงของขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้ลูกจ้างชุดน้ำเงิน ผิวของมันทอประกายสีดำเรืองๆ มันคือป้ายของศิษย์สายในของยอดเขาลั่วโยว